ตอนที่ 81 ขอแค่มีคนของเถาหยาง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวกิน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 81 ขอแค่มีคนของเถาหยาง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวกิน

ตอนที่ 81 ขอแค่มีคนของเถาหยาง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวกิน

ฐานโส่วอันไม่เพียงไม่มีแอร์ปรับอากาศ แต่ไม่มีกระทั่งน้ำประปา แม้กระทั่งห้องน้ำส่วนตัวก็ไม่มี ต้องไปเข้าห้องน้ำรวมที่ชั้นหนึ่ง

ซูเถาอยู่ในห้อง ก็ได้ยินเพื่อนที่มาจากตงหยางบ่นไม่หยุด

“ทำไมมีแต่กลิ่นเหม็นไปหมดทุกที่ ทั้งอบอ้าวทั้งเหม็น โดยเฉพาะชั้นหนึ่ง”

“ฉันแนะนำเลยว่าเธออย่าไปที่ห้องน้ำสาธารณะเด็ดขาด เพราะจะโชคร้ายมาก”

“ผ้าปูที่นอนนี่ไม่ได้ซักมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย รองเท้าฉันยังสะอาดกว่าอีก…”

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินหัวหน้าทีมพลาธิการตะโกนให้ทุกคนกลับไปที่ขบวนรถเพื่อขนย้ายน้ำ และบอกว่าในบ้านรับรองโส่วอันไม่มีน้ำสักหยด

ซูเถามีลางสังหรณ์ไม่ดี แต่เมื่อพิจารณาถึงความกังวลจริง ๆ ของตนแล้ว ก็ยังคงเดินลงไปที่ชั้นหนึ่ง

ทันทีที่เธอผลักประตูห้องน้ำสาธารณะที่ชั้นหนึ่ง ก็ต้องรีบปิดจมูกและก้าวถอยหลังออกไปสองก้าว

อากาศร้อนทั้งยังมีกลิ่นอุจจาระหมักหมม…

ซ้ำยังมีวัตถุกึ่งแข็งอยู่บนพื้น

กวานจือหนิงที่มาทีหลังก็ถึงกับสีหน้ามืดมนเมื่อเห็นฉากนี้ เธอคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในเถาหยางที่สะอาดแล้ว เมื่อต้องมาเห็นน้ำสกปรกแบบนี้ ก็แทบจะอาเจียนอาหารกลางวันออกมา

เธอไปหาพนักงานแผนกต้อนรับของบ้านรับรอง และขอให้เขาไปทําความสะอาดห้องน้ำสาธารณะ

แต่พนักงานแผนกต้อนรับเอ่ยอย่างไม่รับแขก

“ตอนนี้ยุคไหนแล้วยังต้องสนใจเรื่องพวกนี้อยู่อีก ไม่ต้องทำธุระส่วนตัวในที่โล่งแจ้งก็ไม่เลวแล้ว อีกอย่างตอนนี้ก็ขาดแคลนน้ำด้วย จะมีน้ำที่ไหนให้มาใช้สิ้นเปลือง”

ซูเถาได้กลิ่นเหงื่อบนร่างกายของเธอ และเมื่อคิดว่าต้องอาศัยอยู่ในที่แบบนี้อีกสามสี่วันจึงเอ่ยขึ้น

“คุณหาคนมาทําความสะอาดห้องน้ำสาธารณะให้เรา เรื่องน้ำเราจะจัดหามาเอง และฉันจะมอบน้ำสองขวด ขวดละ 500 มิลลิลิตรให้คุณเป็นค่าตอบแทน”

พนักงานแผนกต้อนรับตื่นเต้นขึ้นมา “จริงเหรอ?”

ตอนนี้ในโส่วอัน ยกเว้นพวกคนรวยที่อยู่ในใจกลางฐาน คนอื่น ๆ ต่างขาดแคลนน้ำกันเป็นอย่างมาก น้ำหนึ่งขวด 500 มิลลิลิตรสามารถซื้อเด็กที่มีสุขภาพดีจากครอบครัวผู้ลี้ภัยได้เลย

ซูเถาหยิบขวดน้ำขวดหนึ่งออกจากกระเป๋าถือ เพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย

“จริง ๆ นี่คือมัดจํา ถ้าทำเสร็จแล้ว ฉันจะให้อีกขวด”

พนักงานแผนกต้อนรับคว้าน้ำยัดใส่กระเป๋าอย่างว่องไว จากนั้นก็พูดกับซูเถาอย่างประจบประแจง

“ก่อนหน้านี้มีข่าวลือมาจากข้างนอกบอกว่าตงหยางไม่ได้ขาดแคลนน้ำ ฉันก็ยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว ฉันจะทําความสะอาดให้คุณเอง”

มีน้ำทำให้คนทํางานได้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ห้องน้ำสาธารณะที่สกปรกก็ถูกทําความสะอาดจนสะอาดเอี่ยม ไม่มีสิ่งที่ไม่สบายตาและกลิ่นไม่พึงประสงค์อีก แม้แต่ห้องน้ำสาธารณะก็ทำความสะอาดแล้ว

แม้จะไม่ดีเท่าในเถาหยาง แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถเหยียบเข้าไปได้

พนักงานแผนกต้อนรับได้รับน้ำขวดที่สองก็ดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เริ่มระบายความคับข้องใจให้ซูเถาฟัง

“เมืองตงหยางของคุณปิดรึเปล่า? จะเปิดเมื่อไหร่? ฉันไม่สามารถทนอยู่ที่โส่วอันได้อีกต่อไปแล้ว กองกำลังแบ่งแยกดินแดนของโส่วอันก็ไม่สนใจชีวิตของพวกเราเลย น้ำก็เอาไปให้แต่พวกคนรวยใช้ พวกเราที่อยู่ด้านนอกทำได้เพียงดื่มน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“ฉันเองก็ไม่ได้ดื่มน้ำมาสองวันแล้ว” เธอพูดพลางเปิดฝาน้ำ ดื่มน้ำอย่างระมัดระวัง ตัดใจดื่มเยอะไม่ได้

ริมฝีปากที่แตกกร้านกล่าวต่อ

“ไม่นานมานี้มีซอมบี้เคียวยักษ์เข้ามาในเมืองเพื่อฆ่าคน ศพถูกโยนทิ้งอย่างน่าเวทนา ตอนนี้บนถนนก็คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็น ถ้าจะบอกว่าเป็นนรกบนดินก็ไม่เกินจริง ในตงหยางของคุณมีซอมบี้แบบนี้ไหม”

ซูเถาพยักหน้า “มี แต่เรามีกองกําลังปกป้องเมืองประจําการอยู่รอบนอก และเรายังคงเดินหน้าสร้างกําแพงเมืองที่สูงขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ทำให้มีคนเสียชีวิตไม่มาก”

พนักงานต้อนรับหญิงแสดงสีหน้าอิจฉาและมีความหวังในคราวเดียว แต่ก็ห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

“ช้าไปแล้ว ตงหยางปิดเมืองแล้ว”

ซูเถาฟังอย่างเงียบ ๆ และไม่พูดอะไรอีก

เมื่อทีมจากตงหยางพบว่าห้องน้ำได้ทําความสะอาดแล้ว และรู้ว่าซูเถาเป็นคนหาคนมาจัดการ ก็ทยอยกันมาขอบคุณเธอ

ในที่สุดหัวหน้าทีมพลาธิการก็ได้โอกาสพูดคุยกับซูเถา และพูดคุยกันอยู่หลายเรื่อง กว่าจะกลับไปเตรียมตัวนอนที่ห้องก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว

เมื่อเห็นเตียงอันแสนสกปรกซูเถาและกวานจือหนิงก็นอนไม่หลับ เมื่อหลินจือฟางเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงนำเตียงของตัวเองออกมาให้พวกเขา

ซูเถาโบกมือบอกปัด “ไม่ต้องพวกเธอแค่ช่วยยกเตียงออกไปที่ทางเดินของตึกก็พอ”

หลังจากคนออกไปแล้ว ซูเถาจึงเลือกซื้อเตียงเดี่ยวสองเตียงจากร้านเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งออกมา และวางไว้ที่ตำแหน่งเดิม จากนั้นซื้อตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กสำหรับใช้ชั่วคราวด้วย นอกจากนี้ยังมีโต๊ะกลมขนาดเล็กสําหรับสี่คน วางอยู่ระหว่างเตียงสองเตียงเพื่อให้ทุกคนได้กินอาหารด้วยกัน

กวานจือหนิงและหลินจือฟาง กลับมาหลังจากทิ้งของแล้วก็เห็นว่ามีทั้งเตียงและตู้อยู่แล้ว

กวานจือหนิงอึ้งไปชั่วขณะถึงพูดขึ้น “พลังของพวกคุณนี่มีไว้เพื่อความเพลิดเพลินจริง ๆ ใครพาคุณไปก็เหมือนได้รับพร”

พูดจบเธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเดียวที่ทั้งนุ่มและสะอาด

ยกเว้นเรื่องที่ขาดเครื่องปรับอากาศ ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบ

เพราะบ้านรับรองไม่มีไฟฟ้า แม้จะติดตั้งก็ใช้ไม่ได้ อากาศมันร้อนมากจนทำให้ซูเถาต้องตื่นกลางดึกมาสองถึงสามครั้ง

สุดท้ายแล้วเธอก็นอนไม่หลับอีก จึงลุกขึ้นเปิดระบบเรียกแผนที่สามมิติของเถาหยางออกมา หากต้องการเข้าครอบครองไร่โดยเร็ว ก็ต้องมีพื้นที่สําหรับเพาะปลูก เถาหยางไม่เหลือพื้นที่ว่างเลย เว้นเสียแต่จะปลูกบนหลังคา อาคารที่พักสามหลังสูงราวสี่ถึงห้าชั้น หากสูงกว่านี้อีกคงไม่สะดวกเพราะไม่มีลิฟต์

ซูเถารู้สึกว่าตอนนี้ทำได้เพียงต่อเติมชั้นสามของโรงอาหาร ติดตั้งกระจกขนาดใหญ่จากพื้นจรดเพดานทั้งสี่ด้าน เพื่อให้มีแสงแดดเพียงพอในอาคารสําหรับการปลูกพืชไร้ดิน

เมื่อคิดแล้วก็เริ่มสร้างทันทีซึ่งใช้เงินไม่ถึงหมื่นเหลียนปัง ก็สามารถสร้างห้องรับแสงแดดบนชั้นสามของโรงอาหารได้แล้ว ด้วยความกลัวว่าบนชั้นสามจะร้อนเกินไป จึงติดตั้งเครื่องปรับอากาศไปอีกหนึ่งเครื่อง

พอรุ่งเช้า ซูเถาก็โทรหาเฉียนหลิน บอกว่าให้นำเมล็ดพืชไฮโดรโปนิกส์ไปที่ชั้นสามของโรงอาหารเพื่อเพาะปลูกก่อน

เมื่อเฉียนหลินรับสายเธอก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่าง และวิ่งไปที่โรงอาหารจากนั้นเงยหน้าขึ้นมอง พลันเห็นห้องรับแสงแดดที่ถูกสร้างขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนปรากฏอยู่ในสายตาเธอ

มันถูกล้อมรอบด้วยกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน การตกแต่งภายในห้องก็กว้างขวาง และแสงที่ส่องสว่างสดใส

เธอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “เถ้าแก่ซู คุณช่างรวดเร็วจริง ๆ เดี๋ยวฉันจะเรียกช่างเทคนิคใหม่นำเมล็ดพันธุ์มาส่ง และรีบปลูกให้เร็วที่สุด”

“ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ กว่าจะได้เก็บเกี่ยว” ซูเถาเอ่ยถาม

“ไม่นาน หนึ่งเดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว แต่ด้วยพื้นที่ของเราในตอนนี้ คาดว่าจะเพียงพอสำหรับคนหนึ่งร้อยคนในเถาหยางเท่านั้น”

ซูเถาค่อนข้างพอใจ “งั้นตอนนี้ก็ให้บริการเฉพาะผู้เช่าภายในของเราก่อน ส่วนราคาก็อ้างอิงตามมาตรฐานเดิมของตงหยาง รออีกหน่อยค่อยขายให้ภายนอก”

ในฐานะคนเถาหยาง เฉียนหลินมีความสุขมากที่ไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีผักจะกิน

หลังจากวางสาย เฉียนหลินบอกจวงหว่านให้รู้ถึงสถานการณ์ของไร่และการตัดสินใจของซูเถา

จวงหว่านติดประกาศทันที โดยบอกผู้เช่าว่าเถาหยางจะมีไร่เป็นของตัวเอง และผักที่ปลูกได้จะถูกขายให้ภายในก่อน และราคายังคงเท่าเดิม

ประการที่สองคือเตือนไม่ให้ทุกคนไปที่ชั้นบนโรงอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างเรื่องวุ่นวายให้คนงาน

ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้เช่าในเถาหยาง

ตั้งแต่รู้ว่าไฟไหม้ไร่ในตงหยางและสร้างความเสียหายไปมาก ทุกคนก็ตื่นตระหนกว่าจะไม่มีผักให้กินไปอีกนานหรือว่าต้องนำเข้าจากฐานอื่น ซึ่งราคาก็คงจะแพงมากจนซื้อไม่ไหว

แต่ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว!

ผู้เช่าในเถาหยางดีใจมากที่ได้ย้ายเข้ามาก่อน จากนั้นก็รีบโทรหาญาติและเพื่อนที่ยังไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อให้พวกเขาพยายามต่อไปที่จะสมัครเข้ามาในเถาหยาง ให้ได้อยู่ในเถาหยางเร็วขึ้น