บทที่ 38 สตรีผู้ทรงเกียรติ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 38 สตรีผู้ทรงเกียรติ

สิ้นเสียงประกาศของเสนาบดีกรมอาญา เสียงกระซิบกระซาบของทุกคนก็ดังขึ้นอื้ออึงในบริเวณลานเฉลียง

จั่วเหยียนเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามถังรั่วเวยว่า “รั่วเวย เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

“เหตุใดต้องถามความคิดเห็นจากข้าด้วยเล่า?” คนถูกถามถามกลับด้วยความสงสัย

“ข้าหมายถึงว่า…” จั่วเหยียนเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป “ครั้งนี้พวกเราจะร่วมเดินทางไปด้วยกันหรือไม่?”

“ร่วมมือกันอะไรทำนองนั้นรึ?”

“ใช่” คนจากกองทัพเทพยุทธ์พยักหน้า “ข้าเป็นคนตรงไปมาตรงมาไม่ชอบตีอ้อมรอบพุ่มไม้ กล่าวกันตามตรงเถิด รั่วเวย เจ้ากับข้าต่างก็เป็นศิษย์ของห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรมเช่นเดียวกัน สำนักของเราทั้งสองเป็นสำนักใหญ่สิบอันดับแรกในเก้ามหาทวีป หญ้าอมตะระดับสามเพียงต้นเดียว หากพวกเราปราบศัตรูร่วมกันสำเร็จย่อมเอ่ยปากขอรับรางวัลนั้นจากท้องพระคลังหลวงได้ ข้าไม่สนใจรางวัลของจักรพรรดิองค์นี้แต่อย่างใด ครั้งนี้ข้าตั้งใจเดินทางลงจากยอดเขามา มุ่งความสนใจไปที่ฆาตกรผู้ลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทมากกว่า เป็นอย่างไร? เช่นนี้แล้วพวกเราควรไปด้วยกันหรือไม่?”

ถังรั่วเวยครุ่นคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง

อันที่จริง จั่วเหยียนเฟยเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง อีกทั้งหญ้าอมตะระดับสามก็ไม่ใช่รางวัลสูงส่งสำหรับสำนักกระบี่ชิงหมิงและกองทัพเทพยุทธ์แต่อย่างใด โดยปกติแล้วไป๋ชิวหรานมักศึกษาค้นคว้าและปรุงยาอยู่เป็นนิจ แต่ทุกครั้งที่ถังรั่วเวยเห็น เขามักจะใช้เพียงหญ้าอมตะระดับหนึ่งหลายต้นเป็นส่วนผสมเท่านั้น

นอกจากนี้ทุกคนต่างก็เป็นพันธมิตรร่วมอุดมการณ์เดียวกัน แม้ว่าจั่วเหยียนเฟยจะมีความคิดแปลกประหลาด แต่ก็ไร้ท่าทีว่าจะปองร้ายนางอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานรวมพลังกันกับความสามารถของคนจากกองทัพเทพยุทธ์เช่นจั่วเหยียนเฟย นางจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าความแข็งแกร่งจะต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างแน่นอน ในบรรดาผู้ฝึกตนทุกคนในที่นี้ นางเป็นตัวเลือกแรกสำหรับเป็นสหายร่วมทาง

สำหรับจั่วเหยียนเฟยแล้ว ถังรั่วเวยเองก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนางเช่นกัน เพราะความสัมพันธ์ในช่วงแรกเริ่มต่างเป็นไปได้ดีกันทั้งสองฝ่าย

หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ถังรั่วเวยจึงพยักหน้ายินยอม “ย่อมได้ เช่นนั้นเราร่วมทางไปด้วยกันเถิดพี่จั่ว”

“เรียกข้าว่าเหยียนเฟยก็พอแล้ว” เมื่อได้ยินคำตอบของถังรั่วเวย จั่วเหยียนเฟยก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจแล้วเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางเสียเดี๋ยวนี้เลย”

“ไม่ต้องหาสหายร่วมทางเพิ่มอีกสักคนสองคนหรือ?” ถังรั่วเวยรีบเดินตามจั่วเหยียนเฟยไปพร้อมเอ่ยถาม

จั่วเหยียนเฟยหยุดชะงักฝีเท้า นางกวาดสายตามองผู้คนในลานกว้างแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่เชื่อใจผู้ใดทั้งนั้น”

ให้ตายสิ ลำแสงแห่งบารมีพุ่งออกจากศีรษะของข้าแล้วกระมัง

ถังรั่วเวยกล่าวชมเชยตนเองในใจ

ทั้งสองเดินออกไปด้วยกัน ไป๋ชิวหรานปรากฏตัวอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างเงียบเชียบราวกับภูตผีไร้ตัวตน เมื่อเดินออกไปข้างนอก จั่วเหยียนเฟยก็หาที่พักผ่อนเงียบ ๆ จากนั้นก็เริ่มทำการปรึกษากับถังรั่วเวยอย่างตรงไปตรงมา

“ระหว่างทางก่อนมาถึงที่นี่ ข้ารับฟังเรื่องราวที่ผู้คนในเมืองเล่าลือกันอย่างหนาหู ดูแล้วฆาตกรที่ลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทแห่งติ่งกั๋วต้องมีความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน” จั่วเหยียนเฟยออกความเห็น “เพื่อเสาะหาตัวฆาตกรให้พบ ตอนนี้เราจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่านี้”

ถังรั่วเวยได้ยินแล้วได้แต่หันหน้าไปมองไป๋ชิวหรานซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง

“รั่วเวย เหตุใดเจ้าจึงต้องหันไปมองศิษย์น้องไป๋อยู่เรื่อย?” จั่วเหยียนเฟยนึกประหลาดใจ

“จริงด้วย ศิษย์พี่หญิง พี่จั่วเหยียนเฟยกำลังปรึกษาหารือกับท่านอยู่แท้ ๆ” ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ยางอาย “มองข้าบ่อยครั้งเกินไปด้วยเหตุใดกัน? ระวังเถิดกระดูกส่วนคอจะเคล็ดขัดยอกเอาได้”

“อืม… ถ้าเช่นนั้น” ถังรั่วเวยขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยข้อเสนอแนะเป็นการหยั่งเชิง “ข้ามีความเห็นว่าพวกเราควรไปดูพระศพขององค์ชายรัชทายาทแห่งติ่งกั๋วให้เห็นกับตาเสียก่อน”

“เป็นข้อเสนอที่ดี” จั่วเหยียนเฟยพยักหน้าก่อนกล่าวต่อไป “ทว่านั่นมิใช่ศพคนธรรมดา แต่เป็นพระศพขององค์รัชทายาทเลยเชียว”

ในฐานะที่เคยเป็นเชื้อพระวงศ์ ถังรั่วเวยย่อมรู้ดีว่ากฎของทางราชสำนักนั้นเข้มงวดเพียงใด “แล้วทางราชวงศ์ติ่งกั๋วจะยินยอมให้เราเข้าไปตรวจสอบหรือไม่?”

“ข้าจะเข้าไปเจรจากับทางสำนักพระราชวังติ่งกั๋วโดยตรงเอง” จั่วเหยียนเฟยกล่าวด้วยความหยิ่งผยองและมั่นใจเสียเต็มประดา “ลองดูว่าพวกเขาจะอนุญาตโดยดีหรือไม่ หากไม่เป็นผลก็ช่างมันเสีย พวกเราย่อมมีหนทางอื่น”

หลังจากกล่าวจบ จั่วเหยียนเฟยก็เดินตรงไปยังพระราชวังติ่งกั๋วทันที แม้ตัวนางจะอ้างว่าตนเป็นเพียงทหารชั้นหนึ่งแห่งกองทัพเทพยุทธ์ ทว่าท่าทางของนางเวลานี้กลับองอาจราวเป็นแม่ทัพหญิงที่ผ่านศึกมานับร้อยครั้งแล้ว

ถังรั่วเวยเดินติดตามไปโดยเว้นระยะห่างเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มหันไปกระซิบกระซาบกับอาจารย์ของตนที่แสร้งทำตัวอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา

“พี่จั่วช่างน่าชื่นชมเสียจริง ศิษย์ของกองทัพเทพยุทธ์มีลักษณะนิสัยเช่นนี้ทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ?”

“ทำนองนั้น ในบรรดาห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรม สำนักของนางฝึกวิชากันเยี่ยงทหารกล้า ทั้งยังเคร่งครัดในระเบียบวินัยเป็นที่สุด” คล้อยหลังคนนอกแล้วไป๋ชิวหรานก็กลับมาวางตัวตามปกติ เขาพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ

“แต่สถานะของจั่วเหยียนเฟยนั้นไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา พรสวรรค์ของนางคล้ายคลึงกับเจ้า นอกจากนี้นางยังบรรลุเป็นผู้ฝึกตนระดับหนึ่งของขั้นสร้างรากฐาน นั่นหมายความว่านางมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเจ้า และแน่นอนว่านางควรจะเป็นเสาหลักของกองทัพเทพยุทธ์รุ่นนี้”

“ข้าชักอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าสำนักแห่งกองทัพเทพยุทธ์เป็นคนเช่นไร” ถังรั่วเวยเอ่ยบ้าง

“หากเป็นสำนักทั่วไปคงเรียกประมุขสูงสุดว่าเจ้าสำนัก แต่สำนักของพวกเขาเรียกขานประมุขสูงสุดของสำนักว่าจอมพลทหารม้า แต่พูดถึงคนผู้นั้นแล้ว ฮึ่ม ข้าเดาว่าเจ้าพบเจอแล้วคงผิดคาดนัก” ไป๋ชิวหรานยกยิ้ม

“เขาแตกต่างจากเจ้าสำนักเจวี๋ยหยุนซือของเราหรือ? เอ่อ… เป็นการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างจะพิลึกไปหน่อยใช่หรือไม่?” ถังรั่วเวยกล่าวทั้งที่หยดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามใบหน้า

“สองคนนั้นแตกต่างกันชนิดไม่เห็นฝุ่น จอมพลทหารม้าแห่งกองทัพเทพยุทธ์ดูภายนอกแล้วไม่ต่างจากแม่ทัพเลือดเหล็ก ทว่าความจริงแล้วเขาเป็นเพียงคนเสียสติที่คลั่งไคล้การฝึกตนมากจนเกินไป จนกระทั่งความบ้าคลั่งของเขาย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตัวเอง”

ใบหน้าของไป๋ชิวหรานดูเหมือนจะมีความทรงจำที่ไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับคนผู้นี้มากมาย

“รายละเอียดซับซ้อนนัก เจ้าไม่ควรรับรู้มากจนเกินไปจะเป็นประโยชน์กับตัวเองมากกว่า”

ทั้งสามเดินตรงไปยังพระราชวังติ่งกั๋ว จั่วเหยียนเฟยนำพวกเขาออกไปด้านนอกพระราชวังด้วยท่าทางหยิ่งยโส จากนั้นจึงแจ้งจุดประสงค์การมาของตนให้ทหารองครักษ์ที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกพระราชวังได้รับทราบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีสองคนที่มีหยดเหงื่อไหลโซมกายก็เดินออกมาต้อนรับคนทั้งสามให้เดินเข้าไปในเขตพระราชฐาน

ขันทีพาทั้งสามคนเดินลัดเลาะไปรอบพระราชวังอันกว้างใหญ่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็พาพวกเขาทั้งสามไปที่ลานกว้างภายในอันเงียบสงบเป็นพิเศษ

มีอุปกรณ์ฝึกซ้อมและหุ่นเสมือนคนต่าง ๆ มากมายตั้งอยู่กลางสนาม ตรงกลางสนามมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งที่เปลือยท่อนบน รูปร่างสูงประมาณเจ็ดฉื่อ กล้ามของเขาแข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กกล้า มือข้างหนึ่งถือโซ่หินขนาดใหญ่ ไอสีขาวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยอยู่เหนือศีรษะ

เมื่อเห็นว่าขันทีพาคนสามคนมาด้วย ชายร่างกำยำผู้นี้ก็วางโซ่หินสองก้อนลง หยิบผ้าขนหนูจากถาดที่ขันทีตัวน้อยถืออยู่มาซับเหงื่อบนร่างกาย

“ข้า ชวีเผิง จักรพรรดิของที่นี่” ชายร่างกำยำผู้นั้นโยนผ้าขนหนูให้กับขันทีน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ได้ยินว่าพวกเจ้ามีความประสงค์ต้องการตรวจสอบพระศพโอรสของเรากระนั้นหรือ?”

“ใช่แล้วฝ่าบาท” จั่วเหยียนเฟยพยักหน้ารับด้วยสีหน้าสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน

“อืม…” จักรพรรดิชวีเผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ กลับพุ่งตัวกระโจนเข้าหาพวกไป๋ชิวหราน “รับฝ่ามือของข้าไว้ให้ได้!”

ร่างกายขององค์จักรพรรดิเต็มไปพลังแห่งจิตสังหารสีทองอร่าม กล้ามเนื้อปูดโปนขึ้นสูงราวกับร่างจำแลงมังกรพิโรธ จักรพรรดิแห่งอาณาจักรติ่งกั๋วยกมือฝ่ามือขึ้นสูงหมายโจมตีไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ โดยไม่ให้โอกาสได้ตั้งตัว

ไป๋ชิวหรานยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและยกมือขึ้นลูบจมูกอย่างไม่สะทกสะท้าน ถังรั่วเวยหางตากระตุกเล็กน้อย ยกฝ่ามือขึ้นแต่แล้วกลับลดระดับลง มีเพียงจั่วเหยียนเฟยที่ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เปล่งเสียงออกมาพร้อมยกฝ่ามือขึ้นตั้งรับอย่างไม่เกรงกลัว

ฝ่ามือทั้งสองกระแทกกันจนเกิดเสียงระเบิดอันทรงพลัง กระแสพลังปราณสีทองถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณแก่นแท้ที่เย็นยะเยือก ก่อนจะแผ่กระจายไปโดยรอบบริเวณ กระทั่งพื้นดินแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ หินกรวดแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวเศษน้ำแข็ง

จั่วเหยียนเฟยและจักรพรรดิชวีเผิงต่างถอยออกไปคนละก้าว สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนอีกฝ่ายผิวหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขณะถูกพลังปราณกดทับลงไป

“ฝ่าบาททรงเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถอย่างแท้จริง” จั่วเหยียนเฟยกล่าวชื่นชม “ถึงกับใช้วิทยายุทธ์ในโลกมนุษย์สามัญรับฝ่ามือของผู้ฝึกตนอย่างกระหม่อมได้”

“ฮ่า ๆ เจ้าเป็นเพียงสตรี แต่กลับต่อกรกับบุรุษเช่นข้าได้อย่างสมศักดิ์ศรี” จักรพรรดิชวีเผิงเองก็กล่าวคำชมเชยกลั้วหัวเราะอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน

“ก่อนหน้านี้มีคนอาสาเข้าร่วมตามหาฆาตกรเช่นเดียวกันกับพวกเจ้า ทว่าความสามารถของพวกเขาล้วนเป็นกลลวง ต่างคนต่างกล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นสร้างรากฐาน มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป ข้าใคร่รู้ว่าจริงหรือไม่จึงลองทดสอบพวกเขาเช่นนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดรับฝ่ามือของข้าได้แม้แต่คนเดียว เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่อาจหาญต่อกรกับข้าได้”

“ข้าเพียงโชคดีที่ได้เป็นศิษย์แห่งสำนัก ได้ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ผู้เก่งกาจไม่แพ้กัน” จั่วเหยียนเฟยถ่อมตนด้วยความสุภาพ

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างองอาจออกมาพร้อมเพรียงกัน ราวกับพวกเขาได้สร้างมิตรภาพอันละเอียดอ่อนผ่านการใช้กำลังแรงกายเช่นเมื่อครู่

“เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้พวกเราได้ตรวจสอบพระศพขององค์ชายรัชทายาทหรือไม่?” หลังจากเสียงหัวเราะสิ้นสุดลง จั่วเหยียนเฟยจึงเอ่ยถาม

“อืม ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนเช่นพวกเจ้าก็มีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า” จักรพรรดิชวีเผิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นตัดสินใจได้แล้วจึงโบกมือ “ข้าอนุญาต!”