บทที่ 39 ข้าเกรงว่าอาจพลั้งมือสังหารท่านโดยไม่ทันระวัง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 39 ข้าเกรงว่าอาจพลั้งมือสังหารท่านโดยไม่ทันระวัง

“ฝ่าบาท ทรงดำริให้รอบคอบเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซึ่งยืนอยู่ด้านข้างรีบเกลี้ยกล่อม “นั่นคือพระศพขององค์ชายรัชทายาททั้งคน”

“วิญญาณหรือก็แตกดับไปแล้ว เพียงกายไร้ลมหายใจจะมีค่าควรแก่การหวงแหนอย่างไรกัน? หากสงวนไว้แล้วโอรสของข้าสามารถตื่นขึ้นมาสืบทอดราชอำนาจแทนเราได้หรือไม่?”

จักรพรรดิชวีเผิงแค่นเสียงคำรามพลางขมวดคิ้วด้วยความกริ้ว “เช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าได้ทำงานต่อไปเลย ช่วยข้าออกไปตามหาฆาตกรที่ลอบปลงพระชนม์เขาเสียคงมีประโยชน์กว่า!”

ขันทีน้อยตกใจจนขาทั้งสองข้างสั่นเทิ้ม รีบคุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกศีรษะขอพระราชทานอภัยไม่หยุด

“อีกสองคนนั้นเป็นสหายของเจ้าหรอกหรือ? พลังของพวกเขาคงแข็งแกร่งไม่แพ้เจ้าใช่หรือไม่?”

“ไม่เชิงเพคะ ชายผู้นี้เป็นเพียงศิษย์น้องของข้าเท่านั้น ระดับขั้นการฝึกตนของเขาไม่สูงส่งมาก” จั่วเหยียนเฟยผายมือไปยังไป๋ชิวหราน จากนั้นจึงผายมือไปทางถังรั่วเวยพร้อมกล่าว

“แต่แม่นางผู้นี้มีระดับขั้นการฝึกตนทัดเทียมกันกับข้า ฉะนั้นความแข็งแกร่งของนางย่อมไม่ด้อยไปกว่าข้าอย่างแน่นอน”

“หืม?” จักรพรรดิชวีเผิงมองสำรวจร่างกายของถังรั่วเวยอย่างนึกประหลาดใจ “สตรีธรรมดารูปร่างบอบบางนางนี้น่ะรึ?”

“ฝ่าบาท ข้าเองก็เป็นสตรีเช่นเดียวกันกับนางนะเพคะ” จั่วเหยียนเฟยออกตัวแทนถังรั่วเวยด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

“นางไม่เหมือนเจ้า สังเกตจากร่างกายภายนอกของเจ้าแล้ว ย่อมตระหนักได้ทันทีว่าจะต้องเป็นวีรสตรีผู้แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย” จักรพรรดิชวีเผิงโบกมือ “แต่แม่นางผู้นี้ดูอ่อนแอกว่าเจ้ายิ่งนัก เวลาไม่พูดก็ดูไปช่างละม้ายคล้ายคุณหนูตระกูลใหญ่…ไม่สิ เหมือนกับธิดาของข้าไม่มีผิด”

พระองค์หมายความว่ารูปพรรณสัณฐานของข้าไม่คล้ายสตรีเลยกระนั้นรึ?

สีหน้าของจั่วเหยียนเฟยเผยซึ่งความไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเก่า

ทว่าจักรพรรดิชวีเผิงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของสตรีคนกองทัพเทพยุทธ์ เขามองไปยังถังรั่วเวยพร้อมกระตุกกล้ามเนื้อบนร่างกายและยื่นมือไปตรงหน้านาง

“มาเถิด แม่นาง ให้ข้าลองทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าดูเสียหน่อย”

“นี่…ขอละเว้นไว้คงเป็นการดีกว่าเพคะ” ถังรั่วเวยกล่าวปฏิเสธด้วยความลังเล “ท่านอาจารย์ของข้าได้ถ่ายทอดกระบวนท่าสังหารไว้ให้ข้าเรียนรู้หลายกระบวนทีเดียว ข้าเกรงว่าอาจพลั้งมือสังหารท่านโดยไม่ทันระวัง”

“หืม?” จักรพรรดิชวีเผิงยิ้มเยาะ “สาวน้อยผู้นี้กล่าววาจาได้โอหังยิ่งนัก ข้าชักใคร่รู้ขึ้นมาเสียแล้วว่าเด็กน้อยเช่นเจ้าจะสังหารข้าอย่างไร… ถึงกระนั้นก็เถอะ ไม่ว่าข้าจะอนุญาตอย่างไรแต่ข้าก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งรัฐ หากข้าถูกเจ้าสังหารจนตายตกคามือ ผู้ที่จะเอาความจากเจ้าแน่นอนว่าไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นเหล่าขุนนางที่ต้องสร้างปัญหาให้กับเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นจงลืมมันไปเสียเถิด แม่นางสามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเจ้าให้ข้ารับรู้ได้หากภารกิจในครั้งนี้สำเร็จ”

กล่าวจบแล้วเขาก็ยกมือขึ้นพร้อมออกคำสั่ง “ใครก็ได้ พาแม่นางทั้งสองไปตรวจสอบพระศพขององค์ชายรัชทายาท”

ทหารยามสองคนเดินเข้ามาจากนอกลานกว้าง ก่อนเดินนำไป๋ชิวหรานและอีกสองคนตรงไปยังพระราชวังที่มีทหารราชองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่อย่างเข้มงวด

พระศพขององค์รัชทายาทถูกวางไว้บนแท่นหินกลางห้องโถงใหญ่ เหนือร่างนั้นปกคลุมไว้ด้วยผืนผ้าสีขาว ทหารองครักษ์ทั้งสองคนไม่ได้ตามเข้ามา มีเพียงขันทีอาวุโสคนหนึ่งที่เดินตามเข้ามาพร้อมกัน เขาคอยจับสังเกตไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ตลอดเวลา ด้วยเกรงว่าคนกลุ่มนี้จะทำให้พระศพขององค์รัชทายาทแปดเปื้อน

จั่วเหยียนเฟยก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าดุดันเช่นเคย หลังจากเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว นางก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินตรงไปยังแท่นวางพระศพขององค์รัชทายาทก่อนเปิดผืนผ้าสีขาวที่คลุมอยู่ด้านบนออก

พระศพขององค์รัชทายาทปรากฏต่อหน้าไป๋ชิวหรานและอีกสองนาง เนื่องจากขุนนางและเจ้าหน้าที่ในพระราชวังติ่งกั๋วคอยดูแลและเก็บรักษาพระศพอย่างเอาใจใส่ พระศพขององค์รัชทายาทแห่งรัฐติ่งกั๋วจึงไม่เน่าเปื่อย ทั้งยังไม่มีกลิ่นเหม็นใด ๆ หลงเหลืออยู่

องค์รัชทายาทผู้นี้ได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมอันโดดเด่นมาจากจักรพรรดิชวีเผิง เขาจึงมีลักษณะร่างกายที่แข็งแกร่ง แม้กล้ามเนื้อของเขาจะไม่ขึ้นมัดเป็นล่ำสันอย่างน่ากลัวเท่ากับพระราชบิดา แต่เมื่อสังเกตจากรูปกายภายนอกแล้ว สามารถบ่งบอกได้ว่าองค์รัชทายาทผู้นี้มีพละกำลังแข็งแกร่งไม่น้อยเลยทีเดียว

ทว่าผู้คนเล่าลือกันว่าเข้าถูกลอบปลงพระชนม์อย่างเงียบเชียบในระหว่างที่เคลื่อนขบวนเพื่อไปรับชมการแสดงมหรสพใหญ่

จั่วเหยียนเฟยเริ่มตรวจสอบถึงสาเหตุที่ทำให้องค์รัชทายาทแห่งติ่งกั๋วสิ้นพระชนม์ ถังรั่วเวยเองก็คอยช่วยเสริมความคิดเห็นอยู่ข้าง ๆ ส่วนไป๋ชิวหรานใช้สายตามองสำรวจทั่วร่างกายของพระศพตรงหน้า

หลังจากถอนสายตากลับมา ไป๋ชิวหรานก็พอเข้าใจสาเหตุการตายขององค์รัชทายาทแล้ว ขณะนั้นเองถังรั่วเวยกลับเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่นึกลังเล “ศิษย์น้อง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

จั่วเหยียนเฟยเองก็กะพริบตาและมองไปที่เขาเช่นกัน

“คิดเห็นรึ? เหตุใดท่านถึงถามข้าเล่า?” ไป๋ชิวหรานแสร้งทำทีเป็นสับสนและยกมือขึ้นเกาศีรษะ “ข้าน้อยมีพรสวรรค์ที่โง่เขลาด้อยกว่าท่านเสียอีก สายตาหรือไร้แวว จะออกความคิดเห็นอย่างไรได้?”

น่ารังเกียจนัก! เค้นให้ตายน้ำก็ไม่รั่วไหลอย่างแท้จริง

ถังรั่วเวยลอบสบถในใจเมื่อเห็นสายตาแวบหนึ่งของไป๋ชิวหรานที่มองสบมา หญิงสาวจึงเข้าใจทันทีว่าเขารู้ชัดแล้วถึงสาเหตุอะไรบางอย่าง ทว่าเขากลับเลือกที่จะไม่พูดออกมา ต่อให้พุ่งเป้าไปที่อาจารย์ผู้นี้อย่างกะทันหันเขาก็สามารถรับมือได้อย่างใจเย็น สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสที่มีชีวิตยืนยาวมาหลายพันปี

“เช่นนั้นข้าขอกล่าวถึงการค้นพบของข้าสักหน่อย” จั่วเหยียนเฟยชี้ไปที่บาดแผลบริเวณไหล่ขององค์รัชทายาท “จากบาดแผลตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของมนุษย์อย่างแน่นอน”

ถังรั่วเวยเหลือบมองแวบหนึ่ง แผลบริเวณไหล่นั้นคล้ายเขาถูกอะไรบางอย่างกัดเสียจนรอยเขี้ยวจมลึก ดูจากระดับการฉีกขาดของเนื้อและผิวหนังแล้ว ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนฟันของมนุษย์จริง ๆ

“แต่เป็นบาดแผลที่เกิดจากสิ่งใดกัน?”

“น่าจะเป็นสุนัขจิ้งจอก” จั่วเหยียนเฟยตอบ “ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมเป็นศิษย์ของกองทัพเทพยุทธ์ ครอบครัวของข้ามีอาชีพเป็นพรานป่า ข้ามักจะติดตามท่านพ่อขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่าสัตว์อยู่บ่อยครั้ง สมัยนั้นขนของสุนัขจิ้งจอกมีมูลค่าสูงมากทีเดียว ข้ายังเคยถูกสุนัขจิ้งจอกกัดมาแล้ว”

“เช่นนั้นผู้ร้ายเป็นอสูรอย่างนั้นหรือ?” ถัวรั่วเวยหวนนึกถึงตำราประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่เคยร่ำเรียนผ่านตาของสำนักกระบี่ชิงหมิง “ทว่านี่ดูไม่ใช่บาดแผลที่ร้ายแรงอย่างไรเลย”

“จริงอย่างที่เจ้าว่า สำรวจมองเพียงผิวเผินแล้วบาดแผลไม่ได้สาหัสเสียจนทำให้คนถึงตายได้” จั่วเหยียนเฟยนิ่งคิด “หากเราสามารถผ่าเปิดทรวงอกของเขาได้แล้วละก็…”

“อ๊ะ ๆ ประเดี๋ยวก่อนแม่นางทั้งสอง” ขันทีชราซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตระหนกและรีบห้ามปราม “ถึงอย่างไรร่างนี้ก็เป็นพระศพขององค์รัชทายาทเชียว พวกเจ้าอย่ากระทำการอุกอาจเกินไปนัก!”

“เฮ้อ ถึงอย่างไรจักรพรรดิชวีเผิงก็อุตส่าห์พระราชทานอนุญาตให้พวกเราเข้ามาตรวจดูพระศพพระโอรสของเขาแล้ว พวกเราควรให้เกียรติเขาจึงจะเหมาะสม ผู้ตายมีฐานะสูงส่ง เราไม่อาจดูหมิ่นร่างกายของผู้ตายได้ตามอำเภอใจ” จั่วเหยียนเฟยเผยสีหน้าแสดงความเสียดายออกมา แต่แล้วก็กล่าวต่อไป “ไปเถอะ รั่วเวย พวกเราเดินทางไปดูสถานที่อื่นกันดีกว่า”

หลังเดินออกมาจากแท่นวางพระศพขององค์ชายรัชทายาทแล้ว จั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยเดินทางไปยังตำแหน่งที่องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์อีกครั้ง

ลือกันว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุปลงประชนม์องค์รัชทายาทอยู่ที่บริเวณเส้นทางเลียบริมคลองภายในเมืองหลวงติ่งกั๋ว ใครคนหนึ่งเล่าว่าเวลานั้นการแสดงมหรสพจัดขึ้นตรงบริเวณริมคลอง ส่วนองค์รัชทายาทแห่งติ่งกั๋วทรงนั่งร่ำสุราอยู่ ณ ชั้นบนสุดของภัตตาคารด้านข้าง องค์ชายผู้มั่งคั่งทรงเหมาชั้นดังกล่าวไว้ทั้งหมด ทำให้มีเพียงเขาและนายทหารรักษาพระองค์ผู้ใกล้ชิดเท่านั้น

ทว่าหลังจากที่จั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยเดินสำรวจดูรอบหนึ่ง พวกนางกลับพบปัญหาหนึ่ง

“ที่นี่ไม่มีร่องรอยการลงมือทำร้ายด้วยซ้ำ” จั่วเหยียนเฟยกล่าว

“บางทีฆาตกรอาจมากฝีมือเสียจนลบเลือนร่องรอยทั้งหมดได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังรู้สึกว่าบาดแผลบนไหล่ขององค์รัชทายาทน่าประหลาดไม่น้อย” ถังรั่วเวยกล่าวขึ้นบ้าง “เห็นได้ชัดว่าเป็นอสุรกายจิ้งจอก แต่ภายใต้การคุ้มครองของทหารราชองครักษ์ชั้นยอดของติ่งกั๋ว การจู่โจมองค์รัชทายาทแห่งติ่งกั๋ว อย่างน้อยปีศาจตนนี้จำเป็นต้องมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณระดับสูงสุดเท่านั้นจึงจะไม่ถูกค้นพบ แต่มันเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร? ลอบพรางตัวซ่อนเร้นจากหูตาที่เฉียบคมของเหล่าทหารองครักษ์ เพียงเพื่อเข้ามากัดไหล่ขององค์รัชทายาทจนเขามีบาดแผลที่ไม่ถึงแก่ชีวิตเนี่ยนะ? หากเป็นเช่นนั้นจริงคงเป็นอสูรที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”

“เช่นนั้นที่นี่คงไม่ใช่สถานที่ที่องค์ชายรัชทายาทสิ้นพระชนม์อย่างแท้จริง” จั่วเหยียนเฟยกล่าว

“ข้าคาดเดาว่าคงมีใครสักคนจงใจปิดบังบางอย่างไว้ อาจเพื่อช่วยชีวิตผู้ร้าย หรือไม่ก็เพื่อวัตถุประสงค์อื่น”