ขณะที่ขุนนางอำเภอเพิ่งจะเดินออกไป หวงจงก็มาถึงพอดี
“ท่านโหว! โหวเย่ขอรับ!”
“ไฉนมีแค่เจ้าคนเดียว แล้วเด็กล่ะ”
“ข้าน้อยเกือบโดนหลอกแล้วขอรับ! ไม่ใช่พวกเขาขอรับ!” หวงจงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านโหวฟัง “โชคดีที่ข้าเจอพ่อหนุ่มกู้เสี่ยวซุ่นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นได้พาคนมาผิดอีกแน่ๆ !”
ท่านโหวกู้โมโหสุดขีด พลางคิดในใจ ก็ดี สงสัยพวกมันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่กันแล้วสินะ! เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมัน!
“หูหนวกรึไง ข้าถามเจ้าอยู่นะ” ท่านโหวกู้ถลึงตาใส่หวงจง
หวงจงเบ้ปาก พลางคิดในใจ ตอนแรกยังลังเลอยู่เลยนี่นาว่าจะพาเด็กกลับไปดีไหม ไหงตอนนี้มาเร่งเขาเสียอย่างนั้น
หวงจงคว้ารูปปั้นไม้แกะสลักออกมา พลางเอ่ย “พ่อหนุ่มเสี่ยวซุ่นให้ข้ามา บอกว่านี่คือคุณหนูที่พวกเราตามหาขอรับ!”
เสี่ยวซุ่นเคยมอบรูปปั้นไม้แกะสลักให้กับมารดาของเจ้าสำนักไปแล้ว จากนั้นเขาก็แกะสลักอันใหม่เพิ่ม แต่ก็ไม่ทันได้มอบให้กู้เจียวสักที
ครั้งนี้หวงจงไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กู้เสี่ยวซุ่นฟัง บอกแค่ว่าเจ้านายของเขาต้องการขอบคุณกู้เจียวเลยจะพานางเข้าไปในเมืองเพื่อพบกับเจ้านายของเขา กู้เสี่ยวซุ่นกลัวว่าจะเหมือนครั้งก่อนที่มีคนมาขอบคุณเขาผิดคน เลยมอบไม้แกะสลักให้หวงจงไปแทน
ท่านโหวกู้ได้แต่คิดสงสัยว่าไม้แกะสลักนี้รูปร่างคุ้นตายิ่งนัก
“ยังขาดบางอย่างไปนะขอรับ” หวงจงคว้าอะไรบางอย่างออกมา มันคือแผ่นแป้งสีแดง จากนั้นก็ติดลงไปบนใบหน้าของรูปปั้นไม้แกะสลัก “เสี่ยวซุ่นบอกว่า คุณหนูมีรอยปานแดงบนใบหน้าขอรับ”
รอยปานแดงบนใบหน้างั้นรึ…
และแล้วท่านโหวกู้ก็นึกออกจนได้ว่าเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกคุ้นตานัก นี่มันยัยเด็กนั่นที่เขาเพิ่งสั่งให้ไปตามจับมามิใช่รึ
“นี่เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า” ท่านโหวกู้ขมวดคิ้วถาม
“ครั้งนี้ ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนขอรับ!” เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดอีก เขาจึงไล่ถามคนในหมู่บ้าน นางเป็นบุตรสาวของกู้ซานหลังจริงๆ !
ท่านโหวกู้รู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางศีรษะ จนเกือบจะล้มทั้งยืน
หวงจงสังเกตเห็นว่าท่านโหวมีท่าทีแปลกไป จึงเอ่ยถามอย่างกังวล “ท่านโหวเป็นอะไรไปขอรับ ท่านคงไม่รังเกียจหน้าตาของนางหรอกใช่ไหมขอรับ พ่อหนุ่มเสี่ยวซุ่นบอกว่าถึงแม้นางจะมีรอยปานแดงบนหน้า แต่ไม่ได้ดูน่าเกลียดเลยสักนิดนะขอรับ!”
ในสายตาคนรักเห็นเป็นไซซี ส่วนในสายตาน้องพี่เห็นเป็นนางฟ้า กู้เสี่ยวซุ่นไม่เคยมองพี่สาวตัวเองว่าเป็นคนอัปลักษณ์เลยสักครั้ง
ขณะที่หวงจงกำลังรอคำตอบจากท่านโหวกู้ แต่ในชั่วพริบตาเดียว เขาก็พบว่า ท่านโหวกู้ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว!
แน่นอนว่าท่านโหวกู้รีบไปตามตัวกู้เจียว ใครจะไปนึกไปฝันเล่าว่านางเด็กบ้านั่นจะเป็นคนที่เขาตามหามาตลอด!
นี่เขามัวแต่ทำอะไรอยู่นะ
เขาจะส่งลูกตัวเองไปนอนในคุกอย่างนั้นรึ!
นางจะยอมรับหรือไม่ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ ต้องตามตัวมาให้ได้ก่อน!
พอท่านโหวกู้มาถึงศาลาว่าการอำเภอ ขุนนางอำเภอและคนอื่นๆ ก็เพิ่งจะมาถึงเช่นกัน
ท่านโหวกู้พอมาถึงก็รีบแสดงตัวตน ขุนนางอำเภอเมื่อได้เห็นดังนั้นจึงรีบทำความเคารพเขา แต่ท่านโหวกู้ไม่ได้สนใจขุนนางอำเภอเลยสักนิด กลับพุ่งตรงไปที่รถม้าที่คาดว่าเป็นคนที่ใช้จับกู้เจียว
และสิ่งที่คาดฝันก็เกิดขึ้น รถม้าคนนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาปรากฏ!
ท่านโหวกู้หันไปค้อนแล้วเอ่ยถาม “ไหนล่ะ”
ขุนนางอำเภอพอได้เห็นดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก นั่นสิน่ะ ไปไหนแล้วล่ะ เมื่อครู่ยังเห็นพวกเขาอยู่ในรถม้าดีๆ ระหว่างทางที่มาก็แทบไม่ได้หยุดพักที่ไหนเลย แล้วพวกเขาออกไปยังไงล่ะ
หรือว่า เด็กสาวคนนั้นจะเป็นนักหลบหลีก
ขุนนางอำเภอทำท่าปาดเหงื่อ พลางเอ่ย “เป็น เป็นความบกพร่องของข้าน้อยเองขอรับ ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปจับมาเดี๋ยวนี้!เอาโทษให้หนักเลย! ดูซิว่าจะยังกล้าหนีอีกไหม!”
เป็นแค่ขุนนางก๊อกแก๊ก บังอาจลงโทษหนักกับคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนงั้นรึ ท่านโหวกู้หมดความอดทน “บ้าไปแล้วรึ! พวกเขาเป็นแค่เด็กสองคน พวกเจ้ายังมีหน้าไปจับเขาอีก แถมยังจะลงโทษสถานหนักให้อีก!คิดว่าตัวเองประเสริฐนักแล้วทำไมไม่ขึ้นสวรรค์ไปล่ะ!”
ขุนนางอำเภอทำหน้างง “มิใช่ท่านหรอกหรือที่ให้นายตรวจไปตามจับนาง”
ท่านโหวกู้ย่ำเท้าเข้าไปข้างหน้า พลางเอ่ย “ข้าให้เจ้าไปจับแล้วเจ้าจะทำตามหมดทุกอย่างเลยไง ใครกันที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่คอยปกป้อง คอยเป็นด่านหน้าให้ผู้คน ถ้าเอาแต่ประจบสอพลอแบบนี้ แล้วจะมีพวกเจ้าไว้เพื่ออะไร”
ขุนนางอำเภอ “…”
แสงพลบค่ำมาบรรจบกัน และดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าดวงสุดท้ายก็หายไป ท้องฟ้าเป็นสีเทาและมืดครึ้ม
กู้เจียวจูงมือเณรน้อยเดินไปตามถนนที่ไร้ซึ่งผู้คน
แม้จะอดกินขนมกุ้ยฮวา แต่ก็ยังมีถังหูลู่อยู่
เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้สร้างความตกอกตกใจให้เลยแม้แต่นิด เณรน้อยคว้าแท่งถังหูลู่มาจากนั้นก็เอาเข้าปากอย่างตั้งอกตั้งใจ
กู้เจียวเอ่ยถามเขาอย่างอดไม่ได้ “กลัวไหม”
“หืม” เณรน้อยจิ้งคงที่กำลังเพลิดเพลินกับการเลียถังหูลู่อยู่ จากนั้นก็หันมาทำตาปริบๆ ใส่กู้เจียว พอรู้ว่ากู้เจียวถามอะไร ก็รีบแย้งขึ้น. “ไม่กลัว!”
เขาพูดตามนั้น
กู้เจียวรับทราบคำตอบ
ไม่กลัวก็ดีไป
ทักษะการเอาตัวรอดคือสิ่งที่กู้เจียวเรียนรู้เป็นอย่างแรก ใครจะมาดีมาร้ายยังไงนางไม่สน แต่พออยู่กับเณรน้อยจิ้งคงแล้ว ดูเหมือนนางจะเริ่มตระหนักได้มากขึ้น
จะปล่อยให้เด็กอายุแค่นี้เข้าไปในคุกได้อย่างไรกัน
ขณะที่กู้เจียวกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะสอนบทเรียนให้กับจิ้งคงน้อยยังไงดี จิ้งคงก็เข้ามาคว้ามือเธอแล้วแกว่งไปมา พลางเอ่ย “เจียวเจียว เจ้าเก่งมากเลย!”
“อือ” กู้เจียวรับคำชมของเด็กน้อย
จิ้งคงเอ่ยต่อ “ข้าอยากเป็นคนเก่งบ้าง! เอาให้เก่งกว่าเจียวเจียวเลย! เจียวเจียวจะได้ไม่ต้องเก่งไปมากกว่านี้!”
“หือ” กู้เจียวชะงักฝีเท้า หันมามองจิ้งคงด้วยสีหน้างุนงง
เณรน้อยเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปที่นัยน์ตาของกู้เจียวด้วยดวงตากลมโตแฝงไปด้วยความไร้เดียงสาของเขา “เจียวเจียวลำบากมามากแล้วสินะ ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า คนที่เก่งๆ มักจะผ่านความยากลำบากมาหลายอย่าง เส้นทางข้างหน้าก็ยังต้องผ่านความลำบากต่อไปด้วยเช่นกัน”
ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเก่งๆ ถึงต้องลำบาก แต่พระอาจารย์บอกเพราะว่าคนส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายว่าจะขึ้นเขา คนที่ขึ้นเขาล้วนต้องผ่านความลำบาก ลงเขาต่างหากที่สบาย
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่มีคนถามว่าลำบากหรือไม่
กู้เจียวเริ่มเข้าทำงานในองค์กรตั้งแต่แปดขวบ แส้เอย ช็อตไฟฟ้าเอย การทรมานร่างกายรูปต่างๆ …ต้องฝึกแบบนี้ทุกๆ วันจนหมดแรง พวกเขาเอาแต่กังวลว่านางจะทำภารกิจต่อไปได้ไหม ไม่ได้สนใจสักนิดว่านางลำบากแค่ไหน
กู้เจียวจึงไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไนดี
จิ้งคงนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก็ทำหน้าละเหี่ยใจแล้วกุมขมับ “ข้า…ทำให้เจ้าลำบากหรือเปล่า”
กู้เจียวคิดไม่ถึงว่าจิ้งคงน้อยจะเอ่ยคำถามนี้ออกมา ยื่นมือไปลูบศีรษะอันเงาลื่นของเขา “ไม่หรอก ไม่เห็นจะลำบากตรงไหนเลย”
“จริงรึ” จิ้งคงทำหน้าตะลึง
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงสีหน้าแววแสนตากังวลของจิ้งคงน้อย เด็กคนนี้ภายนอกเผินๆ ก็คือเจ้าตัวแสบจอมซนคนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วข้างในเขาอ่อนไหวง่ายกว่าใครเพื่อนเลย
กู้เจียวพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อือ จริงสิ”
จิ้งคงน้อยเริ่มเผยรอยยิ้มให้เห็นอีกครั้ง เขาเอามือตบเข้าไปที่หน้าอก จากนั้นเอ่ยคำมั่นสัญญาขึ้น “ เจียวเจียว รอข้าโตกว่านี้ก่อนนะ แล้วข้าจะแบกเจ้าขึ้นเขาเอง!”
ในเมื่อคนเก่งๆ มักจะขึ้นไปบนยอดเขา เขาก็จะแบกกู้เจียวขึ้นไปบนยอดเขาเช่นกัน!
เจียวเจียวจะได้ไม่ต้องลำบาก ให้เขาเป็นคนลำบากแทนไงล่ะ!
กู้เจียวไม่เข้าใจเรื่องที่เณรน้อยพูดขึ้นเขาลงเขาอะไรนั่น แต่นางรับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากเขา
กู้เจียวย่อตัวลง พลางเอานิ้วจิ้มเข้าไปที่ปลายจมูกของจิ้งคง
กู้เจียวในขณะนี้อาจจะยังไม่รู้ว่า คำมั่นสัญญาของเด็กสามขวบในวันนี้ จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต
ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าเณรน้อยตัวเล็กๆ คนนี้โตขึ้นจะได้กลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแห่งอาณาจักรทั้งหก และไม่มีใครกล้าแตะต้องนางได้
พอกลับถึงหมู่บ้าน จิ้งคงน้อยก็ผล็อยหลับน้ำลายยืดในอ้อมอกของกู้เจียวเสียแล้ว
หน้าหมู่บ้านมีรถม้าสองคันจอดอยู่ กู้เจียวไม่ได้สนใจ แต่พอนางเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างรถม้า
แล้วก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านโหวกู้ คนเดียวกับที่ออกคำสั่งให้จับพวกเขาเข้าคุก