หวงจงยืนอยู่ถัดจากท่านโหวกู้ พวกเขามากันแค่สองคน ไม่มีใครอื่นแล้ว
กู้เจียวสลัดความคิดที่ว่าเขาจะมาจับนางออกไป
แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น เหตุใดเขาถึงโผล่มาที่นี่ได้
กู้เจียวไม่ค่อยถูกชะตากับคนอย่างท่านโหวกู้ที่คอยเอาแต่อวดเบ่งและมองคนเป็นแค่แมลงสาบ นางกอดจิ้งคงน้อยเอาไว้แน่น พลางใช้สายตาหวาดระแวงมองไปที่เขา
ถ้าพวกเขาคิดจะทำมิดีมิร้ายอีก คราวนี้นางไม่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตรอดออกไปได้แน่นอน
ท่านโหวกู้สัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรของนาง จึงกระแอมเบาๆ หนึ่งทีแล้วเอ่ย “ข้ามาดี แล้วก็มิได้จะมาจับพวกเจ้าด้วย”
กู้เจียวไม่สนใจคำพูดของเขา ยังคงทำท่าระแวงเช่นเดิม
ท่านโหวกู้รู้สึกสับสนไปหมด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กสาวที่เอาแต่สร้างความลำบากให้เขาคนนี้จะเป็นลูกในไส้ของเขา แถมความประทับใจแรกของพวกเขาก็แทบจะไม่มี
แต่ไม่ว่าจะยังไง ในเมื่อมาถึงนี่แล้ว ก็ต้องพูดออกไปให้ชัดเจน
ท่านโหวกู้ส่งสายตาให้หวงจงเดินถอยออกไป
ท่านโหวกู้สะบัดแขนเสื้อออก พลางเอ่ย “ข้ามาจากตระกูลกู้ ติ้งอันโหวแห่งหมู่บ้านเวินเฉวียนซาน”
กู้เจียวเดาออกแต่ทีแรกแล้วว่าเขาเป็นคนใหญ่คนโต เพราะครั้งแรกที่นางเจอกับเขา ก็เห็นว่ากู้จิ่นอวี้นั่งอยู่ในรถม้า
นางจำเสียงของกู้จิ่นอวี้ได้
คนที่นั่งรถคันเดียวกันกับกู้จิ่นอวี้แถมยังเรียกแทนตัวเองว่าโหว ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้แล้วล่ะ
ครั้งที่นางได้เจอกับเขาที่ป่า ตอนนั้นเองที่กู้เจียวได้มีโอกาสเห็นหน้าท่านโหวกู้ในระยะใกล้ เหมือนกับว่าได้เห็นกู้เหยี่ยนในร่างที่แก่ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่เขาเองก็ไม่เคยบอกนางเรื่องนี้ และนางเองก็ไม่เคยเอ่ยถามก่อนเช่นกัน
ท่านโหวกู้เอ่ยต่อ “เรื่องวันนี้…”
กู้เจียวรีบแย้ง “หากท่านต้องการจะมาขอโทษ ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ติดใจอะไรแล้ว”
ท่านโหวกู้เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำตาแข็งใส่ “ไม่สิ เดี๋ยวก่อน…เหตุใดถึงได้พูดจาเช่นนี้ล่ะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย”
แม้ท่านโหวกู้จะรู้สึกผิดต่อนางก็จริง แต่เขาเป็นถึงท่านโหวเชียวนะ จะมาขอโทษขอโพยเด็กได้อย่างไรกัน!
พ่อแม่นางไม่สั่งสอนเลยหรือไงกัน
พ่อแม่นาง…
อ่อ ลืมไป ตัวเขาเองกับแม่นางเหยาไม่ได้เป็นคนเลี้ยงนางมาสักหน่อย
กู้ซานหลังกับแม่นางสวีก็ดันลาโลกไปก่อน
ได้ยินมาว่านางเคยเป็นคนสติไม่สมประกอบมาก่อน พอโตมาถึงได้อาการดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ
พอคิดได้เช่นนี้ ท่านโหวกู้จึงรู้สึกว่าเขาควรจะปราณีนางให้มากกว่านี้
เขาข่มความโกรธเอาไว้ แล้วเอ่ยกับนาง “ที่ข้ามาหาเจ้า เพราะข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า เจ้าอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูดก็ได้ แต่ข้า…กับเจ้า…พวกเรา…”
เฮ้อ เหตุใดเขาถึงพูดไม่ออกล่ะ
ท่านโหวกู้เริ่มหงุดหงิด
“ข้ากับท่านทำไมรึ” ลำพังแม้แต่กู้เจียวเองก็ขบคิดไม่ได้ว่านางกับเขาจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ด้วยความที่กู้เจียวใช้ชีวิตมานาน มีหรือเรื่องแปลกๆ ที่นางไม่เคยพบเคยเห็น “ท่านคงมิได้คิดพิเรนทร์มาสนใจในตัวข้าหรอกใช่ไหม”
แม้นางจะมีรอยบนหน้า แต่นางยังอยู่ในวัยเยาว์ พวกผู้ชายบางคนมักจะมีความชอบไปทางนั้น
ท่านโหวกู้เมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับเข่าทรุดจนเกือบจะตกลงไปในหลุมดินข้างหน้า!
นี่นางเห็นเขาเป็นคนแบบไหนกัน ลูกที่ไหนกันมองพ่อแท้ๆ ของตนเองแบบนี้
ท่านโหวกู้ทำใจดีสู้เสืออยู่สักพักด้วยความกระอักกระอ่วนก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียวต่อ “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้าน่ะเป็น…”
…
ช่วงเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ท่านโหวกู้ค่อยๆ แบกร่างทียืนทีล้มพร้อมกับใบหน้าฟกช้ำดำเขียวขึ้นบนรถม้า
หวงจงที่เดินเข้ามา พอเห็นสภาพท่านโหวก็ถึงขั้นร้องอุทาน “ท่านโหว ท่าน ท่านถูกนางต่อยรึ หรือว่า จะเป็นฝีมือของนายหญิงน้อย นี่ท่านคุมนางไม่อยู่รึ”
ท่านโหวกู้ตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นเพราะข้าไม่อยากมีเรื่องกับนางต่างหากล่ะ!”
ใครจะไปยอมรับล่ะว่าตนเองสู้นางไม่ได้!
สภาพของท่านโหวแย่เสียจนหวงจงไม่อาจทนดูได้ เขาเป็นผู้ติดตามท่านโหวมาสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นท่านโหวในสภาพนี้มาก่อน
หวงจงเอ่ยถาม “เหตุใดคุณหนูถึงได้ลงไม้ลงมือหนักขนาดนี้ ท่านไม่ได้บอกนางไปรึว่าท่านเป็นบิดาของนาง”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ท่านโหวกู้ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ทำไมจะไม่พูดล่ะ”
หวงจงถามต่อด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “แล้วท่าน…พูดกับนางว่าอย่างไรรึ”
ท่านโหวกู้กระแทกเสียงตอบ “ข้าบอกว่าข้าเป็นพ่อนาง! นางคิดว่าข้ากำลังด่านาง แล้วนางก็เข้ามาต่อยข้าเลย!”
แถมหมัดหนักเสียด้วย!
ท่านโหวกู้ไม่เคยต้องมาตกที่นั่งลำบากขนาดนี้มาก่อน!
หวงจงคิดในใจ ทำไมท่านไปบอกไปเลยล่ะว่าท่านเป็นนายใหญ่ของนาง แค่คำว่าบิดามันพูดยากมากเลยหรือไงกันนะ
…
กู้เจียวพอปล่อยหมัดเสร็จ ก็อุ้มจิ้งคงเข้าเรือน
เซียวลิ่วหลังไม่อยู่ที่เรือน เพราะเขาต้องออกไปสอบ เดือนหน้าถึงจะกลับมา
พอสมาชิกหายไปคน ดูเหมือนจะเงียบขึ้นถนัดตา
ที่จริงตอนที่เซียวลิ่วหลังอยู่ด้วยเขาก็อยู่เงียบๆ ของเขาอยู่แล้ว เขามักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องของตนเอง พอกู้เจียวเปิดประตูเข้าไปแล้วไม่พบชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือตรงจุดเดิม ก็เกิดรู้สึกไม่คุ้นชินขึ้นมา
กู้เจียววางจิ้งคงน้อยลงบนเตียง แล้วเอาผ้าห่มห่มให้เขา
จากนั้นกู้เจียวเข้าครัวไปทำกับข้าว
จิ้งคงน้อยกินจากในเมืองมาจนอิ่มแล้ว กู้เจียวจึงไม่ปลุกเขา เลยนั่งกินข้าวกับหญิงชรา
กู้เจียวเอ่ยถาม “เอ๋ กู้เสี่ยวซุ่นไม่มาด้วยรึ”
กู้เสี่ยวซุ่นจะมากินข้าวที่นี่ทุกคืนก่อนจะกลับบ้านตัวเอง
“เขาบอกว่าจะไปอยู่ที่สำนักบัณฑิตพักใหญ่” หญิงชราเอ่ยพลางใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อพะโล้
ลิ่วหลังกับเจ้าตัวแสบไม่อยู่ที เนื้อพะโล้เลยจืดสนิทไปเลย!
กู้เจียวถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเขาถึงระเห็ดไปอยู่ที่สำนักบัณฑิตเฉยเลยล่ะ”
หญิงชราเอ่ยตอบ ”ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาดูรีบๆ นะ”
กู้เสี่ยวซุ่นดันไปป่วนพวกตระกูลกู้จนได้ แน่นอนว่าทั้งกู้ฉังไห่ แม่นางโจว แม่นางหลิวแทบอยากจะเฆี่ยนเขาให้ตาย กู้เสี่ยวซุ่นจึงต้องลี้ภัยในตระกูลไปหลบอยู่ที่สำนักบัณฑิตก่อน
สำนักบัณฑิตไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาอยู่แล้ว จะมีก็แต่กู้ต้าซุ่นที่เข้าไปได้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องฝากฝังให้กู้ต้าซุ่นไปลงโทษเสี่ยวซุ่นให้ได้ แต่คิดหรือว่าคนอย่างกู้ต้าซุ่นจะทำอะไรเขาได้น่ะ ไม่มีทางหรอก!
“พรุ่งนี้ข้าจะเอาเงินไปให้เขาดีกว่า” กู้เจียวเป็นห่วงว่าเสี่ยวซุ่นจะไม่มีตังซื้อข้าว
“ข้าให้ไปแล้วล่ะ” หญิงชราตอบ
“แล้วท่านไปได้เงินมาจากไหนล่ะ” กู้เจียวเอ่ยถาม
หญิงชรามาที่นี่ด้วยสภาพแร้นแค้นสุดๆ อย่าว่าแต่เงินเลย แม้แต่เศษสตางค์เล็กน้อยก็แทบจะไม่มีติดตัว
ตอนช่วงปีใหม่ กู้เจียวก็มอบอั่งเปาให้นาง แต่นั่นเป็นแค่ตั๋วเงินเท่านั้น
หญิงชราถอนหายใจพลางเอ่ย “เห็นข้าร้องละครให้พวกเขาเปล่าๆ หรือยังไงกัน”
กู้เจียวทำหน้าตะลึง ดูเหมือนหญิงชราจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วสิ
หญิงชราเอ่ยต่อ “แล้วยังมียาของเจ้าอีก ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ได้ใช้แล้ว ก็เลยเอาไปขายน่ะ”
กู้เจียวทำท่าสงสัยใคร่รู้ “ยาอะไรรึ”
“ก็ยาห้ามเลือดยังไงล่ะ! ข้าเห็นเจ้าบดยานั่นมาสักพักแล้ว คิดหรือว่าข้าไม่รู้น่ะ!”
“อ่อ ท่านมาเห็นนี่เอง”
ช่วงที่เซียวลิ่วหลังออกไปเรียนหนังสือ กู้เจียวก็นั่งตำยาที่เรือน แม้หญิงชราจะอยู่ด้วย แต่นางก็คิดไม่ถึงว่าหญิงชราจะรู้จักยานี้ด้วยเหมือนกัน
กู้เจียวเข้มงวดกับตัวยามาก นางตำยาออกมาสิบขวด ที่ผ่านเกณฑ์ของนางจริงๆ มีเพียงแค่สามขวดเท่านั้น
ส่วนขวดที่เหลือหายไปไหนนั้น นางเองก็ไม่ได้สนใจอะไร นึกว่าหญิงชราจะเอาไปทิ้งแล้วซะอีก ที่ไหนได้ นางดันเอาไปขายต่อซะงั้น
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงความช่ำชองด้านนี้ของหญิงชรา “ท่านเคยทำเรื่องแบบนี้ด้วยรึ”
“เจ้าหมายถึงขายยาน่ะหรือ อืม คงงั้นกระมัง! แต่ยาที่ข้าเคยขายน่าจะไม่ใช่ยาห้ามเลือดหรอก” หญิงชราครุ่นคิดพยายามนึกย้อนอดีตของตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเอ่ยออกมา “เหมือนจะเป็นยาเสียสาวนะ”
“…”
ภายหลังมีพงศาวดารออกมาว่ามีเสียนเต๋อฮองเฮาขายยาเสียสาวให้กับพวกนางสนม จากนั้นรับสินบนเพื่อที่จะคุมป้ายหยกที่ไว้ใช้สำหรับเข้าพบฮ่องเต้
เสียนเต๋อฮองเฮาเคยกล่าวไว้ประโยคหนึ่ง “ลืมเรื่องความรู้สึกชอบพอไปเถิด คนจ่ายเยอะสุดต่างหากที่จะได้นอนกับฮ่องเต้!”