พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 84 เฟิ่งชิงหัวเต้นรำ
องค์หญิงเหออานรู้สึกได้ใจมาก นางเชิดคอแล้วมองไปที่เฟิ่งชิงหัว “เสด็จพี่สะใภ้ ถึงเจ้าแล้ว”
เสียงขององค์หญิงเหออานทำให้ทุกคนหันมาสนใจที่ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว ทักษะการเล่นฉินขององค์หญิงถึงจุดสูงสุดแล้ว เป็นไปได้ไหมที่พระชายาเจ็ดจะดีดเพลงที่ทำให้หลงไหลได้มากกว่านี้?
เห็นเพียงเฟิ่งชิงหัว พูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด “เสด็จพ่อ ข้าเกรงว่าข้าจะดีดฉินให้ทุกคนฟังไม่ได้เพคะ”
ในขณะที่พูด นางยกมือขวาขึ้น เห็นเพียงนิ้วนั้นเต็มไปด้วยของเหลวสีแดง แม้ว่าจะตกสะเก็ดไปแล้ว แต่ก็ยังน่าตกใจ
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งถามในสิ่งที่ทุกคนอยากถาม
เห็นเพียงเฟิ่งชิงหัวพึมพำ “เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าชนแก้วกับองค์ราชทายาท เศษแก้วแตกบาดมือข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าเลยไม่พูด ข้าคาดไม่ถึงว่าจะพบกับองค์หญิงที่เชิญดีดฉินเพคะ”
นิ้วได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถดีดฉินต่อไปได้ ทุกคนก็เงียบลง
แต่องค์หญิงเหออานไม่ยอม “ข้าว่าเจ้าตั้งใจ เจ้าตั้งใจทำให้มือบาดเจ็บใช่ไหม? ถ้าเจ้าไม่ต้องการแข่งขันกับข้า ก็ช่างเถอะ เหตุใดจึงเล่นกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้”
ทันทีที่คำพูดของนางออกมา สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ด้านเฟิ่งชิงหัว ทันที แต่นางกลับก้มหน้าลงและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
อย่าบอกนะว่าพูดถูกแล้ว ทุกคนคิดในใจ
ด้านข้าง องค์หญิงซีหลันซึ่งไม่ได้พูดมากทั้งคืนก็กล่าวว่า “ทักษะการดีดฉินขององค์หญิงเหออานนั้นน่าทึ่งมาก ซีหลันก็ชื่นชมจริงๆ สำหรับพระชายาเจ็ด ซีหลันดูถูกท่านเสียจริงที่ท่านหลบเลี่ยงเช่นนี้ ท่านจะคู่ควรกับท่านอ๋องเจ็ดได้อย่างไรหากทำตัวเช่นนี้”
ขณะพูด ดวงตามองไปยังจ้านเป่ยเซียวด้วยสายตาอ่อนโยน เหมือนกับการมองด้วยความรัก
ทันใดนั้น เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มจนปัญญา “องค์หญิงได้เปรียบเทียบฉินแล้ว ถ้าข้าเปรียบเทียบด้วยเครื่องดนตรีอื่นๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข้าจะเอาเปรียบองค์หญิง ในเมื่อข้าดีดฉินไม่ได้ งั้นให้ข้ามาเต้นรำให้เข้ากับเพลงที่องค์หญิงดีดเมื่อครู่นี้เถอะเพคะ”
คำพูดเหล่านี้ แล้วก็นึกถึงเพลงที่องค์หญิงเพิ่งดีด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตั้งหน้าตั้งตารอว่าการเต้นรำแบบไหนที่เข้ากับเพลงแบบนั้น
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เฟิ่งชิงหัวจึงพูดกับฮ่องเต้เซวียนถ่งอีกครั้ง “ฝ่าบาทและขุนนางทุกท่านโปรดไปที่สวนบุปผาหลวง ให้ข้าแสดงการเต้นรำแบบใหม่เพื่อสำหรับทุกคน”
สายตาของเหล่าขุนนางที่เบื่อหน่ายกับการชมการแสดงในพระราชวังอดไม่ได้ที่จะสว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าแบบใหม่ สีหน้าคาดหวัง
เมื่อฮ่องเต้เซวียนถ่งเห็นว่าทุกคนเห็นด้วยก็พยักหน้าทันที “อืม งั้นทุกคนไปดูกันเถอะ”
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวกล่าวขอบพระทัยอีกครั้งแล้ว นางก็จากไปเพื่อเตรียมการก่อน
สายตาขององค์หญิงเหออานสบเข้าไปองค์หญิงซีหลันในที่นั่ง เห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าจนแทบมองไม่เห็น นางจึงถอยกลับไปประจำตำแหน่ง
ทุกคนกำลังดื่มเหล้าพร้อมชื่นชมดอกไม้ในสวนบุปผาหลวง และเวลารอก็ไม่นานเกินไป
ในขณะที่ทุกคนไม่ได้เตรียมตัว ทันใดนั้นเสียงกลองก็ดังขึ้น ตูม ตูม ตูม
เสียงกลองไม่รีบร้อน เสียงต่ำมาก ทุกคนมองไปรอบๆ อยากดูว่าเสียงดังมาจากไหน
ไม่รู้ว่าใครพูดออกมา “ดูสิ พระชายาอ๋องอยู่บนภูเขาปลอม!”
เห็นเพียงหญิงสาวในชุดขาวยืนอยู่เงียบๆ บนโขดหินสูงสามเมตร กระโปรงผ้าโปร่งสีขาวบนตัวของนางถูกลมพัดราวกับว่านางกำลังจะกลายเป็นนางฟ้า
ไม่มีเสียงอื่นใดรอบตัว ภาพตรงหน้าสวยงามราวกับภาพวาด ไม่มีใครกล้าไปรบกวน
นางนั้นเหมือนหยก ผมเหมือนหมึก ดวงตาเหมือนแก้ว และคิ้วบาง ๆ เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนที่ไม่สะดุดตาเป็นพิเศษ แต่บนร่างกลับมีออร่าที่ไม่สนใจใครและหยิ่งยโส แต่ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ นางมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ราวกับเป็นที่รักของสรรพสิ่ง ทั่วทั้งร่างของนางนั้นงดงามมากจนดึงดูดสายตาของผู้คน
ในที่สุด ดวงตาสีดำดุจแก้วก็ปิดลงอย่างช้าๆ ขนตายาวกระพือเป็นระยะๆ และนิ้วที่เรียวยาวราวกับหยกก็วางไว้ตรงหน้าอกในท่านั่งครึ่งตัว ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ไร้คำอธิบาย
เหตุผลที่นางขอให้ทุกคนมาที่สวนบุปผาหลวง ก็เพื่อให้ลมที่พัดผ่านพัดจิตวิญญาณที่ปั่นป่วนที่องค์หญิงเหออานเป็นผู้สร้าง บวกกับคาถาจิตพิสุทธิ์ของนาง คาถาของคนเหล่านี้น่าจะได้รับการแก้ไขแล้ว
ทุกคนมองไปที่นางที่ดูเหมือนนางฟ้าบนภูเขาปลอม ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล
ทุกสายตาจับจ้องไปที่หญิงสาวคนนั้นเท่านั้น
เฟิ่งชิงหัวมองดูผู้คนที่อยู่ล่างภูเขาปลอม จากนั้นนางก็มองตนเองที่ยืนอยู่บนความสูง สายตาของนางจับจ้องไปยังจ้านเป่ยเซียว มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย นางเอามือแตะริมฝีปากแล้วกระซิบ “ท่านอ๋อง”
ขณะพูด นางก็เหยียดแขนออกและเชิดคางไปทางชายหนุ่ม ความหมายนั้นชัดเจนมาก
จ้านเป่ยเซียวให้ความสนใจกับทุกการเคลื่อนไหวของหญิงสาวตลอด เมื่อเห็นนางมองมาที่เขา เขาจงใจหันหน้าหนี เขาไม่หันไปมองนางจนกระทั่งได้ยินหญิงสาวเรียกเขา
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหญิงสาว เขาเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
“ท่านอ๋อง” เสียงนี้ดังก้องกังวาลเป็นพิเศษ
ทุกคนเฝ้าดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองต่อหน้าพวกเขา เห็นการแสดงของท่านอ๋องเจ็ดไร้ปฏิกิริยาใดๆ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูหญิงสาวที่ยืนอยู่บนภูเขาปลอม มีสามีที่ไม่มีความโรแมนติก ช่างไร้คำพูดเสียจริง
ทันใดนั้น รถเข็นของจ้านเป่ยเซียวได้เคลื่อนไหว ร่อนไปที่ด้านล่างภูเขาปลอม เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ขึ้นไปเองได้แต่ลงมาเองไม่ได้?”
เฟิ่งชิงหัวมุ่ยหน้า ไม่สนใจคำเย้ยหยันของเขา “ข้ากลัวความสูง”
ดวงตาคู่นั้นดูเย้ายวน จ้องตรงไปที่ชายเย็นชาใต้ภูเขาปลอม
หลังจากจ้องหน้ากันสักพัก ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย “ลงมา”
เฟิ่งชิงหัวตอบกลับ “เพคะ”
หลังจากนั้น หญิงสาวก็กระโดดลงมาจากโขดหินโดยปราศจากความกลัวใดๆ และตกลงสู่อ้อมแขนของชายหนุ่มอย่างมั่นคง กอดคอของเขา และพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ “เป็นไงบ้าง ข้าเต้นได้ดีหรือไม่?”
ขณะถามก็กัดริมฝีปากเบา ๆ ด้วยความคาดหวังที่ตนเองก็ไม่ทันได้สังเกต
จ้านเป่ยเซียวหลุบตาเฝ้ามองการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของหญิงสาว สายตาของเขาค่อย ๆ อ่อนลง พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ใช้ได้”
เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจและพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านเรียกร้องมากจัง แม้แต่คำหวานๆท่านก็พูดไม่เป็น การเป็นภรรยาของท่านนั้นน่าเบื่อจริงๆ”
มองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ผมของนางโอบใบหน้าเล็ก ๆ ของนางให้เล็กลงกว่าเดิม ในเวลานี้ นางหน้าแดงก่ำต่อหน้าเขา ราวกับว่าเล็กกว่ามือข้างหนึ่งของเขามาก
ชายหนุ่มกำลังจะพูด แต่ถูกเฟิ่งชิงหัวขัดจังหวะ “เอาล่ะ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเพคะ”
เฟิ่งชิงหัวพูดแล้วก็กระโดดลงจากบนร่างของชายหนุ่ม หันหลังกลับและจะวิ่งไปทางที่นางจากมา
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว มองผ้าโปร่งบางของหญิงสาวแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “กลับมา”
แม้ว่าเฟิ่งชิงหัวจะไม่เต็มใจ แต่นางก็ยังถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมมองไปที่ชายหนุ่มพร้อมกับบ่น “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจริงๆเพคะ”
สีหน้าที่เหมือนเป็นการกล่าวหาทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถรักษาสีหน้าเดิมของเขาไว้ได้ เขามองนางอย่างเงียบ ๆ ถอดเสื้อของตนลงแล้วสวมให้หญิงสาวอย่างตั้งใจ ติดกระดุมทีละเม็ด เสื้อที่ใหญ่ยาวทำให้ตัวนางดูโล่ง จ้านเป่ยเซียวหยิบสายผ้าไหมออกมาจากอกและผูกให้นางอย่างละเอียด
เอวเรียวราวกับจะหักหากถูกพับเบาๆ
เฟิ่งชิงหัวจ้องมองสายผ้าไหมสีดำด้วยความงุนงง นี่เหมือนว่าเขามักจะใช้มันผูกผมบ่อยๆ
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แต่นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นนางจึงดูเหม่อลอย
“รีบไปเถอะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ทุกคนในสวนบุปผาหลวงมองไปที่ท่านอ๋องเจ็ดที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม และเห็นฉากที่ทั้งสองกอดกันและท่านอ๋องของพวกเขาแต่งตัวให้หญิงสาว พวกเขารู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาสั่นอย่างรุนแรง
คาดไม่ถึงว่าท่านอ๋องเจ็ดผู้เยือกเย็นก็มีด้านที่อ่อนโยนเช่นกัน สตรีหลายคนที่เฝ้าดูก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาในความโชคดีของเฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวกลับไปที่ห้องโถงด้านข้างเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า กำลังจะออกจากห้องโถงด้านข้าง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกประตู
“ใคร?” ดวงตาของนางคมราวกับมีด
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากภายนอก เฟิ่งชิงหัวก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ก็เห็นชายหนุ่มนอนอยู่บนพื้น นางอดไม่ได้ที่จะอึ้ง
ชายผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นขุนนางผู้ส่งสารต่างประเทศ เขาเป็นชายรูปงามดูมีความประพฤติดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ และไม่เห็นแก่ตัว ตอนอยู่ที่สนามล่าสัตว์ นางยังชำเลืองมองอยู่หลายครั้ง
ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง นางไม่ได้สังเกตมากนัก แต่ตอนนี้นางเพิ่งจำขึ้นมาได้ นางยื่นมือออกไปจับชีพจรของชายหนุ่ม แล้วก็รู้ว่าชายหนุ่มถูกมอมยา
ในเวลาเดียวกัน นอกประตูที่ปิดสนิท ควันจางๆ เริ่มซึมเข้ามา
ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวขรึมลง กลิ่นหอมนี้ดีมาก ดีมาก ส่วนผสมในนั้นดียิ่งดีกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะนางแช่ยาพิษจนชินเหมือนกับทานยาพิษเป็นอาหาร เกรงว่านางจะไม่สามารถแยกออกได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน