สายตาของเหล่าชายารองและอนุทั้งหลายต่างจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ
เด็กสาวคนนี้ดูแตกต่างจากครั้งก่อนที่เจอกันเล็กน้อย
ยังเป็นใบหน้าเดิมแท้ ๆ หากแต่ท่าทางและกลิ่นอายรอบตัวนางกลับแปลกไปจากเดิม
มุมมองเยี่ยนซู่ต่อชิงอวี่ช่วงนี้ดีขึ้นมาก อาจกล่าวได้ว่านอกจากเยี่ยนหนิงลั่วแล้ว เขาก็ชื่นชอบชิงอวี่ที่สุด ดังนั้นจึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความใส่ใจเท่านั้น “ได้ยินเสี่ยวเป่ยบอกข้าว่าเจ้าออกไปทำธุระงั้นหรือ?”
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น มองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเขาขยิบตาส่งให้ราวกับกำลังส่งสัญญาณบางอย่าง
นางเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อว่าเจ้าเด็กคนนี้พยายามหาข้ออ้างให้นาง นางจึงส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าออกไปจัดการธุระ ทั้งยังออกไปส่งสหายที่ออกเดินทางไกล”
เยี่ยนหนิงลั่วอาจเห็นทุกสิ่งอย่างจนชิงอวี่ไม่อาจปิดบังสิ่งใดอีกต่อไป หากแต่เมื่อเห็นนางเอ่ยขึ้นตามตรงเช่นนี้ กลับทำให้เยี่ยนหนิงลั่วเงยหน้าขึ้นมอง
เยี่ยนซู่ได้ยินแล้วพยักหน้า “พี่หนิงลั่วของเจ้ากำลังจะกลับสำนักละอองหมอกไปในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงรวมตัวกันจัดงานเลี้ยงส่งเรียบง่ายขึ้น ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีนางจะได้กลับมาอีก”
แม้บุรุษร่างกำยำแข็งแกร่งผู้นี้เปลือกนอกจะไม่เผยความรู้สึกใด หากแต่คำพูดนั้นกลับเต็มไปด้วยความฝืนใจไม่อยากให้นางไป
เยี่ยนหนิงลั่วเข้าสำนักละอองหมอกไปตั้งแต่อายุได้หกขวบ ตอนนี้นางอายุสิบหกย่างเข้าสิบเจ็ดปี จำนวนครั้งที่นางได้กลับบ้านสามารถใช้มือเดียวนับได้ ครั้งนี้นางกลับมาอยู่บ้านหนึ่งเดือนเต็ม นานกว่าหลายครั้งที่นางกลับมานัก
เยี่ยนหนิงลั่วบอกบิดาที่ใบหน้าค่อนข้างโศกเศร้าก่อนที่ใจจะอ่อนโยนลง พูดปลอบบิดาตนด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ต่อไปมีเวลาข้าจะกลับมาหาท่าน สำนักละอองหมอกมีกฎไม่ให้ศิษย์สำนักรั้งอยู่ในทางโลกนานเกินไป เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรได้ ข้าคงทำได้เพียงต่อสู้แย่งชิงโอกาสนั้นมา”
“เฮ้อ ข้าไม่รู้ว่าที่เจ้าเข้าสำนักละอองหมอกเป็นเรื่องดีหรือแย่กันแน่!” เยี่ยนซู่ขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจยาว “เจ้ายังไม่มีพี่น้องเคียงข้างคอยให้ความช่วยเหลืออีกด้วย อยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้คงจะเหงาไม่น้อย”
เยี่ยนซีเฉิงอยู่ในสำนักละอองหมอกได้สองปีสมัยยังเด็ก หากแต่ไม่นานก็ออกมา เขาตัดสินใจย่ำเท้าตามบิดาออกรบ ความฝันของเขาคือการปกป้องแคว้นไม่ใช่การบำเพ็ญเพียร
ส่วนคุณหนูคนอื่น ๆ ในจวนหย่งอันอ๋องหากไม่มีพื้นฐานร่างกายอ่อนแอก็มีความสามารถไม่เพียงพอ ไม่อาจแตะเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของสำนักละอองหมอกได้ มิเช่นนั้นหากพวกนางสามารถรั้งอยู่ในสำนักได้เป็นเวลาสักหนึ่งปี ยามถึงวัยออกเรือน การที่เคยฝึกตนอยู่ในสำนักละอองหมอกจะช่วยทำให้พวกนางโดดเด่นยิ่งขึ้น!
หลังจากเยี่ยนซู่กล่าวคำพูดซาบซึ้งใจไปแล้ว มุมปากเยี่ยนหนิงลั่วก็ยกยิ้มขึ้น ดวงตาล้ำลึกรอยยิ้มแทบมองไม่ออก นางก้มลงมองโต๊ะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หากท่านพ่อกลัวว่าข้าจะเหงา เช่นนั้นก็ง่ายมาก”
“หืม?” เยี่ยนซู่หันกลับมามองนางด้วยความสงสัย “หนิงเอ๋อร์มีความคิดดี ๆ อันใดหรือ?”
ด้วยความเบื่อไม่มีอะไรเรียกความสนใจยามนางนั่งอยู่ที่โต๊ะได้ นัยน์ตางามนางจึงจับจ้องอยู่ที่อาหารบนโต๊ะ ในใจคิดว่าเมื่อไหร่จะได้ลงมือกินเสียที ทว่ายามได้ยินคำเยี่ยนหนิงลั่ว ใจชิงอวี่ก็หล่นวูบ ความรู้สึกลางไม่ดีพลันแล่นทั่วร่าง
“สำนักละอองหมอกเปิดรับศิษย์ใหม่ทุกปี หากแต่รับคนเข้าจำนวนจำกัดเพียงห้าสิบคนเท่านั้น จะเข้าได้จำต้องผ่านการประลอง จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงพิสูจน์ตนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นจะมีการทดสอบทุกแขนงทั้งยังมีการฝึกฝนเข้มงวด ผู้ที่สามารถฝืนทนอยู่ต่อได้จึงจะถูกรับเข้าเป็นศิษย์สำนักละอองหมอก”
พูดจบ เยี่ยนหนิงลั่วก็พูดเจาะจง “ซีโหรวและซีอู่ พวกเจ้าสองคนผ่านเข้าหลายรอบในการประลองเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญ ไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าลองไปเข้ารับการทดสอบ ไม่แน่อาจโชคดีผ่านเข้าไปได้ ส่วนน้องชิงอวี่ของเราถึงแต่ก่อนจะไม่ค่อยโดดเด่นนัก แต่ตอนนี้เจ้ามีอาจารย์พลังสูงส่งอยู่มิใช่หรือ? ตอนนี้คงมีฝีมือพอตัว ทั้งเจ้ายังรู้วิชาแพทย์ ข้าว่าท่านอาจารย์ต้องชื่นชอบเจ้าเป็นแน่”
ใบหน้าเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่เปลี่ยนไปในพลัน คราวนี้สตรีนางนี้มีแผ่วชั่วร้ายอันใดอีก?
แนะนำให้พวกนางไปประลองเข้าสำนักละอองหมอกหรือ?!
ผู้ใดจะไม่รู้ว่าสำนักละอองหมอกไม่เคยขาดผู้มีฝีมือ!? แค่ศิษย์หน้าประตูยังมีฝีมือเก่งกาจกว่าที่เห็น! คนเหล่านั้นมีฝีมือสูงส่งเช่นนั้น คิดจะให้พวกนางไปให้ขายหน้างั้นหรือ?
หากไปก็มิเท่ากับว่าทำให้จวนหย่งอันอ๋องเสียชื่อหรอกหรือ?
ชิงอวี่ที่ไม่มีทีท่าสนใจสิ่งใดหรี่ตาลง เยี่ยนหนิงลั่วต้องการให้นางเข้าสำนักละอองหมอก….. เพื่ออะไรกัน?
วางแผนให้นางถูกสังหารที่นั่นหรือ? หรือคิดจะทรมานนางด้วยการกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานาระหว่างช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั่น ให้นางรู้สึกอับอายขายหน้าจนปลิดชีพตนเองลงกันแน่?
อืมมม….. นางวางแผนไว้แยบยลเสียจริงนะ!
ได้ยินเช่นนั้นเยี่ยนซู่เห็นชอบด้วยเป็นอย่างมาก นอกจากจะได้ให้ลูก ๆ ออกไปผจญโลกภายนอกแล้ว ยังคอยเป็นเพื่อน หนิงเอ๋อร์ในสำนักได้ด้วย เช่นนั้นก็ดีมากไม่ใช่หรือ?
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคิดแม้สักนิดว่าเหล่าธิดาทั้งหลายของตนอาจจะเข้ากันไม่ได้หรือไม่
คิดดังนั้นเยี่ยนซู่จึงกวาดตามองธิดาตน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร?
“ท่านพ่อ พวกเราคงไม่ผ่านการทดสอบเป็นแน่ สำนักละอองหมอกมีเกณฑ์การตัดสินเข้มงวดเกินไป ทั้งยังมีกฎและข้อห้ามต่าง ๆ มากมาย พวเราเข้าไปคงได้เสียสติแน่เจ้าค่ะ!” เยี่ยนซีโหรวครวญเสียงเศร้า “บุตรีของท่านยินดีอยู่เคียงข้างท่านพ่อท่านแม่ ขอท่านพ่ออนุญาตให้พวกข้าได้ตอบแทนบุญคุณพวกท่านเถอะ”
“พรืด~”
ไม่อาจรู้ได้ว่าใครที่หลุดหัวเราะออกมา หากแต่ทุกสายตาเห็นพระชายาเอกโม่หานเยียนที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเริ่มเปิดปากพูด ปรายตามองอย่างดูถูก “พวกเจ้าอายุเท่ากับหนิงเอ๋อร์ อ่อนกว่าเพียงไม่กี่เดือน หนิงเอ๋อร์ในตอนนี้ติดอันดับต้น ๆ ในหมู่ลูกศิษย์ของสำนักละอองหมอก นับเป็นสตรีมากความสามารถที่สุดในแคว้นชิงหลาน แต่พวกเจ้าทั้งสองกลับไม่รู้จักใฝ่รู้พัฒนาตนเอง ต้องการเพียงชีวิตที่สุขสบาย เกรงว่าเมื่อถึงเวลา ตระกูลทางบ้านสามีในอนาคตของพวกเจ้าคงได้แต่ดูถูกลูกสะใภ้ไร้ความสามารถเช่นนี้”
เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่เป็นลูกของพระชายารอง ยามโม่หานเยียนเอ่ยเช่นนี้ขึ้น พวกนางก็นั่งหน้าแดงละอายตน ก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าเอ่ยคำใดในพลัน
ครั้งอื่น ๆ ที่โม่หานเยียนจงใจทำให้พวกนางลำบากใจเช่นนี้ พวกนางยังพอพูดตอกกลับได้บ้าง หากแต่คำที่นางเอ่ยในวันนี้กลับมีเหตุผล แสดงให้เห็นว่าลูก ๆ ของพวกนางถูกเอาใจจนไม่อาจทำสิ่งใดสำเร็จ ระหว่างลูกสาวของพวกนางและของโม่หานเยียนนั้นแตกต่างกันราวผืนฟ้ากับผืนดิน เมื่อเทียบกับโม่หานเยียนและเยี่ยนหนิงลั่วแล้ว ไม่ว่าในใจจะรู้สึกขุ่นเคืองสักเพียงไหน ก็ทำได้เพียงจำใจกล้ำกลืนฝืนทน
โม่หานเยียนเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาได้เที่ยงตรงอย่างหาได้ยาก กระทั่งเยี่ยนซู่ยังมองนางด้วยความประหลาดใจ
อย่างไรนางก็เป็นบุตรีในตระกูลชั้นสูง กิริยามารยาทย่อมงดงามกว่าใครอื่น หากไม่กล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงตำแหน่งนายหญิงใหญ่ในตระกูลแล้ว โม่หานเยียนนับว่ามีฐานะสูงส่งกว่ามาก
“พระชายากล่าวได้ถูกต้อง พวกเจ้าสองคนหลายปีมานี้ไร้ความทะเยอทะยาน ออกไปพบเจอความยากลำบากบ้างย่อมไม่เสียหาย” เยี่ยนซู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มเล็กน้อย สายตามองไปยังเด็กสาวที่นั่งเงียบอย่างเชื่อฟังก่อนจะคลี่ยิ้มพอใจออกมา เขากวาดสายตามองไปยังเยี่ยนซีโหรวที่หน้าซีดเผือด “ดูน้องสาวชิงอวี่ของเจ้าเสีย นางเอ่ยปฏิเสธสักคำหรือไม่ ทั้งพวกเจ้ายังอายุมากกว่านางสองปี หากแต่กลับไร้ความสง่างามดั่งที่คนในจวนหย่งอันอ๋องพึงมี”
เยี่ยนซีโหรวถูกตำหนิโดยพลันเช่นนี้ ในใจนางเจ็บปวดนัก นางหันไปตวัดสายตาโกรธเคืองให้ชิงอวี่
ชิงอวี่ไม่เอ่ยคำใด “…..”
นางนั่งนิ่งไม่เอ่ยคำใดเช่นนี้ยังจะลากนางเข้าไปเกี่ยวอีกหรือ?
“เอาล่ะ ตกลงตามนั้น วันนี้เราจะรับประทานอาหารเป็นเพื่อนหนิงเอ๋อร์ ทุกคนหยิบตะเกียบได้!”
งานเลี้ยงครอบครัวก็เป็นเพียงการที่คนทั้งครอบครัวใหญ่มานั่งกินอาหารร่วมกันเท่านั้น
เยี่ยนหนิงลั่วพูดคุยกับบิดามารดาและพี่ชายตนอย่างมีความสุขราวกับมีกันอยู่เพียงเท่านั้น
ส่วนพระชายารองที่เหลือ คนที่มีลูกสาวก็คุยกับลูกสาว คนที่ไม่มีลูกก็จับคู่คุยกันในเรื่องจิปาถะเช่น “ปิ่นปักชิ้นนี้ของเจ้าส่งให้ใบหน้างดงามนัก เจ้าไปซื้อมาจากที่ใด?” หรือ “เราน่าจะออกไปดูชุดใหม่ ๆ ที่ร้านไหมพันผืน” หรือไม่ก็หัวข้อราวนี้
ชิงเป่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างคีบผักในถ้วยตนอย่างเหม่อลอย ก่อนที่ในที่สุดจะถามเสียงเบาขึ้น “ท่านพี่ ท่านจะไปที่สำนักละอองหมอกจริงหรือ?”
ชิงอวี่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นมาก นางทำเพียงตั้งใจกินอาหารตรงหน้าเท่านั้น เมื่อได้ยินเขาถาม นางจึงเงยหน้าขึ้นมอง “หือ?”
“ข้าได้ยินมาว่าพอเข้าสำนักละอองหมอกไปแล้ว หากไม่ถูกไล่หรือถีบส่งออกมาก็จะไม่มีทางออกมาได้อีก ไม่เช่นนั้นก็ตั้งอีกสองปีกว่าจะสามารถออกจากสำนักมาภายนอกได้” ชิงเป่ยพูดเสียงหดหู่
เมื่อเห็นหน้าตาเขาดูโศกเศร้าเช่นนั้น ชิงอวี่ก็ยกยิ้มแล้วหัวเราะเสียงเบาออกมา “อะไรกัน เจ้ากลัวไม่ได้เจอหน้าข้านานงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ชิงเป่ยส่ายหัว นัยน์ตาสับสนเล็กน้อย “ข้าเพียงกังวล….. สตรีนางนั้น เยี่ยนหนิงลั่วพยายามทำทุกวิถีทางให้ท่านเข้าสำนักละอองหมอก นางคงมีแผนการชั่วร้าย ต้องการทำร้ายท่านเป็นแน่”
“อย่างไรมารดาของนางก็เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายเช่นนั้น”
เขาไม่มีทางลืมว่าขาทั้งสองข้างของตนถูกทำให้พิการได้อย่างไร ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียรที่สุดกลับต้องหมดลง ทั้งยังถูกพิษจนแทบเอาชีวิตไม่รอด
มือที่วางอยู่บนโต๊ะของเขากำแน่นจนสั่นเบา ๆ หากแต่มีมือบางข้างหนึ่งเอื้อมมากุมมือข้างนั้นไว้ เขาเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าอ่อนโยนของเด็กสาวคลี่ยิ้มบาง “เจ้าไม่ต้องห่วง นางคิดทำร้ายข้ายังเร็วไปหลายปี ข้าไม่ได้อ่อนปวกเปียกเช่นลูกพลับนุ่ม ไม่ได้ไร้ทางสู้จนถูกผู้อื่นบีบไปตามต้องการได้เช่นนั้น”
กลับกัน นางเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ความแค้นใดใครก่อย่อมต้องชดใช้เป็นเท่าตัว ผู้ใดล่วงเกินนางย่อมไม่อยากพบนางตอนโกรธเป็นแน่
ชิงเป่ยส่ายหัว “ข้าก็ยังกังวลอยู่ดี”
“เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม
“ให้ข้าไปสำนักละอองหมอกกับท่าน!” ชิงเป่ยเอ่ยน้ำเสียงแน่วแน่ราวกับตัดสินใจได้แล้ว
ชิงอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็ลากสายตาลงมองขาทั้งสองข้างของเขาอย่างมีความ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าในตอนนี้สมควรจะเป็นเด็กพิการที่ขาทั้งสองใช้การไม่ได้? หรือเจ้าคิดจะเข็นเก้าอี้เข็นนี่เข้าสำนักไปกับข้า?”
เช่นนั้นไม่สะดุดตาไปหน่อยหรือ?
สำนักละอองหมอกคงไม่ต้อนรับคนพิการหรอกกระมัง
ริมฝีปากเด็กหนุ่มโค้งขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเขาแลดูเจ้าเล่ห์ “วันรับศิษย์สำนักของสำนักละอองหมอกยังอีกตั้งครึ่งปีไม่ใช่หรือ?”
“แล้ว?” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม รอให้เขาพูดให้จบ
“เวลาครึ่งปีมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ แล้วข้าก็จะสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง!” เด็กหนุ่มพูดพร้อมสีหน้ามั่นใจ
รอยยิ้มมุมปากเขาเจือรอยยิ้มความลึกลับ สีหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยมของเขาน่ามองยิ่ง เต็มไปด้วยความงดงามในแบบฉบับของเด็กหนุ่มในวัยนี้พึงมี
มองแล้วก็อยากคลี่ยิ้มดีใจไปกับเด็กคนนี้ด้วย
ในตอนที่กำลังคุยกับเยี่ยนหนิงลั่ว เยี่ยนซู่พลันเหลือบมาเห็นภาพฉากนั้นพอดี สีหน้าเขาชะงักค้างไปเล็กน้อย
ใบหน้าที่เหมือนกันยิ่งสองดวงนั้นทั้งยังเยาว์วัยและงดงาม มุมปากเขาพลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ยิ่งเด็กสาวคนนั้นที่ได้รับนัยน์ตางดงามเย้ายวนดั่งเทพเซียนมาจากมารดาของนาง ส่งผลให้จิตใจพลันอ่อนยวบ ล่องลอยกลับไปในอดีต…..