บทที่ 74 ตรวจสอบบาดแผล

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 74 ตรวจสอบบาดแผล

เมื่อโจรทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ล้อมจับในตำหนักบูรพา พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและจะต้องได้รับการรักษาพยาบาล

ยิ่งทั้งคู่ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาเข้าไป พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น อาจมีหมอหลวงทำแผลให้กับโจรทั้งสองอยู่ที่ไหนสักแห่งในสวนเฉินอวี้ก็เป็นได้

“แต่คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนล้วนเป็นสตรี ฉะนั้นจึงไม่มีโจรจริง ๆ” ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วเล็กน้อยและยังคงยืนยันว่าไม่มีโจร

เหมียวไคเดินไปหาหมี่เซวียนแล้วกระซิบว่า “กระหม่อมแน่ใจว่าโจรทั้งสองเป็นสตรีพ่ะย่ะค่ะ!”

จานหานจือมองหมี่เซวียนแล้วกล่าวว่า “ความคิดขององค์รัชทายาทก็สมเหตุสมผลเช่นกัน พระชายา ท่านคิดอย่างไร หากหานชิวกับหม่อมฉันจะเรียกสาวใช้ที่เราพามาด้วยมาที่นี่ แล้วให้แม่ทัพเหมียวพาผู้คนเข้าไปค้นหา หากไม่มีคนต้องสงสัยก็เป็นการดีที่สุด แต่หากมีคนต้องสงสัย พวกเขาจะได้จับกุมและส่งมอบให้แม่ทัพเหมียวจัดการได้อย่างทันท่วงที”

“อืม…” ฉินปู้เข่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เป็นอะไร ในเมื่อฮูหยินโซวไม่เกรงกลัวความผิด ข้าจึงย่อมไม่เกรงกลัวปัญหา”

“แค่ก แค่ก แค่ก…” หมี่โม่หรู่ไอสองสามครั้งเมื่อลมเย็นพัดผ่านมา

ฉินปู้เข่อรีบลูบหลังเขาแล้วรัดเสื้อคลุมให้แน่น

“หากท่านอ๋องไม่สบาย ท่านก็ควรกลับไปพักผ่อนที่ห้องของท่านก่อนนะเพคะ” ฉินปู้เข่อพูดด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไร ข้าจะยังคงอยู่ที่นี่ ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องกลับไปพักผ่อน” ดวงตาของหมี่โม่หรู่หรี่ลงเล็กน้อย และเหลือบมองฉินปู้เข่ออย่างครุ่นคิด

หมี่เซวียนที่กำลังจ้องมองทั้งสองอยู่นั้นย่อมไม่ยอมปล่อยให้ภาพนี้เล็ดลอดสายตาไปได้ เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วก็ดูเหมือนว่าฉินปู้เข่อก็แค่ชวนสหายมาพูดคุยเท่านั้นจริง ๆ โดยนางไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นและนางหยุดเขาไว้เพราะเกรงว่าจะรบกวนแขกของนาง

แต่หมี่โม่หรู่ดูกังวลนัก

หมี่เซวียนหัวเราะเบา ๆ ผู้คนจากตำหนักบูรพาและกองกำลังปกป้องเมืองปิดล้อมตำหนักอ๋องหลี่ชินและสวนเฉินอวี้ เกือบจะในทันที เขาคาดว่าทั้งสองคงจะยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือไม่ก็น้องชายของเขาจะยังไม่ยอมรับฉินปู้เข่อเป็นชายาของเขา

ไม่ว่าโจรผู้นี้จะเกี่ยวข้องกับตำหนักอ๋องหลี่ชินหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่พบโจรอยู่ในสวนเฉินอวี้เขาก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานตัดสินให้หมี่โม่หรู่เป็นผู้ก่ออาชญากรรมได้!

การกลับมาของอ๋องจั่วเสียนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาปวดหัว อ๋องเจ็ด น้องชายที่ถูกเขาทอดทิ้งมานานก็ดูเหมือนจะมีสัญญาณว่าเสด็จพ่อของเขาจะใช้ประโยชน์อยู่ จึงเป็นการดีกว่าที่จะวางแผนบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า

ไม่นานนักสาวใช้สี่คนและนางกำนัลอีกสองคนที่พี่น้องสกุลจานพามาด้วยก็ถูกพามายืนอยู่อย่างพร้อมหน้า

จานหานจือนับจำนวนคนแล้วกล่าวว่า “ท่านองค์รัชทายาท ท่านอ๋อง ทุกคนที่เราพามาที่นี่ล้วนเป็นคนที่อยู่ในบ้านสกุลจาน มาหนึ่งหรือสองทศวรรษแล้ว และบัดนี้พวกนางก็มาอยู่เคียงข้างเราแล้ว”

“ดี ให้แม่ทัพเหมียวพาคนเข้าไป” หมี่เซวียนเหลือบมองหมี่โม่หรู่ที่อยู่บนรถเข็นพร้อมก้มศีรษะลงและสั่งเสียงดัง

เมื่อเหมียวไคได้รับคำสั่ง เขาก็รีบเข้าไปพร้อมกับคนและม้าของเขา หลังจากนั้นไม่นานทหารก็พาสตรีสองคนออกมา

“พระชายา พวกเราพบสตรีสองคนนี้ในโรงเก็บฟืนของสวนเฉินอวี้ ท่านจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?!”

“เอ๊ะ…” ฉินปู้เข่อพูดด้วยความประหลาดใจ “แม่ทัพเหมียวพาตัวพวกนางทั้งสองออกมาได้อย่างไร?! นางกำนัลสองคนนี้ถูกลงโทษในโรงเก็บฟืน”

เมื่อเห็นทุกคนสงสัย ฉินปู้เข่อจึงหันไปมองจานหานจือและพูดกับฝูงชนว่า “ฮูหยินโซว คนในชุดสีเขียวอ่อนเป็นนางกำนัลที่ดื้อรั้นที่ข้าเล่าให้ท่านฟังในวันนี้ และคนในชุดสีชมพูเป็นคนที่ทะเลาะวิวาทกับนาง”

เมื่ออู๋เยว่ได้ยินดังนั้นก็หันไปจ้องฉินปู้เข่อ เมื่อจานหานจือเห็นดวงตาที่โกรธแค้นของนางก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เป็นดังที่พระชายากล่าวไว้ว่านางกำนัลผู้นี้กระด้างกระเดื่องต่อนายหญิง

เหมียวไคมองทั้งสองคนที่ถูกพาออกตัวออกมาสลับกันไปมาแล้วสูดอากาศ “เหตุใดกระหม่อมจึงไม่ได้ยินพระชายาบอกว่ามีนางกำนัลถูกลงโทษ?!”

“เมื่อสักครู่นี้พวกท่านหลายคนมารวมตัวกันอย่างกะทันหัน ข้าจึงลืมบอกไปเพราะความประหม่า” ฉินปู้เข่อบ่นพึมพำเล็กน้อย

“รายงาน!” ทหารหนุ่มอีกคนหนึ่งก้าวออกมาเพื่อรายงาน “แม่ทัพเหมียว พบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดอยู่ในห้องนั้นขอรับ”

เหมียวไคเหลือบมองหมี่เซวียนอย่างภาคภูมิใจแล้วตะโกนว่า “บัดนี้พระชายามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?!”

“แม่ทัพเหมียว อู๋เยว่และอู๋อวิ๋นเป็นเพียงนางกำนัลในตำหนักของข้าจริง ๆ” ฉินปู้เข่อกัดริมฝีปากของตนและดูกังวล

“แม่ทัพเหมียว เนื่องจากพระชายายืนยันว่านางกำนัลสองคนนี้ไม่ใช่โจร เราจึงไม่อาจกล่าวหาคนอื่นในคดีนี้ได้” หมี่เซวียนเลิกคิ้วขึ้นมองเหมียวไค

เหมียวไคเข้าใจทันที “ฝ่าบาท โจรสองคนนั้นได้รับบาดเจ็บ และบัดนี้ก็มีเสื้อผ้าเปื้อนเลือดเป็นหลักฐานด้วย หากพระชายายังคงยืนกรานเช่นนั้นก็จะต้องพาคนเหล่านี้ไปตรวจสอบหาบาดแผล”

“ไม่มีทาง!” ฉินปู้เข่อพุ่งตรงเข้าไปขวางหน้าอู๋เยว่และอู๋อวิ๋นทันที “ทั้งสองคนยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ พวกท่านล้วนเป็นบุรุษ แล้วพวกนางจะยังสามารถแต่งงานในอนาคตได้อีกหรือ!”

“พระชายาไม่ต้องเป็นกังวล” เหมียวไคกวักมือเรียกหญิงคนหนึ่งออกมาจากสนามทันที “นี่คือแม่ครัวที่ดูแลด้านอาหารการกินในกองทัพ นางบังเอิญอยู่ที่นี่พอดี ฉะนั้นบัดนี้พระชายาก็ควรสบายใจได้”

ฉินปู้เข่อเหลือบมองเหมียวไคด้วยสายตาแปลก ๆ จากนั้นเหลือบมองหมี่โม่หรู่อีกครั้งและพูดว่า “แม่ทัพเหมียวคิดอย่างไรถึงได้พาแม่ครัวออกมาด้วยยามวิกาล”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหมี่เซวียนก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ เขาจึงโบกมือให้เหมียวไค “แม่ทัพเหมียว รีบตรวจสอบบาดแผลของพวกนางเลย!”

“เดี๋ยวก่อน!” ฉินปู้เข่อยังคงขวางหน้าพวกเขาและปฏิเสธที่จะถอยออกไป

หมี่เซวียนเหลือบมองฉินปู้เข่ออย่างไม่อดทนและพูดอย่างไม่พอใจ “พระชายามีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาขวางอีก?”

“ท่านองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาขวางไว้ หม่อมฉันเพียงแค่คิดว่าสตรีผู้นี้อยู่ฝ่ายของท่าน จะเกิดอะไรขึ้นหากนางโกหก” นางเบิกตามองหมี่เซวียน น้ำเสียงของนางไม่พอใจ “องค์รัชทายาทต้องการจับโจร แต่หม่อมฉันไม่ต้องการให้คนในบ้านถูกทำร้ายและถูกใส่ร้ายป้ายสี เหตุใดจึงไม่ให้นางกำนัล…”

“ไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็ยืมตัวนางกำนัลของฮูหยินโซวมา” หมี่เซวียนชี้ไปทางด้านหลังจานหานจือแล้วมองฉินปู้เข่อ “บัดนี้พระชายาสบายใจได้แล้ว”

ความพยายามอย่างต่อเนื่องของฉินปู้เข่อทำให้หมี่เซวียนรู้สึกว่าการคาดการณ์ของเขาถูกต้องแล้ว

ในตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่มีช่องว่างสำหรับการประนีประนอมอีกแล้ว

เมื่อเห็นว่าอู๋เยว่และอู๋อวิ๋นกำลังจะถูกพาตัวออกไป ฉินปู้เข่อก็ตะโกนอีกครั้ง “หากสองคนนี้ไม่ใช่โจร จะเกิดอะไรขึ้นหากองค์รัชทายาทบุกเข้าไปในสวนเฉินอวี้ในยามวิกาลแล้วทำลายชื่อเสียงของหม่อมฉัน?!”

หมี่เซวียนมองนางอย่างดูถูกและยิ่งเชื่อว่าการตรวจสอบบาดแผลจะต้องสำเร็จ “ข้าไม่เชื่อว่าสวนเฉินอวี้จะไม่มีอะไรผิดปกติ!”

เหมียวไครีบวิ่งไปกระซิบที่หูของหมี่เซวียน

“อะไรนะ?!” ใบหน้าของหมี่เซวียนซึ่งเดิมสงบนิ่งกลายเป็นตื่นตระหนกทันที

“แล้วบาดแผลเล่า บาดแผลตามร่างกายของพวกนั้นเล่า!” หมี่เซวียนรีบวิ่งไปด้านหน้าหมี่โม่หรู่แล้วโอบไหล่ของเขาไว้แน่น “พวกนางไม่มีบาดแผลได้อย่างไร!”

“ท่านองค์รัชทายาท! หม่อมฉันบอกท่านนานแล้วว่าพวกนางทั้งสองถูกขังอยู่ในโรงเก็บฟืนเพราะถูกลงโทษ ไม่ใช่โจร! ท่านไม่เชื่อเองจึงต้องไปหาคนมาตรวจสอบบาดแผล!”

บัดนี้น้ำเสียงของฉินปู้เข่อเต็มไปด้วยความระวนกระวาย

หมี่เซวียนยืดตัวขึ้นและมองฉินปู้เข่ออย่างเย็นชา จากนั้นมองไปที่เหมียวไคและคำราม “แล้วเสื้อผ้าเปื้อนเลือดเล่า ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกหรือว่ามีเสื้อผ้าเปื้อนเลือด รีบไปเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดออกมา!”

“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่พบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในห้อง เพื่อเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดใต้เตียงออกมาทันที

…………………………………………………………………………..