บทที่ 65 พรสวรรค์

บทที่ 65 พรสวรรค์

เฉินอันฉีรู้สึกสับสนเล็กน้อยและไม่รู้จะพูดอย่างไร

เธอมาที่นี่เพื่อทักทายเท่านั้น!

เดี๋ยว! แต่โค้ชพูดว่าอะไรนะ?!

หมอโจวฝึกกับรถคันนี้แค่คนเดียว? เขาซื้อรถฝึกคันนี้เลยเหรอ? หรือว่ารู้จักกับหัวหน้าโรงเรียนสอนขับรถใช่ไหม?

แป๊ะ…

โจวอี้ดีดนิ้วขึ้นต่อหน้าเฉินอันฉีและยิ้มออกมา “ตั้งสติหน่อย โค้ชโจวของเราเก่งมาก ถ้าคุณได้เรียนรู้สิ่งที่เขาสอนผม คุณสามารถทำตามได้ดีทีเดียว”

“ฉัน…” เฉินอันฉีพยายามจะอ้าปากพูด และในที่สุดก็รวบรวมความกล้าออกมา “นั้นสินะคะ โค้ชโจว หมอโจว รถเบอร์สิบแปดที่ฉันฝึกน่ะมีนักเรียนเยอะเกินไป ขอฉันฝึกด้วยนะคะ”

โจวอีซิงไม่รังเกียจ เขาพูดอย่างเป็นกันเองว่า “งั้นมาฝึกด้วยกัน!”

“ขอบคุณค่ะ!”

เมื่อเฉินอันฉีพบว่าโจวอี้เองก็ไม่มีปัญหาใด ๆ เธอจึงวิ่งกลับไปอย่างมีความสุข

“เฉินอันฉี เธอพูดอะไรกับหมอคนนั้น?” เมื่อซุนคั่นเห็นเฉินอันฉีวิ่งกลับมาก็ถามขึ้นทันที

“ฉันเพิ่งไปทักทายเขา แต่รถคันนั้นมีแค่หมอโจวเท่านั้นที่ฝึกได้ โค้ชของรถคันนั้นก็เลยขอให้เราไปฝึกกับหมอโจว” เฉินอันฉียิ้ม

“ไปด้วยกันเหรอ ไม่! ไม่! ไม่! เขาจะฆ่าฉันแน่!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซุนคั่นก็ส่ายหัวด้วยเสียงสั่น ๆ

“ก็เธอบอกว่ารถเรามีนักเรียนเยอะเกินไปไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นรถของเขาน่ะ…”

“หยุดพูด! ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ไป!” ซุนคั่นยังคงดื้อรั้น

“ไม่เป็นไร ถ้าเธอไม่ไป ฉันจะไปเอง” เฉินอันฉีเลิกชักชวน

อันที่จริง เธอเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่ควรให้ซุนคั่นไปที่นั่น เพราะก่อนหน้านี้เพื่อนของเธอเคยใส่ร้ายหมอโจวจากคลิปวิดีโอนั่น

“อืม”

เฉินอันฉีกลับไปหาโจวอี้ และอ้างเหตุผลบางอย่างที่ซุนคั่นไม่ยอมมาด้วยกัน

จากนั้นเธอก็เดินตามพวกเขาไป และฟังโจวอีซิงอธิบายคำแนะนำในการขับรถ

สิบนาทีต่อมา…

โจวอี้เข้าใจทุกอย่างที่เขาควรรู้แล้ว ตอนนี้เขาจึงกระตือรือร้นที่จะลองมัน

“อยากลองไหม?” โจวอีซิงถามด้วยรอยยิ้ม

“อยากสิ!”

“งั้นก็ลองดู!” โจวอีซิงนั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งคนขับร่วม

ที่นั่งตำแหน่งคนขับร่วมมีเบรกอยู่ด้วย หากโจวอี้ประสบปัญหาขณะขับรถ โค้ชอย่างเขาก็สามารถช่วยเหยียบเบรกได้ทันที

โจวอี้รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อเขาขับรถเป็นครั้งแรก แต่ชายหนุ่มได้จดจำสิ่งสำคัญในการขับขี่และข้อควรระวังไว้อย่างดีแล้ว ดังนั้นหลังจากขึ้นรถ ชายหนุ่มจึงรัดเข็มขัดนิรภัย มองกระจกมองหลัง เหยียบคลัตช์ เข้าเกียร์ และเตรียมเหยียบคันเร่ง…

เขาขับไปข้างหน้าสิบเมตรและถอยหลังอีกสิบเมตร

ทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน

จากนั้นโจวอี้ก็เริ่มลองฝึกการโค้ง เข้าซอก ผลที่ได้คือ ราบรื่นอย่างมาก โจวอี้ค่อย ๆ ทำความคุ้นเคยกับมันไปเรื่อย ๆ

ส่วนโจวอีซิงซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้าไม่ได้เหยียบเบรกเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันทำให้เขาประหลาดใจมาก

หลังจากที่พวกเขาลงจากรถ โจวอีซิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณโจว ถ้าคุณสามารถรักษาฝีมือแบบนี้ไว้ได้ตลอดเวลา และฝึกฝนไปเรื่อย ๆ คุณคงทำข้อสอบได้แน่ ๆ”

“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าการขับรถก็ไม่ได้ยากอะไร” โจวอี้ยิ้ม

แต่เมื่อเฉินอันฉีได้ยิน เธอก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ใคร ๆ ก็คิดว่าเธอเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ตอนแรก เธอคิดว่าการขับรถคงเป็นเรื่องง่าย แต่ตอนนี้เธอฝึกขับรถมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว! และเธอมักจะทำผิดพลาดอยู่เสมอ

ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับโจวอี้ในเวลานี้ ความมั่นใจของเธอก็ถึงกับสั่นสะเทือน! เขาพึ่งเรียนขับรถเมื่อ 10 นาทีที่แล้วเองนะ!

หลังจากนั้น โจวอี้และเฉินอันฉีก็ผลัดกันฝึกขับรถ กระทั่งเกือบสี่โมงเย็น โจวอี้ก็บอกโจวอีซิงว่าเขากำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน

โจวอีซิงยินยอมให้โจวอี้กลับไปแต่โดยดี แต่ยังคงให้เฉินอันฉีฝึกฝนอีกครั้ง

“เสี่ยวเฉิน! คุณโจวฝึกขับรถเป็นครั้งแรก แต่รู้สึกว่าเขาเก่งกว่าคุณนะ คุณควรตั้งใจฝึกให้หนักกว่านี้…” โจวอีซิงยังพูดอย่างจริงจังอีกว่า “แม้ว่าความสามารถจะสำคัญ แต่ก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักด้วย ความคุ้นเคยจะทำให้ทักษะเราสมบูรณ์แบบมากขึ้น”

“เข้าใจแล้วค่ะโค้ชโจว ฉันจะฝึกฝนต่อไป!”

ห้าโมงเย็น…

ซุนคั่นเดินมาหาเฉินอันฉีอย่างระมัดระวัง เธอเห็นเฉินอันฉีฝึกกับโค้ชอย่างชำนาญแล้วเธอก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ไม่นาน เฉินอันฉีก็ลงจากรถ

“คั่นคั่น วันนี้ซ้อมเป็นไงบ้าง?” เฉินอันฉีถาม

“อย่าพูดถึงมัน มันไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อวานเลย” ซุนคั่นรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย จากนั้นเธอก็มองไปรอบ ๆ และถามเสียงเบา “ผู้ชายที่ชื่อโจวอยู่ไหนแล้วล่ะ”

“เขามีธุระก็เลยต้องกลับไปก่อนเวลาน่ะ” เฉินอันฉีตอบ

“แล้วช่วงบ่ายนี้เธอได้ฝึกขับรถไปนานแค่ไหนแล้ว?” ซุนคั่นรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

“ประมาณสองชั่วโมงครึ่ง!” เฉินอันฉีตอบอีกครั้ง

สองชั่วโมงครึ่ง!

ซุนคั่นแทบจะน้ำตาไหลด้วยความอิจฉา บ่ายนี้เธอฝึกไปสามรอบ รอบละประมาณสิบนาที รวมเวลาแล้วก็เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

แต่เฉินอันฉีได้ฝึกตั้งสองชั่วโมงครึ่ง!

“ฉัน ฉันรู้สึกเสียใจที่เผยแพร่วิดีโอนั้น…” ซุนคั่นพึมพำด้วยความเสียใจ

“…”

เฉินอันฉีถึงกับพูดไม่ออก

เวลานั้นโจวอี้ก็ไปถึงโรงเรียนอนุบาลนานาชาติเหิงปางซื่อ

หลังจากรอสักพักก็ได้ยินเสียงกริ่งเลิกเรียน จากนั้นเขาก็เห็นลูกสาวยืนเข้าแถวและออกมากับเพื่อนร่วมชั้น

“พ่อจ๋า วันนี้หนูเรียนร้องเพลง พ่ออยากฟังไหม?” ถังเหมียวเหมี่ยวพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของโจวอี้และถามอย่างตื่นเต้น

“ร้องเพลง? ลูกเรียนเพลงอะไร? พ่ออยากฟัง” โจวอี้ยิ้ม

“ดาวน้อย”

“ไหนร้องให้พ่อฟังหน่อย…”

กริ๊ง…!!

คำพูดของโจวอี้ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือ

เขาหยิบมันออกมาและเห็นว่าชื่อผู้โทรเข้ามาคือถังหว่าน

เขารีบเขย่าโทรศัพท์มือถือต่อหน้าลูกสาวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่โทรมา เรารับโทรศัพท์กันก่อนไหม?”

“อื้ม!” เด็กน้อยพยักหน้า

หลังจากรับโทรศัพท์แล้ว โจวอี้ก็พาลูกสาวเดินออกมาพลางหัวเราะกับปลายสาย “เสี่ยวหว่าน ผมเพิ่งมารับลูกและตอนนี้กำลังจะกลับบ้าน! คุณกลับมาแล้วเหรอ?”

“โจวอี้ ฉันมีอะไรจะบอกคุณ” น้ำเสียงจริงจังของถังหว่านดังลอดออกมาจากลำโพงโทรศัพท์มือถือ

“เรื่องอะไร”

“พ่อแม่ของฉันมาที่จินหลิงและตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านแล้ว ฉันขอให้พี่เหม่ยไปรับ เหมียวเหมี่ยว คุณให้เหมียวเหมี่ยวกลับกับเธอนะ” ถังหว่านอธิบาย

โจวอี้หยุดฝีเท้ากะทันหัน

พ่อแม่ของถังหว่าน?

ครั้งหนึ่งเขาเคยพบกับแม่ของถังหว่าน เพราะลุงฉินจากหมู่บ้านโจวเมียวที่ภูเขาชางหลางเป็นลุงของถังหว่าน และลุงฉินมีศักดิ์เป็นพี่ชายของแม่ถังหว่าน

แต่ถังหว่านไม่อยากให้พ่อแม่ของเธอพบเขางั้นเหรอ?

“ผมไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่ผมมาอยู่ที่นี่หรอกนะ” โจวอี้กล่าว

“แต่ฉันจะเก็บเป็นความลับให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ฉันยุ่งกับงานมาก ฉันไม่สามารถเสียเวลาไปจัดการกับเรื่องนี้ได้ ขอเวลาฉันหน่อยได้ไหม”

ถังหว่านกล่าวอย่างเย็นชาว่า “โจวอี้ ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจและไม่ทำให้ฉันลำบากใจนะ”

“คุณ…”

โจวอี้รู้สึกอึดอัด แต่ท้ายที่สุดเขาก็พูดว่า “ถ้าพ่อแม่ของคุณอยู่ในจินหลิงไม่นาน ผมสามารถให้ความร่วมมือได้ แต่ถ้าพวกท่านจะอยู่อย่างถาวร … ”

“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่นานนักหรอก พวกเขาแค่มาเยี่ยม!” ถังหว่านกล่าวอย่างหนักแน่น