ตอนที่ 82 พลังเวทพฤกษา

ตอนที่ 82 พลังเวทพฤกษา

ไร่เถาหยางเริ่มวางรากฐานอย่างเป็นระเบียบ

ซูเถาซึ่งอยู่ในฐานโส่วอัน กินไม่ได้นอนไม่หลับ

เนื่องจากอากาศที่ร้อนเกินไป ทำให้ความอยากอาหารของเธอนั้นไม่ดีเท่าไหร่ และมักจะตื่นขึ้นในตอนกลางคืนเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด จึงทำให้สองวันมานี้เธอดูไม่มีชีวิตชีวา

หลินฟางจือเฝ้าดูอย่างกระวนกระวายใจ เขาให้ลูกอมที่ตนเองโปรดปรานที่สุดแก่เธอ แต่เธอก็ไม่กิน ประจวบเหมาะกับที่พวกของสือจื่อจิ้นกลับมา หลังจากที่พวกเขาหายไปสามวันเต็ม

อาจเป็นเพราะการเจรจาในช่วงสามวันที่ผ่านมานั้นไม่ราบรื่น สีหน้าของหลาย ๆ คนก็เลยดูย่ำแย่

ซูเถาเปิดประตูออก ให้พวกเขาเข้าไปพักผ่อนที่ห้องของเธอและกวานจือหนิง

เมื่อเห็นการตกแต่งในห้อง เฉินเทียนเจียวก็ร้องคร่ำครวญ

“พวกเราทุ่มเทแรงกายแรงใจออกไปสู้รบในสนามโดยปราศจากดินปืน แต่พวกคุณกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ที่นี่ มันไม่ยุติธรรมเลย”

สือจื่อจิ้นมองไปยังใบหน้าที่ซูบผอมของซูเถาแล้วขมวดคิ้ว

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”

จากนั้นเขาก็มองไปที่บอดี้การ์ดอย่างกวานจือหนิง กวานจือหนิงได้แต่ทำหน้าตาสงสัย

กวานจือหนิงรู้สึกเหมือนถูกใส่ร้าย “ฉันไม่ได้รังแกเธอ”

ซูเถาหาวและมีน้ำตาไหลออกมา

“อากาศร้อนมาก พวกคุณไปเจรจามาเป็นยังไงบ้าง พวกเราจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่เหรอ?”

เธออยากจะรีบกลับไปที่รถของเธอเพื่อเปิดแอร์แล้วนอนหลับให้สบาย

เธอยังอยากกินไอศกรีม อยากกินผักสด…อยากกลับบ้าน

สือจื่อจิ้นคว้าพัดจากมือของหลินฟางจือ แล้วช่วยพัดให้เธอด้วยตัวเขาเอง

“ใกล้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็ไปรับเสียวเจี่ยนได้แล้ว เมื่อรับเขาเสร็จพวกเราก็จะไป นอกเหนือจากนี้ เราไปสืบเรื่องของอู๋เจี้ยนอี้มาให้คุณแล้ว ต้องขอโทษด้วย เขาจากโลกนี้ไป แล้ว”

ซูเถาคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่เธอก็ยังผิดหวังอยู่ดี ถ้าผู้อาวุโสเหม่ยรู้เรื่องนี้เข้า เขาต้องเสียใจมากแน่ ๆ

“แต่เขามีลูกชายอยู่หนึ่งคนชื่ออู๋เจิ้น อาศัยอยู่ที่โส่วอัน เขามีพลังวิเศษคือเวทพฤกษา ได้ยินมาว่าเขาสามารถสื่อสารกับพืชได้ และสามารถปลูกไม้ประดับก่อนวันสิ้นโลกได้มากมาย ตอนนี้เขาถูกเศรษฐีโส่วอันเลี้ยงเอาไว้ในฐานะคนสวน”

สามารถสื่อสารกับพืชได้?

ที่ไร่ของเธอกำลังขาดคนมีพรสวรรค์อยู่พอดี!

ดวงตาของซูเถาเบิกกว้างและถามว่า “พอจะติดต่อเขาได้ไหม?”

สือจื่อจิ้นยิ้มและพูดว่า “เย็นนี้คุณนายเชิญเราไปเป็นแขก บางทีคุณอาจใช้โอกาสนี้…เชิญเขามาอาศัยในเถาหยาง”

ซูเถาหยิบพัดขึ้นมาพัดและพัดให้เขาอย่างแรง “ท่านพลตรี คุณคงเหนื่อยแย่เลย ตอนกลับไปที่เถาหยางฉันจะเลือกผักสดหนึ่งกำมือมาทำสลัดให้คุณกินนะ”

เฉินเทียนเจียวด้วยท่าทางขมขื่น “เหล่าต้า ผมไม่ไปได้ไหม?”

สือจื่อจิ้นผู้เที่ยงธรรม “ทุกคนจะจดจำการเสียสละของนาย”

ซูเถาไม่เข้าใจ “ทำไมเหรอ?”

ตั่งซิ่งเหยียนและคนอื่น ๆ หัวเราะจนท้องแข็ง “เถ้าแก่ซู เดี๋ยวเย็นนี้ถ้าคุณไปถึงคุณก็จะรู้”

ถึงตอนเย็น ซูเถานำนมสี่ขวดใส่มาในถุงอย่างดีเพื่อเป็นของขวัญสำหรับการมาเยี่ยมเยียนถึงที่บ้าน

ผู้ที่เชิญพวกเขามาชื่อว่า เจียงชิงเซียง สามีและน้องชายของเธอเป็นผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโส่วอัน ครอบครัวของเธอถือได้ว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโส่วอัน อาวุธที่พวกเขาผลิตถูกส่งออกไปยังฐานหลายแห่งในตอนเหนือ

แม้แต่อาวุธทางการส่วนใหญ่ของฐานหลักอย่างตงหยางก็ซื้อจากโส่วอัน

ได้ยินสือจื่อจิ้นบอกว่าปืนพกที่ผลิตโดยโส่วอันมีราคาแพงมาก ต้องใช้เงินถึง 80,000 เหลียนปัง บวกกับคะแนนสมทบ 6,200 คะแนน

ซูเถาคิดกับตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่รวยขนาดนี้ และครอบครัวก็ยังให้ผู้ที่มีพลังวิเศษมาดูแลสวน

เธอพูดกับกวานจือหนิง

“สิ่งนี้แหละที่เรียกว่าหรูหราฟุ่มเฟือย หรือถ้าจะให้ดีหน่อยก็เรียกว่ามีความสุขกับชีวิตที่ดี”

กวานจือหนิงไม่ค่อยชอบคนประเภทนี้เท่าไหร่นัก ดังนั้นเธอจึงพูดตรง ๆ

“พวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดน ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบนความทุกข์ยากของคนธรรมดาทั่วไปแต่ว่าคุณไม่ใช่ คุณมีชีวิตที่ดีพร้อมทั้งสามด้าน แต่ก็ยังให้ในสิ่งที่ดีกว่าในด้านที่สี่แก่ผู้อื่น ไม่งั้นคุณคงไม่มาตายเอาดาบหน้ากับพวกเราแบบนี้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ และต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของชีวิต”

หลังจากที่พูดจบเธอก็เงียบไปครู่หนึ่งและตำหนิว่าซูเถาเป็นคนโง่เขลาอยู่ในใจ

แต่คนโง่อย่างเธอก็มีความสุขกับสิ่งที่เธอได้ทำ

หวังว่าพระเจ้าจะประทานพรให้ผู้หญิงโง่ ๆ คนนี้บ้าง

ยกพรทั้งหมดนั้นให้ซูเถาก็ได้

เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย คนสองสามชีวิตก็มาถึงใจกลางฐานโส่วอัน เขตซินอันฟู่เหรินหรือย่านคนรวยซินอัน

กำแพงชั้นนอกนั้นสร้างได้สูงและแข็งแรงมาก สามารถเทียบกับเถาหยางได้

ส่วนประตูใหญ่ก็ใช้แบบดิจิทัลที่มีระบบสแกน ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธขนาดใหญ่ยืนเฝ้าประตูอยู่ทั้งสองด้าน หลังจากยืนยันตัวตนและได้รับอนุญาตจากเจ้าของแล้ว พวกเขาก็เข้าไปด้านในอย่างราบรื่น

มีพ่อบ้านคนหนึ่งขับรถขนาดเล็กมารับ และหลังจากขับเข้าไปก็ใช้เวลาประมาณสิบนาที ในที่สุดก็ถึงบ้านของเจียงชิงเซียง

ด้านหน้าเป็นวิลล่าสามชั้นที่มีลานกว้างอยู่ด้านหน้า ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวชอุ่ม นอกจากนี้ตรงลานหน้าบ้านยังมีลำธารไหลผ่าน พร้อมกับปลาคาร์ฟตัวเล็กแหวกว่ายไปมา

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือโต๊ะอาหารตัวยาวตรงกลาง ซึ่งเต็มไปด้วยผักสีเขียวที่หายาก ไก่ย่างแบบเต็มตัว ของว่างรสเลิศ น้ำบ๊วยเย็น ๆ

ซูเถาตกตะลึง

ที่โส่วอันเหมือนมีโลกสองใบ แบ่งเป็นข้างนอกกับข้างใน

ข้างนอกมีคนหิวโหย ซากศพเกลื่อนกลาด แต่ข้างในมีบ้านพักและลำธารพร้อมอาหารรสเลิศที่มาจากทั้งภูเขาและทะเล

พ่อบ้านรีบมาเคาะประตู สตรีผู้มั่งคั่งเดินหน้ากลมออกมา เธอเป็นคนพูดจาฉะฉาน เมื่อเห็นว่าพวกเขามาถึง เธอก็ทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น

“ในที่สุดพวกนายก็มา น้องเฉินระหว่างที่เดินทางมานี่ร้อนหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะรินน้ำบ๊วยให้สักแก้ว จะได้ดับกระหาย”

เฉินเทียนเจียวพูดไม่ออก

ตั่งสิ่งเหยียนและคนอื่น ๆ อยากที่จะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า และได้แต่กลั้นหัวเราะจนหน้าแดงก่ำ

ซูเถาเข้าใจขึ้นมาแล้ว เธออ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อ

สตรีผู้มั่งคั่งคนนี้ชอบเฉินเทียนเจียว ไม่แปลกในเลยที่เชิญพวกเขามาเป็นแขก แต่ดูเหมือนว่าเธอน่าจะอยากให้เฉินเทียนเจียวมาเพียงลำพังมากกว่า

คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสตรีผู้มั่งคั่งคนนี้จะชอบเฉินเทียนเจียว

แต่เอาเข้าจริง ๆ เมื่อมองเฉินเทียนเจียวใกล้ ๆ ก็จะพบว่าเฉินเทียนเจียวนั้นมีรูปร่างกำยำ มีผิวสีแทน เนื่องจากเขาต้องเดินทางตลอดทั้งปี เขาดูเป็นชายชาติทหารมาก ไม่แปลกใจเลยที่เข้าจะสามารถดึงดูดหญิงสาวได้

จากนั้นเธอก็คิดได้ว่าสือจื่อจิ้นนั้นทรยศต่อเพื่อนร่วมทีม

เธอมองไปยังเขาที่อยู่ด้านข้างก็พบว่าเขานั่งตัวตรงเหมือนว่าไม่ได้ทำความผิด

ซูเถาประทับใจมาก

ตั้งแต่นั้นมา คุณนายเจียงก็พาเฉินเทียนเจียวคนไร้หัวใจไปที่ศาลาเล็ก ๆ เพื่อพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับชีวิต

ซูเถาและคนอื่น ๆ กินอาหารอย่างอิสระอยู่ภายในลานหน้าบ้าน และทำกิจกรรมอยู่ที่ชั้นแรกของวิลล่า

เธอไม่ค่อยอยากกินอาหาร ดังนั้นเธอจึงกินไปเพียงสองสามคำ เธอแสร้งทำเป็นถือน้ำบ๊วยเดินทอดน่องชมทิวทัศน์รอบ ๆ และเริ่มมองหาคนทำสวน

ที่บ้านของคุณนายเจียงมีคนรับใช้มากมาย คนที่ทำความสะอาดก็เดินไปเดินมาอย่างรีบเร่ง

นอกจากนี้ยังมีสวนหลังบ้านขนาด 300 กว่าตารางเมตรอยู่ที่ด้านหลังวิลล่า ซึ่งปลูกด้วยไม้ดอกไม้ประดับสีเขียวทุกชนิด มันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาของซูเถา

ไม้ประดับเหล่านี้เติบโตอย่างสวยงาม หากความสามารถนี้ใช้กับพืชผักที่กินได้ จะสามารถเพิ่มการเก็บเกี่ยวและเร่งวงจรชีวิตของพืชได้หรือเปล่า?

ยิ่งซูเถาคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น แต่หลังจากมองหาอยู่เป็นเวลานาน เธอก็ยังไม่เห็นวี่แววของอู๋เจิ้น

เธอเปิดเครื่องมือสื่อสารเพื่อทำการยืนยันลักษณะของอีกฝ่าย เธอนึกย้อนกลับไปที่กลุ่มคนรับใช้ที่เดินผ่านไปเมื่อครู่

น่าเสียดายที่ไม่มีเขา

“หาเขาไม่เจอเหรอ?” สือจื่อจิ้นถามในขณะที่เขาก็ถือน้ำบ๊วยออกมาเช่นกัน

ซูเถาส่ายหัว

สือจื่อจิ้นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาแล้วส่งข้อความถึงเฉินเทียนเจียว

‘นายบอกเจียงชิงเซียงว่านายชอบดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่ลานบ้านมาก และได้ยินว่ามีคนที่มีความสามารถอยู่ที่นี่ นายขอให้เธอเรียกอู๋เจิ้นออกมา นายต้องการดูกระบวนการผสมพันธุ์ของกุหลาบสีน้ำเงินด้วยตาของนายเอง’

แล้วก็เพิ่มเติมไปอีกหนึ่งประโยค

อย่าทำอะไรโง่ ๆ พูดจาดี ๆ และเกลี้ยกล่อมเธอให้เรียกคนออกมา