บทที่ 83 ทำให้องค์ราชทายาทอับอาย

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 83 ทำให้องค์ราชทายาทอับอาย
ทุกคนรู้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดฮ่องเต้เซวียนถ่ง ไม่ใช่ไทเฮาคนปัจจุบัน แต่เป็นฮองเฮาที่กลายเป็นไทเฮา มารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้เซวียนถ่งเสียชีวิตเมื่อฮ่องเต้เซวียนถ่งยังคงเป็นองค์ราชทายาท
ลูกชายของไทเฮา เหลียนชินอ๋อง ตอนนี้อายุน้อยกว่าฮ่องเต้เซวียนถ่งมาก และตอนนี้อยู่ในศักดินาของตนเอง และครั้งนี้ไม่ได้เสด็จเข้าเมือง
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว เพิ่งนั่งลงก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แม้ว่านางจะไม่อยากแต่นางก็เดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ทำความเคารพต่อไทเฮา
ไทเฮาจับมือนาง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ได้ยินว่าเจ้าและเป่ยเซียวเกิดเรื่อง ช่วงนี้ข้านอนหลับไม่สนิท และสะดุ้งตื่นขึ้นหลายครั้งในตอนกลางคืน โดยคิดว่าพวกเจ้ากลับมาแล้ว ข้าได้ทานอาหารเจและสวดมนต์ตลอด สวรรค์จะไม่ทำให้ผู้มีความเพียรผิดหวัง ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมา ได้รับพรจากพระโพธิสัตว์จริงๆ พระชายาเจ็ดเสด็จไปวัดหนานฮั๋วกับข้าในวันหลัง ขอบพระคุณพระโพธิสัตว์ที่ช่วยเหลือ”
ไทเฮาใช้ผ้าเช็ดหน้าแตะที่มุมตาเมื่อนางรู้สึกเศร้า เฟิ่งชิงหัวทำได้เพียงปลอบโยนนางอยู่ข้างๆ
หลังจากนั้นขุนนางกลุ่มหนึ่งก็เริ่มประจบประแจงกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก
เฟิ่งชิงหัวนั่งอยู่บนที่นั่ง เดิมทีต้องการคุยกับจ้านเป่ยเซียวที่อยู่ข้างๆ นาง แต่ชายที่ยังจะคุยนาง ตอนนี้ไม่สนใจนางตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้สึกว่านางกำลังจะอึดอัดตายในงานเลี้ยงนี้แล้ว
นางถือแก้วชาและนับใบชาที่ลอยอยู่ในนั้นอย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้น คน ๆ หนึ่งก็ลุกขึ้นและเดินตรงมาหาพวกเขา
เห็นเพียงจ้านถิงเฟิงเดินมาด้วยใบหน้าอารมณ์ดี คนที่ไม่รู้ คงคิดว่าวันนี้เป็นพิธีสืบทอดตำแหน่งของเขา
“เสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้ ข้าขออวยพรพวกท่านแก้วหนึ่ง ยินดีที่พวกเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย” มีคนกลุ่มหนึ่งเริ่มประจบประแจงอยู่ข้างล่างโดยธรรมชาติ นอกจากกล่าวว่าองค์ราชทายาทกตัญญูและเคารพพี่ชายเป็นพิเศษ
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วและพูดว่า “ได้ยินมาว่าองค์ราชทายาททรงได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่รู้ว่าบาดเจ็บตรงไหนเพคะ?”
“ไม่เป็นไร เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยและเกือบจะหายดีแล้ว เสด็จพี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง” ดูเหมือนจ้านถิงเฟิงจะพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แต่หลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ สีหน้าของทุกคนก็มีแปลกๆ
ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ต่างรู้ว่าพระชายาเจ็ดเป็นพระคู่หมั้นขององค์ราชทายาทก่อนที่จะอภิเษกสมรสกับท่านอ๋องเจ็ด และนางก็หลงไหลองค์ราชทายาทมาก ตอนนี้นางกังวลอาการบาดเจ็บขององค์ราชทายาทมากเช่นนี้ เป็นไปได้ไหมว่านางยังคงมีความรู้สึกบางอย่างสุดจะบรรยายต่อองค์ราชทายาท?
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เฟิ่งชิงหัวก็ยิ้มอย่างล้ำลึก จ้านถิงเฟิงคนนี้ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ สมกับที่จะเป็นจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม อยากลากนางลงไปด้วย งั้นนางก็ทำได้เพียงสั่งสอนเขาแล้ว
เฟิ่งชิงหัวยิ้มและพูดกับเขาว่า “องค์ราชทายาทเพคะ ข้าได้ยินมาว่าท่านกล้าหาญมาก ไม่เพียงแต่ต่อสู้กับผู้ลอบสังหารห้าคนด้วยคนเดียวเท่านั้น แต่ท่านยังขวางมีดเพื่อเสด็จพ่อด้วย ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“เป็นเรื่องจริง” จ้านถิงเฟิงกล่าว เขย่าชายเสื้อคลุมของเขาอย่างไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นบาดแผลที่พันผ้าพันแผลที่มือซ้ายของเขา
เฟิ่งชิงหัว “ตกตะลึง” เมื่อได้ยินนั้น สีหน้าชื่นชมเกินคำบรรยาย “คาดไม่ถึงว่าศิลปะการต่อสู้ขององค์ราชทายาทจะสูงส่งถึงเพียงนี้ ข้าสังหารผู้ลอบสังหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง คาดไม่ถึงว่าองค์ราชทายาทจะต่อสู้กับผู้ลอบสังหารห้าคนและได้รับบาดเจ็บเพียงเนื้อหนังเล็กน้อยเท่านั้น ช่างเก่งกาจเสียจริง ข้าชื่นชมมากนัก”
ขณะที่นางพูดนั้น เฟิ่งชิงหัวก็ยกแก้วในมือขึ้นและใช้กำลังอย่างลับๆ และสัมผัสแก้วขององค์ราชทายาท ได้เสียง “ปัง” แก้วเหล้าแตก เหล้าส่วนใหญ่หกโดนร่างขององค์ราชทายาท ส่วนหนึ่งหยดลงบนโต๊ะ ไหลหยดไปตามขอบโต๊ะ
ภาพหยุดนิ่งอีกครั้ง องค์ราชทายาทไม่คาดคิดว่าเฟิ่งชิงหัวจะใช้แรงชนแก้วเหล้าอย่างแรง เขามองลงไปที่เสื้อคลุมที่เปื้อนเหล้าของตนด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก
“ข้าขอโทษจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แก้วเหล้านี้ไม่แข็งแรงเสียเลย เพียงแค่สัมผัสก็แตกเป็นเสี่ยงๆ องค์ราชทายาท ข้าขอโทษจริงๆ”
เมื่อเห็นหญิงสาวกัดริมฝีปากดูราวกับเป็นผู้ผู้บริสุทธิ์ แม้องค์ราชทายาทจะอารมณ์เสีย แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันและฝืนยิ้ม “นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ เสด็จพี่สะใภ้ไม่ต้องคิดมาก ข้าขอตัวสักครู่”
พูดจบก็ก้าวถอยหลังด้วยความเคารพ
เฟิ่งชิงหัวขอโทษกับฮ่องเต้เซวียนถ่งด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกและตำหนิตัวเองอีกครั้ง ดังนั้นฮ่องเต้เซวียนถ่งก็จะไม่ตำหนินางไปมากกว่านี้ และถือว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว
สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ เข้ามาทำความสะอาดและเปลี่ยนแก้วใบใหม่ให้เฟิ่งชิงหัว
เมื่อมองไปที่จ้านเป่ยเซียวที่ยังคงไม่เคลื่อนไหวราวกับภูเขา เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสะกิดเขา มองเขาด้วยความได้ใจ
จ้านเป่ยเซียวยังคงไม่ขยับ ดวงตาของเขาจ้องไปด้านหน้า อ้าปากเล็กน้อย “เจ้าเล่นกลอุบายเหล่านี้เพื่ออะไร?”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวย่างเย็นชา “ไม่สำคัญว่าจะเป็นกลอุบายหรือไม่ มีประโยชน์ก็พอ เขากล้าทำอย่างนี้ ก็จะไม่ให้ข้าทำให้เขาอับอายครั้งหนึ่งหรือ ข้าไม่ใช่นิสัยประเภทที่คนอื่นตบหน้าข้าแล้วยังยิ้มพร้อมยื่นใบหน้าอีกข้างออกไปเพื่อให้คนอื่นตบ มีความแค้นข้าจะแก้แค้นทันที”
จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างจนปัญญา “เจ้ามีความสุขก็พอ”
ทั้งสองกำลังคุยกัน องค์หญิงเหออานซึ่งไม่ได้พูดอะไรที่อยู่ข้างๆฮองเฮาก็ยืนขึ้น และพูดกับเฟิ่งชิงหัวว่า “เสด็จพี่สะใภ้ ว่ากันว่าคุณหนูทั้งสามของจวนเฉิงเซี่ยงเชี่ยวชาญเล่นฉิน หมากรุก การเขียนพู่กันและวาดภาพ ช่วงนี้เหออานเพิ่งได้เรียนเพลงใหม่ ข้าอยากขอคำแนะนำจากเสด็จพี่สะใภ้ ไม่ทราบว่าเสด็จพี่สะใภ้จะให้เกียรติข้าหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าผู้ที่พูดนั้นเป็นองค์หญิงเหออานผู้ที่โปรดปรานของฝ่าบาทมากที่สุด จึงปรบมือให้ทันที
เมื่อองค์หญิงเหออานเห็นว่าทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดีก็อดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้น นางคือองค์หญิงน้อยที่ทุกคนให้ความสำคัญมากที่สุด หนานกงเยว่ลั่วนับว่าเป็นสิ่งของอะไร เดี๋ยวนางจะเหยียบนางอยู่ใต้เท้าเพื่อแก้แค้นความแค้นครั้งก่อน
แม้ว่าทักษะการเล่นฉินของนางจะไม่ดีที่สุด แต่นางก็ยังเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด และนางเรียนกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะแพ้ให้กับลูกสาวที่ไร้ชื่อเสียงของเฉิงเซี่ยง
ทุกคนก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน พวกเขาได้ยินเพียงว่าลูกสาวคนโตของเฉิงเซี่ยงนั้นทั้งสวยและมีความสามารถ ลูกสาวคนที่สามก็มีชื่อเสียงเช่นกัน แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าลูกสาวคนที่สองสามารถเล่นฉิน หมากรุก การเขียนพู่กันและวาดภาพ ได้ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย?
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างช้าๆ “ข้าไม่เก่งเรื่องเครื่องดนตรี”
“เสด็จพี่สะใภ้ยังอ่อนน้อมถ่อมตนอีกหรือ หรือว่าไม่อยากสอนเหออาน?” องค์หญิงเหออานพูดอย่างเสียใจเล็กน้อยพร้อมมองไปที่เสด็จพ่อของนาง
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองลูกสาวคนสำคัญของตนเสียใจไม่ได้ จึงพูดกับเฟิ่งชิงหัวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นพระชายาเจ็ดก็สอนนางเล็กน้อยเถอะ”
ครั้งนี้เฟิ่งชิงหัวมั่นใจมากว่า ฮ่องเต้เซวียนถ่งผู้นี้ไม่ชอบนางเอามากๆ
ทุกคนต่างเล่าว่าลูกสาวคนที่สองของจวนเฉิงเซี่ยงไม่มีพรสวรรค์และคุณงามความดีหรือคุณธรรม เขาทำอย่างนี้คือต้องการทำให้นางอับอายขายหน้าชัดๆ
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เพคะ”
เมื่อเห็นท่าทางชักช้าลังเลของเฟิ่งชิงหัว องค์หญิงเหออานก็รู้สึกมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
องค์หญิงเหออานเดินตรงไปที่ใจกลางตำหนัก พร้อมรับสั่งให้คนไปเอากู่ฉินของตนมา ล้างมือและรมเครื่องหอม ทำทุกอย่างเหมือนเก่งก่จมาก ดูแล้วเหมือนเป็นอย่างนั้นจริงๆ
องค์หญิงเหออานชำเลืองมองเฟิ่งชิงหัวอย่างยั่วยุ จากนั้นก็สงบสติอารมณ์และเริ่มดีดสายฉิน
ทันทีที่แตะสายฉิน สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวก็แข็งทื่อเล็กน้อย เพลงฉินนี้…
เมื่อเสียงฉินถึงขั้นกลาง สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวก็แข็งทื่อขึ้นทีละน้อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเพลงนี้เป็นเพลงสยบขวัญ
เพียงแต่ว่าทักษะขององค์หญิงเหออานยังไม่ดีนัก ดังนั้นผู้คนในตำหนักจึงตกอยู่ในอาการเหม่อลอยเล็กน้อย และไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร ราวกับว่าถูกสะกดจิต
จนกระทั่งโน้ตตัวสุดท้าย ทุกคนถึงตระหนักว่าเพลงนี้ควรมีอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น ต่างยกย่ององค์หญิงเหออานทันที ชื่นชมนางจนนางตัวลอย