หวังซีลืมตา ลำแสงโพล้เพล้เต็มท้องนภา สะท้อนแสงสีแดงผ่านช่องหน้าต่าง
นางลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ถามไป๋กั่วอย่างร้อนใจว่า มีจดหมายมาจากเฉินลั่วหรือยัง
ไป๋กั่วพยักหน้ายิ้มๆ หยิบผ้าร้อนมาเช็ดหน้าให้นางไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า ตอนบ่ายมีนกพิราบตัวหนึ่ง มาพักอยู่บนบันไดหน้าห้องโถงของพวกเราไม่ยอมไปไหน อาหนานจับขึ้นมาดู พบว่าที่ขาของมันมีกระดาษเส้นเล็กผูกเอาไว้หนึ่งแผ่น ถึงได้รู้ว่าเป็นนกพิราบที่คุณชายเฉินเลี้ยงเอาไว้
เอ๋! เฉินลั่วผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
หวังซีหัวเราะอย่างเป็นสุข ถามว่า เขียนว่าอย่างไรบ้าง
ไป๋กั่วรีบไปหยิบกระดาษมาให้หวังซี กล่าวว่า คุณชายเฉินบอกว่าเขาย้ายกลับมาอยู่ที่ศาลากวางร้องแล้ว เขาอยากนัดพบท่านที่ประตูข้าง ณ สวนดอกไม้ด้านหลังของจวนจ่างกงจู่เวลาต้นยามซวี[1] ท่านคิดว่าไปได้หรือไม่เจ้าคะ
จวนจ่างกงจู่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของซอยเอ้อเถียว แล้วจวนจ่างกงจู่มีประตูข้างด้วยหรือ
แต่ยามซวีเป็นช่วงก่อนเวลาห้ามออกนอกเคหสถานพอดี ช่วงเวลาดังกล่าวนับว่าเป็นเวลาที่เลือกได้ไม่เลวนัก
หวังซีเห็นว่าเป็นเวลาต้นยามโหย่ว[2]แล้ว รีบให้คนไปสืบเรื่องประตูข้างของจวนจ่างกงจู่
ไป๋กั่วกลับมาแจ้งว่า ข้าไม่กล้าสอบถามอย่างเอิกเกริก ได้ยินผู้อาวุโสในจวนพูดกันว่า ประตูข้างตรงสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนจ่างกงจู่อยู่ที่ซอยซานเถียว แต่ข้าคิดว่าใต้เท้าเฉินถึงกับเอ่ยออกมา แสดงว่าต้องมีอีกที่หนึ่งที่ทุกคนไม่รู้เป็นแน่ ข้าจึงไปดูด้วยตัวเอง พบว่าที่ซอยเอ้อเถียว ไม่ไกลจากซอยกันไฟของสวนร่มหลิวมีประตูข้างบานหนึ่งถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยผาซานหู่[3] คล้ายถูกปล่อยรกร้างไม่ได้ใช้งานแล้ว ข้าคิดว่าสถานที่ที่ใต้เท้าเฉินพูดถึงน่าจะเป็นที่นั่น ท่านเห็นว่าถึงเวลาพวกเราควรจะส่งคนไปรอที่นั่นสักคนหนึ่งหรือไม่
หวังซีคิดว่าป้องกันไว้ปลอดภัยกว่า กล่าวว่า เช่นนั้นเจ้าให้เสี่ยวหนานจับตาดูที่นั่นเอาไว้ หากมิใช่ พวกเราค่อยคิดหาหนทางอื่นกันใหม่ จากนั้นถามอีกว่าหวังสี่กลับมาหรือยัง
หากต้องติดต่อกับเฉินลั่วเป็นเวลายาวนาน นางไม่อาจไปพบเฉินลั่วด้วยตัวเองทุกครั้งได้ หนึ่งเพราะเวลาไม่เอื้ออำนวย และสองเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนอาจถูกผู้อื่นสังเกตเห็นได้ง่าย หากถูกคนมีเจตนาร้ายจับตามอง พวกเขาอยากทำอะไรอย่างลับๆ ก็ไม่ง่ายแล้ว เช่นนั้นที่เฉินลั่วมาหานางจะมีความหมายอะไร
นางกล่าว ประเดี๋ยวให้หวังสี่ไปเป็นเพื่อนข้า
ถือเป็นการแนะนำหวังสี่ให้เฉินลั่วรู้จักอย่างเป็นทางการ ต่อไปมีเรื่องอะไร หวังสี่ก็ออกหน้าติดต่อเฉินลั่วแทนนางได้แล้ว
ไป๋กั่วรับคำ หมุนกายไปดูว่าหวังสี่กลับมาจากภูเขาตะวันตกหรือยัง
หวังซีไปรับมื้อเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า ตอนย้ายไปนั่งดื่มชาที่ห้องโถงรับรองนั้นซือจูพูดเสียดสีเจื้อยแจ้วอยู่ที่นั่นอีกแล้ว หวังซีมีเรื่องในใจ จึงหาข้ออ้างกลับสวนหิมะงามก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว ทว่ามิได้กล่าวสิ่งใด
ไป๋ซู่อดเคืองโกรธในความอยุติธรรมแทนหวังซีไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าช่างลำเอียงเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย ซือจูผู้นั้นก็ยังลากตัวท่านเข้าไปเกี่ยวด้วยได้ พยัคฆ์ไม่อวดอ้างอำนาจ พวกเขายังคิดว่าท่านเป็นแมวป่วยอยู่อีก ข้าว่า ท่านควรจะหาวิธีสำแดงฤทธิ์เดชให้พวกนางดูสักครั้งหนึ่งแล้ว…
…ถูกแมลงวันจับจ้องอยู่ตลอดเช่นนี้ แม้นจะไม่เจ็บไม่ปวดทว่าสุดท้ายก็น่ารำคาญมากอยู่ดี
หวังซีมีเรื่องที่สำคัญมากกว่า ไหนเลยจะเก็บอุบายเล็กน้อยเหล่านั้นของซือจูมาใส่ใจ นางกล่าว รอข้าเสร็จธุระนี้ก่อนค่อยว่ากัน
ไป๋ซู่ไม่กล้าพูดอะไรอีก นางกับไป๋จื่อช่วยกันเปลี่ยนเสื้อและกระโปรงสีเข้มให้หวังซี แล้วไปที่สวนร่มหลิวเป็นเพื่อนนาง
เรือนปีกและห้องโถงรับรองต่างๆ ในสวนร่มหลิวล้วนซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอวาดฝ้าเพดานเสร็จ ขนย้ายเครื่องเรือนและรอให้กลิ่นน้ำมันเคลือบเงาจางลงอีกสักสองสามวันก็ย้ายเข้ามาอยู่ได้แล้ว
หวังซีพึงพอใจเป็นอย่างมาก กล่าวกับไป๋ซู่ว่า จัดเก็บห้องน้ำชาเรือนประธานของพวกเราให้เรียบร้อยสักหน่อย ตอนฤดูใบไม้ร่วงพวกเราจะได้ใช้เตาไฟของห้องน้ำชาเคี่ยวน้ำเชื่อมลูกหลีของสารทฤดู
ไป๋ซู่และคนอื่นๆ หัวเราะร่วน กล่าวว่า คุณหนูไปถึงไหน ล้วนต้องจัดสถานที่พักอาศัยให้เหมือนกับที่บ้าน
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หวังซียิ้มแย้มเดินดูสวนร่มหลิวอย่างผ่านๆ รอบหนึ่ง กล่าวว่า มนุษย์ดำรงอยู่ด้วยเรื่องกินและอยู่สองอย่าง หากสองเรื่องนี้ยังเติมเต็มไม่ได้ ชีวิตยังจะมีอะไรให้น่าสนใจอีก
พวกนางที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเหล่านี้มักจะได้ยิน ‘คำกล่าวแบบเด็ก’ ของหวังซีอยู่บ่อยๆ ต่างพากันหยอกเย้าหวังซีว่าพรุ่งนี้ทำอะไรเป็นมื้อเช้าดี
หวังซีพูดคุยหัวเราะกับพวกนางพร้อมกับเดินออกมาจากลานบ้าน
หวังสี่รออยู่ด้านนอกลานบ้านนานแล้ว นางพาไป๋ซู่ไปเพียงคนเดียว เดินไปยังประตูข้างขนาดเล็กที่ไป๋กั่วกล่าวถึงก่อนหน้านี้
ประตูข้างเปิดเอาไว้ตามคาด มีบ่าวชายอายุเจ็ดถึงแปดขวบผู้หนึ่งชะโงกศีรษะออกมาจากตรงนั้น เมื่อเห็นหวังซีและคนอื่นๆ เขาก็ถลาไปรายงาน
กระทั่งหวังซีหยุดยืนอยู่นอกประตูข้างแล้ว เฉินลั่วก็เดินนำเด็กชายอายุไล่เลี่ยกับหวังสี่แต่งกายด้วยชุดผู้ติดตามผู้หนึ่งออกมา
คุณหนูหวัง! เขากล่าวทักทายหวังซีอย่างสุภาพ มองหวังซีอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นัยน์ตาแฝงแววของคนที่มองเรื่องราวในโลกมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
นี่เขามองออกว่านางมีเจตนาแอบแฝงในการเข้าใกล้เขาแล้วกระนั้นหรือ
หวังซีกระดากอายเล็กน้อย คิดว่าที่พี่ชายใหญ่ไม่อยากให้นางเผยโฉมหน้าออกมา กลัวนางจะโดนรังแกนั้น ความจริงแล้วก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ
นางแนะนำหวังสี่ให้เฉินลั่วรู้จัก กล่าวว่า นี่คือหวังสี่พี่ชายร่วมน้ำนมของข้า ต่อไปหากมีเรื่องอะไร ข้าเองไม่สะดวกออกหน้าเท่าไร ก็เลยจะให้เขาช่วยวิ่งเต้นให้ข้า
เฉินลั่วคิดเช่นเดียวกับนาง ชี้บุรุษแต่งกายด้วยชุดผู้ติดตามข้างกายเขา หน้าตาธรรมดาสามัญที่หากทิ้งไว้ท่ามกลางกลุ่มคนเจ้าก็หาตัวไม่พบแล้วกล่าวแนะนำสั้นๆ ประโยคหนึ่งอย่างรวบรัดว่า นี่คือเฉินอวี้
ความหมายโดยนัยก็คือ นี่คือคนที่เขาจัดเตรียมไว้สำหรับติดต่อกับหวังซี
หวังซีหันไปพยักหน้าให้เฉินอวี้อย่างสุภาพ
เฉินอวี้ก้าวออกมาคารวะหวังซี แล้วถอยไปอยู่หลังเฉินลั่วอย่างเงียบเชียบ
ตำแหน่งนั้น หากไม่สังเกต เจ้าก็ไม่รู้ว่าที่นั่นมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
ดูแล้วเฉินอวี้ผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน!
หวังซีคิด หยิบยกเซียวเหยาจื่อของวัดเจินอู่ออกมาแนะนำด้วย ยังกล่าวว่า หากท่านสะดวก ก็ไปหาคนผู้นี้ได้เช่นกัน!
เฉินลั่วฟังแล้ว สายตาที่มองนางดูเคารพนับถือขึ้นหลายส่วน
ตระกูลเฉินยึดครองจิงเฉิงมาตั้งแต่ก่อนที่ราชวงศ์ปัจจุบันจะก่อตั้งราชวงศ์ อีกทั้งเขายังเป็นหลานชายร่วมสายโลหิตของจักรพรรดิ สถานที่อื่นไม่อาจกล่าวถึง แต่จิงเฉิงไม่มีประตูไหนที่เขาเข้าไปไม่ถึง
หวังซีบอกเรื่องนี้แก่เขาอย่างเปิดเผยและจริงใจได้ อย่างอื่นไม่เอ่ยถึง แค่ท่าทีของการจัดการเรื่องประเภทนี้ก็ตัดสินได้แล้วว่าตระกูลหวังควรค่าแก่การคบหาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้คำพูดคลุมเครือของเขา นางก็ยังตามหาสถานที่ที่ถูกต้องได้
จึงยิ่งทำให้เฉินลั่วชื่นชมมากขึ้น
เขากล่าว ด้านวัดเจินอู่ พวกเจ้าตามหาสถานที่และคนจนพบได้ ย่อมเป็นเพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับคนที่มีนามว่าเซียวเหยาจื่อผู้นั้น บางเรื่อง ตอนนี้ข้าไม่สะดวกออกหน้า ให้เจ้าส่งคนไปหาเขาดีกว่า
เฉินลั่วมีอำนาจ มีอิทธิพลและมีวงศ์วาน ตระกูลหวังอยากให้เขาสนใจ ก็ต้องมีอะไรที่เฉินลั่วใช้ประโยชน์ได้
ส่วนที่มิได้บอกเฉินลั่วว่านางส่งหวังสี่ไปหาเซียวเหยาจื่อแล้ว แต่เซียวเหยาจื่อจะช่วยดูส่วนผสมของผงธูปหอมให้พวกเขาหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจุดที่ต้องระมัดระวังเกินไป หากเซียวเหยาจื่อไม่อยากยุ่งเรื่องไม่สลักสำคัญนี้ แล้วพวกเขาแนะนำเซียวเหยาจื่อให้เฉินลั่ว จะเป็นทั้งการทำลายมิตรภาพระหว่างหวังเฉินกับเซียวเหยาจื่อและอาจทำให้เฉินลั่วรู้สึกว่าคนตระกูลหวังไร้ประโยชน์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ต้องให้เขาออกหน้าด้วยตัวเอง
บัดนี้ หวังซีรู้สึกว่าเฉินลั่วเองก็ไม่เลวเลยทีเดียว เป็นคนที่ใช้งานคนที่ไม่น่าสงสัย ส่วนคนที่สงสัยก็ไม่ใช้
จุดนี้ดีมาก
เป็นการเริ่มต้นที่ดี
หวังซีพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม ตัดสินใจว่าเวลาติดต่อกับเฉินลั่วจะเปิดเผยและตรงไปตรงมามากขึ้นอีกเล็กน้อย
นางกล่าว ท่านคงเอาผงธูปหอมมาแล้ว? หากในมือของท่านมีผงธูปหอมเหลืออยู่มาก พวกเรายังหาคนอื่นๆ มาช่วยดูเพิ่มได้อีก
เฉินลั่ว อืม เสียงหนึ่ง เฉินอวี้ที่เปรียบเสมือนเงาผู้นั้นก้าวออกมาสองสามก้าว ยื่นกล่องกระดาษขนาดเท่ากำปั้นส่งให้หวังสี่กล่องหนึ่ง
หวังซีมองหวังสี่ครั้งหนึ่ง หวังสี่ถึงได้รับมา
เฉินลั่วกล่าว นี่เป็นผงธูปหอมทั้งหมดที่ข้าหามาได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาต้องการบอกนางว่าไม่อาจหาผงธูปหอมมาให้นางได้อีกแล้ว หรือเป็นเพราะกำลังบอกนางว่า เรื่องผงธูปหอมเขามอบหมายให้นางเป็นคนจัดการทั้งหมดกันแน่?
หวังซีเลือกที่จะไม่สนใจว่าความหมายโดยนัยของเฉินลั่วคืออะไร นางจะจัดการเรื่องนี้โดยคิดเสียว่าเป็นทั้งสองความหมายก็แล้วกัน
เหมือนพ่อบ้านข้างกายพี่ชายใหญ่ของนาง ทุกคนล้วนประจบประแจงพี่ชายใหญ่ของนาง เมื่อได้รับตำแหน่งสำคัญจากพี่ชายใหญ่ของนาง ล้วนแล้วแต่จัดการเรื่องต่างๆ ด้วยท่าทีเช่นนี้ทั้งสิ้นมิใช่หรือ
ในเมื่อนางอยากช่วยจัดการธุระให้เฉินลั่ว ก็ต้องปรับทัศนคติให้ถูกต้องก่อน
หวังซียิ้มหวานปานน้ำผึ้ง ดวงตาโก่งโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว กล่าวว่า ใต้เท้าเฉินวางใจ ข้ารับประกันว่าจะดูแลผงธูปหอมเหล่านี้เป็นอย่างดี
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินลั่วเปลี่ยนไปแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจกล่าววาจาเลื่อนเปื้อนเหมือนก่อนหน้านี้ได้แล้วเช่นกัน
เรื่องที่ทำไม่ได้ก็ไม่อาจทำให้เฉินลั่วเข้าใจผิดคิดว่านางทำได้ ยิ่งไม่อาจให้คำมั่นอย่างคลุมเครือว่านางทำได้ด้วย ส่วนเรื่องที่เอ่ยออกจากปากแล้ว ย่อมต้องทำให้ได้
จะตรวจสอบส่วนผสมของผงธูปหอมได้หรือไม่นั้นนางก็ไม่รู้ จึงทำได้เพียงรับประกันว่าผงธูปหอมเหล่านี้จะไม่ตกไปถึงมือของผู้อื่นเท่านั้น
เฉินลั่วยิ้มอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า ข้ามีร้านขายธูปเทียนเล็กๆ ร้านหนึ่งอยู่ข้างวัดหวงซื่อทางทิศตะวันตกของเมือง หลงจู๊ประจำร้านแซ่อู่ หากเจ้ามีเรื่องอะไรไม่สะดวกมาหาข้า ก็ให้คนนำความไปฝากหลงจู๊อู่ไว้ เขาจะนำมาแจ้งข้าเอง
วัดหวงซื่อก็เป็นวัดหนึ่งที่มีผู้ศรัทธามากล้น นอกจากนี้มันยังมีการคมนาคมที่สะดวก มีประชาชนไปจุดธูปไหว้พระที่นั่นเป็นจำนวนมาก คนเดินทางไปมามากมาย กำหนดที่นั่นเป็นสถานที่ติดต่อกัน ต่อให้มีคนอยากแอบติดตามก็ไม่ง่ายดายนัก
หวังซีดวงตาเป็นประกาย อดชื่นชมเฉินลั่วเพิ่มมากขึ้นไม่ได้
เฉินลั่วกลับโพล่งถามนางอย่างกะทันหันว่า ได้ยินว่าจวนหย่งเฉินโหวเริ่มซ่อมแซมสวนร่มหลิวใหม่?
หวังซีตะลึงงัน ขานรับส่งๆ ไปเสียงหนึ่งว่า ใช่ ในใจกลับเต้นตึกๆ วุ่นวายไปหมด
นี่เขารู้เรื่องที่ตนแอบสอดส่องเขาแล้ว? หรือว่ากำลังแอบส่งสัญญาณบอกอะไรนางอยู่?
แต่หลังจากนั้นเฉินลั่วกลับไม่กล่าวอะไรอีก เอ่ยประโยคหนึ่งว่า ลำบากเจ้าแล้ว กล่าวทักทายพี่ชายของเจ้าแทนข้าด้วย แล้วก็ออกจากประตูข้างไป
หวังซียืนงุนงงอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ถึงได้ลุกขึ้นกลับจวน
ไป๋กั่วและอีกสองสามคนรออยู่ที่สวนร่มหลิวด้วยดวงใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายโดยตลอด พอเห็นหวังซีกลับมาอย่างปลอดภัย ถึงได้พากันถอนใจอย่างโล่งอก ตอนนี้เองที่หวังซีถึงได้มีเวลาถามหวังสี่เรื่องไปเยี่ยมเซียวเหยาจื่อ
หวังสี่กล่าว ตอนข้าไปถึงท่านนักพรตออกไปเยี่ยมเยียนสหาย ไม่อยู่บ้าน กระทั่งเย็นถึงเวลาจุดโคมไฟแล้วถึงกลับมา ข้าส่งป้ายขอเยี่ยมของคุณชายใหญ่ให้เขา เขายังบ่นว่าเหตุใดคุณชายใหญ่ถึงไม่ไปเยี่ยมเขา ให้ข้านำจดหมายมาให้คุณชายใหญ่ บอกว่าช่วงเวลานี้ของปีหน้าเขาจะไปพักอยู่ที่ภูเขาเอ๋อเหมยระยะหนึ่ง ให้คุณชายใหญ่รอต้อนรับเขาให้ดี…
…ส่วนผงธูปหอมเขารับเอาไว้แล้ว ไม่ได้ถามเรื่องราวว่าเป็นมาอย่างไร กล่าวเพียงว่าอีกสิบวันให้ข้าไปฟังข่าวคราวอีกครั้ง
หวังซีพรูลมหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ นี่ก็นับว่าเป็นข่าวดีเรื่องหนึ่งแล้ว
นางกล่าวกับหวังสี่ว่า ด้านท่านนักพรต เจ้าต้องจับตาดูเอาไว้ จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้แล้ว
หวังสี่รับคำอย่างนอบน้อม
หวังซีครุ่นคิด ให้เขาไปหาหลงจู๊ใหญ่เพื่อขอคนมาสักสองสามคน บัดนี้เจ้าเองก็นับว่าเป็นพ่อบ้านคนหนึ่ง ไม่อาจมีเรื่องอะไรก็ต้องให้เจ้าวิ่งไปด้วยตัวเองแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าเองก็ต้องเรียนรู้การรวบรวมคนที่เจ้าใช้งานได้มาอยู่ข้างกายด้วยสักสองสามคนแล้วถึงจะถูก
นี่ก็เท่ากับว่าต้องการวางเขาไว้ในตำแหน่งที่สำคัญแล้ว
หวังสี่ลิงโลดยินดี นอกจากบ่าวชายสองคนที่พามาด้วยจากที่บ้านแล้ว ก็ไปเลือกคนจากหลงจู๊ใหญ่มาอีกสองสามคน จัดให้หนึ่งในจำนวนนั้นไปปรนนิบัติรับใช้เซียวเหยาจื่อ อีกคนหนึ่งติดตามอยู่ข้างกายเขา และอีกสองคนให้ผลัดกันเฝ้าอยู่ที่สวนหิมะงาม รอรับคำสั่งของหวังซี
……………………………………………………………………….
[1] ต้นยามซวี 19.00 นาฬิกา
[2] ต้นยามโหย่ว 17.00 นาฬิกา
[3] ไม้เลื้อยผาซานหู่ Boston ivy หรือตีนตุ๊กแกฝรั่ง
ตอนต่อไป