พอหวังซีตื่น มหาสมุทรก็กลายเป็นทุ่งหม่อน

หวังเฉินพี่ชายใหญ่ของนางไม่เพียงเปลี่ยนความคิด ให้นางรับผิดชอบจัดการเรื่องผงธูปหอมของเฉินลั่วเท่านั้น ยังมอบป้ายขอเยี่ยมให้นางหนึ่งใบ ให้นางส่งหวังสี่ไปหานักพรตเต๋านามว่าเซียวเหยาจื่อที่วัดเจินอู่ทางทิศตะวันตกของเมือง เขาเป็นนักพรตเต๋าท่านหนึ่งที่ข้ารู้จักเมื่อหลายปีก่อนที่เขาหลงหู่ของเจียงซี เขาชอบศึกษาพวกสิ่งของแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ปรุงยาอายุวัฒนะก็พอประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แทนที่เจ้าจะไปหาหมอ มิสู้ไปหานักเล่นแร่แปรธาตุดีกว่า

หวังซีลิงโลดยินดี รู้สึกว่าตัวเองก็พอจะช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในตระกูลได้แล้ว จึงยืดหลังตรงอย่างภาคภูมิกว่าปกติ

ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่! นางกอดแขนหวังเฉินไว้เขย่าไปมาไม่หยุด ยังกล่าวรับประกันกับหวังเฉินด้วยว่า ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมและเรียบร้อยแน่นอน ต่อให้สร้างความดีความชอบอะไรมากไม่ได้ ก็ไม่มีทางนำปัญหามาให้ที่บ้าน

หวังเฉินยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า กล่าวว่า เจ้ารู้ก็ดี! บนโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตคน มีแต่คนมีชีวิต ถึงจะเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสในโลกนี้และรายล้อมด้วยอาภรณ์หรูหราได้ หากเพื่อช่วยเหลือตระกูลแล้วทำให้มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า พี่ใหญ่คงเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่สิ ชาติหน้า…หรือแม้แต่ชาติหน้าของชาติหน้าก็คงเสียใจด้วย!

กล่าวจบ ยังเขกศีรษะของนางด้วย

หวังซีหัวเราะร่าเสียงดัง รู้ว่ายิ่งคนคนหนึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบมากเท่าไร ไม้หามบนบ่าก็หนักมากเท่านั้น

พี่ชายใหญ่ของนางให้นางออกหน้าไปคบหาสมาคมกับเฉินลั่ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง ต่อให้ผู้อาวุโสในบ้านไม่ตำหนิเขา จิตใจอันรู้ผิดชอบของพี่ชายใหญ่ของนางก็ไม่สงบ ต้องกล่าวโทษตัวเองอยู่ดี

ถือว่าเพื่อตอบแทนความอุตสาหะในครั้งนี้ของพี่ชายใหญ่ของนาง นางเองก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน

นางกล่าวถ้อยคำประเภท ‘ข้าจะระมัดระวัง’ อีกหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งหวังเฉินฟังจนทนไม่ไหวลากนางไปที่ห้องหนังสือของเขา นางถึงได้หยุด

หวังเฉินอดหยอกเย้านางเหมือนวันก่อนไม่ได้ว่า นี่ก็เพราะเป็นข้าแล้ว หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ถูกเจ้าพูดจ้อใส่เช่นนี้ เกรงว่าหูคงมีรังไหมขึ้นแล้ว!

หวังซีหัวเราะคิก

หวังเฉินเขียนป้ายขอเยี่ยมให้หวังซีใบหนึ่ง หวังซีหยิบแล้วหมายจะวิ่งออกไป ทว่าถูกหวังเฉินเรียกตัวเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า กลับมาก่อน

นางเบิกดวงตาโพลงมองหวังเฉิน นัยน์ตาเต็มไปด้วยคำถามว่า ทำไมหรือ

หวังเฉินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวว่า ทำดีแค่ไหน ก็ต้องให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย เพราะเจ้าอยากช่วยเฉินลั่วผู้นั้น อยากให้เฉินลั่วยอมรับน้ำใจของตระกูลพวกเรา เจ้าก็เลยให้หวังสี่ตรงไปหาคนเลยโดยไม่คิดวิธีอะไรสักหน่อย หรือใช้สมองขบคิดอะไรสักนิดแล้ว?

หวังซีกล่าวอย่างโง่งมว่า คิดวิธีอะไร ใช้สมองขบคิดอะไรหรือเจ้าคะ มิใช่ว่าให้ข้าไปสืบดูว่าเซียวเหยาจื่อท่านนั้นชอบอะไร ตอนหวังสี่ไปขอเยี่ยมก็ให้เขานำติดมือไปฝากเป็นของขวัญด้วยหรอกหรือ

หวังเฉินส่ายศีรษะ ฉับพลันนั้นเข้าใจสิ่งที่ท่านหมอเฝิงพูดขึ้นมาเล็กน้อย

น้องชายและน้องสาวของเขาล้วนเป็นคนเฉลียวฉลาดและเฉียบแหลมมากกันทั้งสิ้น แต่เมื่อเจอเขากลับชอบโยนทุกอย่างให้เขาไปแก้ไขปัญหา เวลานานวันเข้า ยามอยู่ต่อหน้าเขาถึงกับไม่ยอมใช้สมองขบคิดอีกแล้ว

นี่มิใช่เรื่องดีนัก!

เขาทอดถอนใจกล่าวอย่างรู้สึกเสียใจภายหลังว่า นั่วนั่วเอ๋ย แม้นข้าไม่เคยพบเฉินลั่วมาก่อน แต่เขาที่เป็นบุตรชายของจ่างกงจู่ผู้หนึ่ง กลับอยู่ในพระราชวังเสมือนปลาได้น้ำ อยู่ท่ามกลางองค์ชายทั้งหมดได้อย่างชาญฉลาดและสบายๆ เจ้าคิดว่าเป็นเพราะสถานะของเขาเพียงเท่านั้นหรือ…

…ด้วยความสามารถเช่นนี้ เขาจะฝากฝังเรื่องไขปริศนาส่วนผสมของผงธูปหอมทั้งหมดไว้กับคนที่เขาไม่คุ้นเคยด้วยอย่างเฉาอวิ๋น หรือไม่ก็คนที่เขาบังเอิญพบที่วัดต้าเจวี๋ยอย่างเจ้ากับท่านหมอเฝิงเพียงเท่านั้นหรือ

จริงด้วย! หวังซีตอบ ในที่สุดสมองก็เริ่มขบคิดขึ้นมาแล้ว กล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ว่า ความหมายของพี่ใหญ่ก็คือ เขาอาจไปหาคนอื่นที่เขารู้สึกว่าช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ เมื่อมองเช่นนี้แล้ว พวกเราต้องเพิ่มความเร็วขึ้นอีกก้าว ไม่อาจให้ผู้อื่นเร่งตามทันพวกเรา

หวังเฉินพยักหน้า ชี้นำหวังซีต่อ กล่าวยิ้มๆ ว่า ยังมีอะไรอีก? พวกเราควรจะทำอย่างไรอีก

หวังซีคิด พี่ชายของตัวเองเป็นคนที่พึ่งพาได้มากผู้หนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาพบเห็นโลกมามากวิสัยทัศน์กว้างไกล รู้จักผู้คนก็มากมาย คนที่เขาแนะนำมาให้ แม้นไม่กล่าวอวดอ้างความสำเร็จ แต่ต้องเป็นคนมีพรสวรรค์มากความสามารถเป็นแน่ ถ้าหากแค่ต้องเร็วกว่าผู้อื่นเพียงอย่างเดียว พี่ชายใหญ่ของนางย่อมไม่ถามนางเช่นนี้อย่างแน่นอน

นางกล่าว ท่านหมายความว่าในมือของเฉินลั่วยังมีผงธูปหอมอยู่อีกเป็นแน่ ในเมื่อพวกเราจะช่วยเขาแล้ว มิสู้ทำให้เห็นเด่นชัดอีกสักเล็กน้อย ส่งคนไปขอผงธูปหอมจากเขามาอีกสักหน่อย…

…บอกว่าท่านหมอเฝิงไม่กล้ารับประกัน ต้องหาคนมีความรู้และไว้ใจได้มาช่วยอีกสักสองสามคน เพื่อไม่ให้เป็นการทำให้เขาต้องเสียเวลา ผงธูปหอมที่เขาให้มาไม่เพียงพอ ถามเขาว่ามอบให้อีกสักหน่อยได้หรือไม่

ยิ่งกล่าวหวังซีก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่ชายใหญ่ของตัวเองช่างเก่งกาจนัก อยู่เฉยๆ ก็คิดวิธีกระชับความสัมพันธ์กับเฉินลั่วให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้วิธีหนึ่งแล้ว

หวังเฉินเห็นนางเข้าใจแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มกับความคิดเมื่อวานของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง อดที่จะชี้แนะน้องสาวของตัวเองไม่ได้ว่า ผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นต้องจริงใจ อย่าคิดว่าผู้อื่นเป็นคนโง่เขลาเป็นอันขาด แม้นพวกเราจะอยากสนิทสนมกับเฉินลั่วมากขึ้น ทว่าก็ไม่อาจยื่นหัวไหล่ของตัวเองให้ผู้อื่นเหยียบย่ำได้ คนที่ยอมรับแผนการและวิธีการประเภทนี้ได้ ก็ไม่ควรค่าให้สานสัมพันธ์ด้วยนัก…

เขาพูดเจื้อยแจ้วไม่น้อยไปกว่าที่หวังซีพูดเมื่อครู่เลยเพียงแต่ว่าไม่รู้ตัวเท่านั้น

หวังซีเม้มปากกลั้นยิ้ม ยืนตัวตรงเหมือนสมัยเด็กโดยตลอด

หวังเฉินพูดจนพอใจแล้วถึงได้ปล่อยนางไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก่อนหวังซีจะไปจริงๆ เขายังย้ำกำชับอีกสองสามประโยคประมาณว่า มีปัญหาก็ไปหาหลงจู๊ใหญ่ ส่วนหวังสี่เจ้าก็ต้องใช้งานด้วย

หวังซีพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง กระทั่งหวังเฉินออกไปพบผู้ดูแลสิบสามห้างของก่วงตงคนปัจจุบันแล้ว นางถึงได้ดีดตัวขึ้นมา ยัดป้ายขอเยี่ยมของหวังเฉินให้หวังสี่และสั่งการคำรบหนึ่งเสร็จแล้ว ก็วิ่งฉิวไปหาท่านหมอเฝิง

ปู่เฝิง ต้องเป็นท่านแน่ๆ ที่ช่วยพูดให้ข้า นางกล่าวอย่างดีอกดีใจ เติมน้ำชาให้ท่านหมอเฝิงอย่างกระตือรือร้น ข้าไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไรดี ในที่สุดข้าก็ช่วยเหลือที่บ้านได้บ้างแล้ว

ท่านหมอเฝิงหัวเราะร่า ไม่เอ่ยอ้างผลงานใดๆ แต่ย้ำกำชับนางครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นเดียวกับหวังเฉินว่ากระทำอะไรนางก็ต้องกระทำอย่างระมัดระวัง อย่ากระทำสิ่งที่ทำให้คนในบ้านต้องเป็นห่วงเป็นอันขาด ความสำเร็จอะไรก็เทียบไม่ได้กับความปลอดภัยของนาง

หวังซีพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ทำตามที่เคยตกลงกับเฉินลั่วเอาไว้ก่อนหน้านี้ ส่งบ่าวชายผู้หนึ่งไปหาเขา ณ ที่ทำการของเขา

เฉินลั่วไม่อยู่ บ่าวชายผู้นั้นรอตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ถึงได้พบเฉินลั่วที่มาถึงอย่างเชื่องช้า

เขาเจอบ่าวชายที่หวังซีส่งมาแล้วก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดว่าต่อให้ท่านหมอเฝิงจะเก่งกาจเพียงใด ก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันถึงจะให้คำตอบได้ คิดไม่ถึงว่าวันที่สองหวังซีก็มาหาแล้ว

เฉินลั่วเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงนัดพบหวังซีวันพรุ่งนี้ที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งในเขตเสี่ยวสือยง

ตอนที่บ่าวชายไปรายงานหวังซีนั้น หวังเฉินเองก็กลับมาแล้ว สองพี่น้องนั่งฟังบ่าวชายผู้นั้นรายงานด้วยกัน

หวังเฉินพึมพำกล่าว จวนหย่งเฉิงโหวอยู่ในเขตเสี่ยวสือยง เขานัดพบที่โรงน้ำชาของที่นั่นก็นับว่าเอาใจใส่แล้ว

เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ หวังซีย่อมไม่อาจเขียนจดหมายหรือทิ้งข้อความไว้ บ่าวชายเป็นลูกน้องคนสนิทที่หวังสี่ไว้ใจ หากหวังสี่ได้เป็นสินเจ้าสาวของหวังซี เขาเองก็จะติดตามหวังซีไปพร้อมกับหวังสี่ด้วยเช่นกัน จึงไม่มีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์ ดังนั้นการนัดพบในวันพรุ่งนี้ ก็เป็นเพียงการพบกับคนที่หวังซีให้ส่งจดหมายหรือไม่ก็นำความไปแจ้งเฉินลั่วอีกทอดหนึ่งเท่านั้น

หวังซีคิดว่าพรุ่งนี้หวังเฉินก็ต้องออกจากจิงเฉิงแล้ว แม้นไม่อาจไปส่งถึงทงโจวได้ ส่งออกจากเมืองหลวงก็ยังดี เพราะฉะนั้นเมื่อวานจึงให้คนนำจดหมายไปแจ้งที่จวนหย่งเฉิงโหว บอกว่าพรุ่งนี้นางถึงกลับ นางก็เลยอยากไปพบเฉินลั่วด้วยตัวเอง

แต่เดิมคิดแค่ว่าช่วยเขาได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพียงเท่านั้น นางปรึกษาพี่ชาย วันนี้เนื่องจากต้องไปมาหาสู่กับเขาบ่อยๆ การให้คนนำจดหมายไปส่งให้เขา ณ ที่ทำการเช่นนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว

หวังเฉินไม่ชอบให้น้องสาวตัวเองเผยโฉมหน้าออกไปนัก กล่าวว่า เรื่องนี้มอบหมายให้หวังสี่ก็พอ

หวังซีรู้สึกว่าหวังสี่มีน้ำหนักไม่เพียงพอ ท่านหมอเฝิงและหลงจู๊ใหญ่อยู่จิงเฉิงพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ง่ายที่ผู้คนจะสังเกตเห็น แต่นางกับเฉินลั่วพบกันบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ

ครั้งนี้ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเอง นางกล่าวอย่างไตร่ตรอง จะได้แนะนำหวังสี่ให้เขารู้จัก ส่วนต่อไปจะจัดการอย่างไรนั้น เฉินลั่วเองก็คงไม่มีเวลามาพบข้าบ่อยๆ เช่นกัน ไม่แน่ว่าเขาเองก็อาจจะส่งคนที่ตัวเองไว้ใจมาติดต่อกับพวกเราก็เป็นได้

นี่มีความเป็นไปได้สูงมาก

หวังเฉินจึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา หากน้องสาวตัวเองไปพบเฉินลั่วด้วยตัวเอง ทว่าเฉินลั่วกลับส่งคนสนิทของตัวเองไปแทน มิเท่ากับว่าน้องสาวของเขาเสียเปรียบหรอกหรือ

เช่นนั้นก็ให้คนไปบอกเฉินลั่วอีกครั้งหนึ่ง เขาตัดสินใจในท้ายที่สุด หากเขาส่งคนไป พวกเราก็จะส่งคนไป หากเขาไปด้วยตัวเอง พวกเราก็จะไปด้วยตัวเอง

จำเป็นต้องยุ่งยากเพียงนี้ด้วยหรือ

ตอนเช้ายังบอกนางว่าการผูกมิตรต้องจริงใจ ถ้าหากนางไปด้วยตัวเอง แต่เฉินลั่วกลับส่งคนสนิทไปแทน มิใช่ว่าจะอวดอ้างความจริงใจของพวกนางได้เด่นชัดมากขึ้นหรอกหรือ ไม่แน่ว่าอาจทำให้เฉินลั่วรู้สึกละอายใจด้วย ซึ่งดีกว่ามิใช่หรือ

เหตุใดพอตกบ่ายก็กลับคำพูดเสียแล้ว

ที่ผ่านมานางไม่เคย ‘ร่วมงาน’ กับพี่ชายมาก่อน ตอนนี้ค้นพบว่าพี่ชายก็มีเวลาที่เปลี่ยนใจกลับไปกลับมาเช่นกัน

พี่ชายที่มีข้อบกพร่องบ้าง มีแต่จะทำให้หวังซีรู้สึกใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

นอนพลิกตัวไปมาจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น นางไปส่งพี่ชายใหญ่ออกจากเมืองกลับมาแล้ว ถึงมีข่าวคราวตอบกลับมาจากเฉินลั่ว ตอนเช้าเขาต้องเข้าวัง ไม่รู้ว่าตอนบ่ายจะมีเวลาว่างหรือไม่ ให้หวังซีรออยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหวก่อน เขาจะหาวิธีไปพบนางเอง

หวังซีเหงื่อซึม

เป็นจริงอย่างที่พี่ชายใหญ่ของนางกล่าวเอาไว้ เขาตั้งใจจะส่งคนสนิทผู้หนึ่งไปพบนางเพียงเท่านั้นจริงๆ

โชคดีที่พี่ชายใหญ่จากไปแล้ว หาไม่ต้องโกรธมากเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางพักอาศัยอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหว แล้วเฉินลั่วคิดจะมาพบนางอย่างไรนะ?

หวังซีเดินทางกลับจวนหย่งเฉิงโหวด้วยความกระตือรือร้น

แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อกลับถึงจวนคือไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า เพื่อเป็นการไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าสักคำว่า ‘นางกลับมาแล้ว’

นางออกไปสามวันสองคืน ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงมากจริงๆ จับมือนางไว้เอ่ยถามตรงประเด็นว่า หลงจู๊ใหญ่พักอยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยกับเจ้าโดยตลอด หรือว่าส่งคนผู้หนึ่งมาติดตามเจ้า? ข้าคิดว่าเจ้าจะไปและกลับในวันเดียวกันถึงได้อนุญาต ต่อไปหากมีเรื่องเช่นนี้อีก ต้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านร่วมทางไปกับเจ้าด้วยถึงจะทำให้คนวางใจได้!

หวังซีพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด

ฮูหยินผู้เฒ่าถามนางว่าเหตุใดถึงไปนานขนาดนี้ นางบอกเพียงว่าบังเอิญได้พบกับท่านเจ้าอาวาสซ่างไห่ของวัดต้าเจวี๋ย บอกว่านางมีวาสนากับพระพุทธองค์ จึงรั้งให้นางพักอยู่ด้วยสักสองสามวัน ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วมีท่าทางเข้าใจ ถามนางยิ้มๆ ว่า เจ้าบริจาคเงินค่าน้ำมันค่าธูปไปเท่าไร พระต้อนรับแขกเหล่านั้นถึงกับไปรบกวนซ่างไห่เชียวหรือ

เดิมหวังซีคิดจะให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องไล่ถามต่อ ผู้ใดจะรู้ว่ากลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจผิด

นางพึมพำตอบ ก็ไม่มากเท่าไร อย่างละอายใจไปเสียงหนึ่ง ใครจะรู้ว่ากลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งคิดไปว่านางถูกหลอก

โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่ไล่เลียงถามเรื่องที่วัดต้าเจวี๋ยกับนางต่อ เปลี่ยนไปเอ่ยถึงคุณหนูพานขึ้นมาแทน เจ้าได้พบกับนางหรือไม่ เมื่อวานป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็ไปวัดต้าเจวี๋ยเป็นเพื่อนนางเช่นกัน งานแต่งระหว่างนางกับตระกูลหลิวก็น่าจะกำหนดลงมาแล้ว รอมีข่าวคราวออกมา ถึงเวลาเจ้าอย่าลืมไปกล่าวแสดงความยินดีกับป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าและคุณหนูพานด้วย

นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว

หวังซีรับคำ อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่งแล้วถึงได้กลับสวนหิมะงาม

ช่วงเช้านางออกนอกเมืองไปครั้งหนึ่ง นั่งรถม้าไปกลับใช้เวลาไปร่วมหนึ่งชั่วยาม รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย หลังจากล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวใหม่เสร็จ พอล้มตัวลงบนเตียงนางก็หลับสนิทไปเลย

กระทั่งนางลืมตาตื่นขึ้น ก็ถึงเวลาจุดโคมไฟยามเย็นแล้ว

…………………………………………………………………..

ตอนต่อไป