บทที่ 73 การเผชิญหน้า

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 73 การเผชิญหน้า

“เกิดอะไรขึ้น นี่คือ…” ฉินปู้เข่อมองความเป็นไปตรงหน้าของนาง และมองหาความช่วยเหลือจากจานหานจือโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่านางจะเป็นพระชายาแห่งตำหนักแต่นางก็อายุน้อยกว่าจานหานจือ ในสถานการณ์ที่กะทันหันเช่นนี้ นางจึงต้องการหาคนที่จะพึ่งพาได้โดยไม่รู้ตัว

“เหมียวไค แม่ทัพแห่งกองกำลังปกป้องเมืองเพิ่งเห็นโจรบุกเข้าไปในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ จากที่เห็นพบว่าโจรเข้ามาจากพื้นที่ด้านหลังตำหนักของพระชายา ดังนั้นกระหม่อมจึงพาคนมาล้อมสวนเฉินอวี้เพื่อไม่ให้โจรหลบหนีไปได้”

ฉินปู้เข่อหลับตาแล้วพูดอย่างเชื่องช้า “สวนเฉินอวี้อยู่ในพื้นที่ด้านในของตำหนักของอ๋องหลี่ชิน หากท่านผลีผลามเข้ามาปิดล้อม หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพเหมียวเข้ามาโดยได้รับอนุญาตจากอ๋องหลี่ชินแล้วหรือยัง หรือมีจดหมายของทางการหรือไม่”

“นี่เป็นเรื่องด่วนและกระหม่อมก็มาเพื่อความปลอดภัยของพระชายาเช่นกัน ส่วนท่านอ๋องนั้น กระหม่อมได้ส่งคนไปแจ้งให้ท่านทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหมียวไคตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแล้วมองซ้ายมองขวา “กระหม่อมก็หวังว่าพระชายาจะนำตัวสหายที่เป็นสตรีเหล่านี้หลบไปก่อน เพื่อไม่ให้พระชายาต้องเจ็บตัวเมื่อลูกน้องของกระหม่อมเข้าไปตรวจค้น”

“ท่านต้องการค้นพื้นที่ของหม่อมฉันตามความประสงค์หรือ?! ไม่ได้! หม่อมฉันต้องรอจนกว่าท่านอ๋องจะมาหรือมีจดหมายอย่างเป็นทางการ!” ฉินปู้เข่อดึงแขนเสื้อของจานหานจือแน่น และดูเหมือนนางจะสั่นเทาไปทั้งตัว

“หากข้าผู้นี้ต้องการค้นตำหนัก พระชายาจะอนุญาตหรือไม่?” ขณะที่เสียงพูดดังขึ้น หมี่เซวียนก็เดินเข้ามาจากนอกตำหนักแล้วเหลือบมองผู้คนในลานตำหนักและกล่าวว่า “ปรากฏว่าฮูหยินโซวก็อยู่ที่นี่ด้วย ช่างกะทันหันนัก”

ฉินปู้เข่อมองหมี่เซวียนและเม้มปากแล้วพูดว่า “นี่คือลานด้านในของตำหนัก แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่อาจเข้ามาค้นหาใครได้หากไม่มีจดหมายอย่างเป็นทางการ”

“เฮอะ” หมี่เซวียนหัวเราะเยาะราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกขบขัน “มาค้นตำหนักแห่งนี้กันเถิด!”

“องค์รัชทายาทเพคะ” จานหานจือทำความเคารพแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ฝ่าบาท เจ้าหน้าที่และทหารของกองกำลังปกป้องเมืองเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ชายทุกคน หากพวกเขาค้นตำหนักของพระชายาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะส่งผลต่อชื่อเสียงของพระชายา จะดีกว่าหรือไม่หากท่านเสด็จไปทูลอ๋องหลี่ชินก่อน หรือไปหาผู้ดูแลเมืองเพื่อขอจดหมายอย่างเป็นทางการแล้วจึงมาค้นหาอีกครั้งเพคะ”

หมี่เซวียนจ้องมองจานหานจือแล้วแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย “ปรากฏว่าไม่ได้มีเพียงหัวหน้าโซวที่ไม่เกรงกลัวความตาย แต่ฮูหยินโซวก็กล้าหาญเช่นกัน”

สามีของจานหานจือคือโซวเผิง หัวหน้าที่ปรึกษาราชสำนัก

ในต้าเซี่ยนั้น ที่ปรึกษาราชสำนักเป็นตำแหน่งพิเศษ มันเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่ดูแลสามเขตของมณฑลและอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเสนาบดี แต่ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเสนาบดีทั้งหมด

บางครั้งเสนาบดีก็ไม่สะดวกที่จะพูดกับฮ่องเต้โดยตรง แต่ขุนนางที่ปรึกษาราชสำนักเรียกได้ว่าเป็น ‘ผู้พูดที่บริสุทธิ์ใจ’

มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับที่ปรึกษาที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องแต่ก็ไม่สำคัญเมื่อทำผิด เพราะหน้าที่ของที่ปรึกษาคือต้องเจรจาเพื่อป้องกันไม่ให้เสนาบดีขัดแย้งกับฮ่องเต้โดยตรง

ดังนั้นบุคลิกของที่ปรึกษาราชสำนักทุกคนจึงเหมือนกันคือตรงไปตรงมา และไม่หวั่นเกรงผู้ที่กระทำความผิด

โซวเผิงทำงานในฝ่ายที่ปรึกษาราชสำนักตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เขาจึงเคยชินกับการพูดตรงไปตรงมามาหลายสิบปีแล้ว หลังจากกลับตำหนักแล้วเขาก็เป็นคนซื่อตรง แม้แต่จานหานจือที่อาศัยอยู่กับเขามาเกือบสิบปีก็ยังเป็นคนซื่อตรง ตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวผู้มีอำนาจและไม่เกรงกลัวผู้กระทำความผิด

สุดท้ายแล้วแม้แต่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็ไม่อาจตัดสินลงโทษเขาได้ตามอำเภอใจเมื่อเขาตักเตือน นับประสาอะไรกับคนอื่น

จานหานจือเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “เนื่องจากแม่ทัพเหมียวได้ปิดล้อมสถานที่นี้ไว้ และดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีได้แล้ว ท่านจึงมีเวลาที่จะขอจดหมายที่เป็นทางการ และหม่อมฉันเชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์ท่าน หากเป็นการเข้าค้นหาโดยมีจดหมายที่เป็นทางการเพคะ”

“จะเกิดอะไรขึ้นหากข้ายังคงยืนกรานที่เข้าไปค้น” หมี่เซวียนก้าวไปข้างหน้าสองก้าวพลางจ้องจานหานจือ

ฉินปู้เข่อดึงแขนเสื้อของจานหานจือแล้วเกลี้ยกล่อม “พี่สาวหยุดพูดเถิด ข้าส่งคนไปเชิญท่านอ๋องแล้ว…”

“องค์รัชทายาทเสด็จมาที่นี่ดึกนัก สายเกินไปแล้วที่จะต้อนรับท่าน”

หมี่โม่หรู่ถูกเข็นเข้ามาจากประตูตำหนัก เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเร่งรีบและสวมเพียงเสื้อคลุมสีดำคลุมเสื้อของเขา และผมของเขาก็มัดเป็นมวยแบบง่าย ๆ โดยไม่ได้ใช้ปิ่นปักผม

การเดินทางระยะสั้นจากสวนชิงอวี้มาถึงสวนเฉินอวี้เร่งรีบนัก และมีเส้นผมสองสามเส้นกระจัดกระจายอยู่บนหน้าผาก ซึ่งดูเหมือนจะตื่นตระหนกมาก

เมื่อฉินปู้เข่อเห็นว่าเขาปรากฏตัวแล้วก็รีบรับเสื้อคลุมจากซวงหวน ก่อนจะเดินไปหาหมี่โม่หรู่แล้วคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า “ลมเย็นยามต้นฤดูใบไม้ร่วงทำให้รู้สึกหนาวบ้าง ไม่ว่าท่านอ๋องจะวิตกกังวลถึงเพียงไหน ท่านก็ต้องดูแลร่างกายของท่านนะเพคะ”

ขณะที่นางพูดเช่นนั้น นางก็หยิบเสื้อคลุมมาสวมบนตัวของหมี่โม่หรู่

หมี่โม่หรู่พยักหน้าเบา ๆ แล้วเผยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะจับมือของฉินปู้เข่อ “ข้าทำให้เจ้าต้องกังวล”

เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาคนรอบข้าง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าสามีภรรยาคู่นี้มีความรักและเสน่หา

“ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของอ๋องเจ็ดนั้นดีเสียจนน่าอิจฉาจริง ๆ” หมี่เซวียนหัวเราะเบา ๆ ดวงตาของเขามีร่องรอยของความหม่นหมองฉายแววอยู่

ฉินปู้เข่อก้มศีรษะอย่างเขินอายและยกยิ้มเล็กน้อย “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะองค์รัชทายาทเพคะ”

ประโยคนี้จุดประกายความโกรธและความเสียดายในหัวใจของหมี่เซวียน

“กระหม่อมเพิ่งเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่และทหารมากมายอยู่รอบสวนเฉินอวี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่และทหารก็ยืนอยู่ที่ประตูตำหนักของอ๋องหลี่ชิน กระหม่อมขอถามได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” หมี่โม่หรู่มองหมี่เซวียนอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถาม

เหมียวไคที่อยู่ด้านข้างกำหมัดแล้วก้าวไปข้างหน้า “เหมียวไค แม่ทัพแห่งกองกำลังปกป้องเมืองออกลาดตระเวนในเมืองยามวิกาลและพบว่ามีโจรสองคนหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตำหนักของอ๋องหลี่ชิน เพื่อความปลอดภัยของตำหนัก สุดท้ายกระหม่อมจึงสั่งให้คนล้อมตำหนักของอ๋องหลี่ชินและสวนเฉินอวี้ไว้พ่ะย่ะค่ะ”

“เอ๊ะ? โจรเข้ามาในตำหนักแล้ววิ่งเข้าไปในสวนเฉินอวี้หรือ?!” หมี่โม่หรู่มองเขาด้วยความตกใจแล้วจับมือฉินปู้เข่ออย่างกังวลใจ “พระชายาเป็นอะไรหรือไม่?!”

มุมปากของฉินปู้เข่อกระตุกขึ้นเล็กน้อย นางดึงมือของเขาออกแล้ววางไว้ที่หน้าท้องของเขาแล้วส่ายหัว “หม่อมฉันพูดคุยกับฮูหยินโซวและแม่นางจานในห้องนั่งเล่นตอนกลางคืน และหม่อมฉันก็ไม่ได้ยินอะไรเลยและไม่เห็นโจรด้วยเพคะ”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้วนางก็มองไปยังสองพี่น้องสกุลจานและพูดเบา ๆ ว่า “พวกท่านได้ยินอะไรหรือไม่”

สองพี่น้องสกุลจานก็ส่ายหัวช้า ๆ

“แม่ทัพเหมียวมองผิดไปหรือไม่ วันนี้เป็นคืนเดือนมืดและทัศนวิสัยไม่ดี ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าอาจมองผิดไป”

“เป็นไปไม่ได้!” เหมียวไคเหลือบมองหมี่เซวียนแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ตอนที่โจรปรากฏตัวบนถนน กระหม่อมก็ติดตามอย่างกระชั้นชิด และระยะที่สั้นที่สุดอยู่ห่างออกไปเพียงสองหรือสามก้าว ฉะนั้นกระหม่อมไม่มีทางมองผิดไปพ่ะย่ะค่ะ!”

หมี่เซวียนมองไปที่สวนเฉินอวี้แล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะคิดถูกหรือไม่ก็เพียงแค่เข้าไปค้นหาเลย บัดนี้น้องชายข้า อ๋องเจ็ดก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าเชื่อว่าน้องชายข้า อ๋องเจ็ดจะไม่รังเกียจที่จะให้แม่ทัพเหมียวเข้าไปค้นด้านใน”

“องค์รัชทายาทเพคะ ท่านอ๋องเพคะ สวนเฉินอวี้เป็นที่ที่หม่อมฉันอาศัยอยู่ทุกวันและมีผู้ติดตามที่เป็นสตรีอยู่ในนั้นหลายคนเพคะ” เสียงของฉินปู้เข่อกังวลเล็กน้อยและนางก็มองหมี่โม่หรู่ด้วยความคาดหวัง

หมี่โม่หรู่ชำเลืองมองนาง และสายตาที่อ่อนโยนของเขาก็มองไปยังพี่น้องสกุลจานอีกครั้งแล้วพูดว่า

“ท่านองค์รัชทายาท น้องยังคงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่มันดึกแล้ว และฮูหยินโซวและแม่นางจานก็เป็นแขกในตำหนักด้วย หากท่านสงสัยคนที่ฮูหยินโซวและแม่นางจานพามาด้วยก็รอจนถึงรุ่งสางของวันพรุ่งนี้จะดีกว่า จากนั้นท่านก็เรียกแม่ทัพเหมียวมาที่นี่อีกครั้ง หากท่านวิตกกังวลก็สามารถล้อมตำหนักและสวนเฉินอวี้ได้ตลอดทั้งคืนนี้”

“พรุ่งนี้หรือ?” หมี่เซวียนหรี่ตาแล้วหันไปมองหมี่โม่หรู่และฉินปู้เข่อสลับกันสองสามครั้ง “มีโจรอยู่ในตำหนักจึงเชื่อว่าพระชายาคงจะนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นหากค้นหาในคืนนี้ไปเลยก็จะช่วยให้เจ้าไม่ต้องร้อนใจข้ามคืน”

………………………………………………………………..