พอกินข้าวเสร็จ กู้เจียวก็เก็บกวาดเรือน จากนั้นก็ไปห่มผ้าให้จิ้งคง ก่อนจะกลับไปยังห้องของตัวเองแล้วล้มตัวลงนอน

ครั้งล่าสุดที่นางฝันก็เมื่อสองเดือนที่แล้ว แล้วก็ไม่ได้ฝันต่ออีกเลย

และในคืนนี้เอง นางก็ฝันอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้คนในฝันกลับไม่ใช่เซียวลิ่วหลัง แต่เป็นตัวนางเอง

นางฝันว่าตัวเองได้เป็นบุตรสาวตระกูลกู้ผู้สูงส่ง ได้เจอกับกู้จิ่นอวี้ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน แล้วเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับนาง

กู้เจียวได้พักอยู่ในเรือนที่มีคานแกะสลักและตกแต่งด้วยสีสันสดใส ทุกวันจะมีบ่าวสิบกว่าคนคอยมาปรนนิบัตินาง และได้รับความรักจากคนในบ้าน

พวกบ่าวต่างเอ่ยเรียกนางว่าคุณหนูกู้ แต่ไม่วายก็ดันมีเรื่องจนได้

กู้จิ้นอวี้เป็นคนหน้าตาสะสวย กิริยามารยาทงาม เรียนหนังสือเก่ง พูดจาไพเราะเพราะพริ้ง

ตัดภาพมาที่กู้เจียว ใบหน้ามีรอยปานแดง ท่าทางเงอะงะ อ่านหนังสือไม่ออก พูดจาไม่รู้เรื่อง

เมื่อเทียบกันแล้ว ใครๆ ต่างก็มองกู้เจียวเป็นตัวตลก

ใครๆ ต่างก็โพนทะนากันว่าพวกเขาพาเด็กบ้านนอกมาอาศัยอยู่ในเรือน

พวกบ่าวเริ่มหัวเราะเยาะเย้ยนาง พวกบุตรสาวตระกูลอื่นๆ ก็เริ่มตีตัวออกห่าง แม้แต่คนในครอบครัวที่ตอนแรกดูเหมือนจะรักใครนางดีกลับทำตัวไม่ถูกเสียอย่างนั้น

เพื่อกอบกู้ทุกอย่างคืนมา นางจึงพลั้งมือทำเรื่องไม่ดี จนทุกคนมองนางด้วยสายตาผิดหวัง

ในตอนท้าย กู้เจียวถูกส่งไปอยู่ที่เรือนแห่งหนึ่งห่างไกลจากเมืองหลวง ทุกวันผ่านไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง สุดท้ายก็จบชีวิตลงอย่างเดียวดายในวันที่อากาศหนาวเหน็บ

กู้เจียวตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดที่ว่า เหตุใดถึงฝันอะไรเช่นนี้ได้

ตอนที่นางฝันถึงเซียวลิ่วหลัง นางรู้ว่าเหตุการณ์นั้นต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่พอครั้งนี้ที่นางฝันถึงตนเอง ก็เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว

คนในฝันคนนั้นไม่มีทางจะเป็นตัวนางไปได้หรอก

เพราะนางไม่ได้เป็นคนไร้ความสามารถ อีกทั้งนางก็ไม่ใช่คนพูดจาไม่รู้เรื่อง

และแน่นอนว่านางไม่มีวันสนใจหรอกว่าคนอื่นจะมองนางเช่นไร นางไม่คิดจะอิจฉากู้จิ่นอวี้ และไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมาดูถูกกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน และไม่มีวันออกอุบายทำร้ายใครด้วยเหตุผลงี่เง่าปัญญาอ่อนอย่างแน่นอน

ถ้านางคิดจะฆ่าใครสักคนล่ะก็ จะต้องแนบเนียนสะอาดกริบยิ่งกว่าพื้นที่เพิ่งถูใหม่ๆ อย่างแน่นอน

ไหนจะตอนที่ถูกคนในครอบครัวละเลยจนเศร้าโศกนั่นด้วย ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย

แล้วไฉนนางถึงได้ฝันประหลาดแบบนี้ล่ะ สมองนางเป็นอะไรไปรึ

อีกด้านหนึ่ง รถม้าของเซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินก็ได้เคลื่อนตัวมาถึงตัวเมืองมณฑลผิงเฉิงแล้ว

เนื่องจากพวกเขามาถึงค่อนข้างช้า ที่พักรอบๆ สนามสอบถูกจองเต็มหมดแล้ว จึงต้องยอมเลือกที่พักที่ห่างออกไปหนึ่งช่วงถนน

ห้องพักราคาสองตำลึงเงินต่อหนึ่งห้อง นับว่าขูดรีดใช่ย่อย

แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก เลยต้องยอมควักเงินออกมา

หวังว่าหลังช่วงสอบรอบแรกสิ้นสุดลง และผู้เข้าสอบชุดแรกที่ไม่ผ่านการคัดเลือกคงหายไปจำนวนหนึ่ง ราคาที่พักก็น่าจะลดลงครึ่งหนึ่งจากราคาตอนนี้ และถัดมาพอการสอบระดับสำนักสิ้นสุดลง ราคาที่พักก็จะยิ่งถูกลงไปอีก

ระหว่างทาง เฝิงหลินกับคนรถดันเผลอกินของแสลงเข้า เลยเกิดปวดท้องกันจนเดินทางต่อไม่ไหว โชคดีที่กู้เจียวเตรียมยาแก้ท้องร่วงไว้ให้ พวกเขาถึงได้รอดมาได้

เซียวลิ่วหลังยังคงสบายดีทุกอย่าง จะมีก็แต่ช่วงเข้านอนที่ยังรู้สึกไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมเท่าไหร่นัก

สองวันถัดมา การสอบระดับจังหวัดก็เริ่มขึ้น

สถานที่สอบระดับจังหวัดครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่สนามสอบผิงเฉิง เมื่อถึงยามเหม่า บัณฑิตทุกคนก็เข้าประจำ ณ สนามสอบ

การสอบครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่สอบระดับตำบลที่ว่า การสอบระดับจังหวัดนั้นจะใช้ป้ายสอบที่ทำจากก้างปลา โดยในนั้นจะระบุชื่อสกุลผู้สอบ ห้องสอบ และเลขที่นั่งสอบ

สนามสอบของผิงเฉิงประกอบไปด้วยห้องสอบใหญ่ทั้งหมดสี่ห้อง โดยห้องแรกจะเป็นห้องของผู้เข้าสอบที่ผ่านการสอบระดับตำบลอันดับต้นๆ ซึ่งเซียวลิ่วหลังก็มีรายชื่ออยู่ในนั้นด้วย

โดยในห้องสอบใหญ่ๆ ก็ถูกซอยออกเป็นห้องสอบเล็กๆ อีก หนึ่งคนต่อหนึ่งห้อง พื้นที่ไม่ใหญ่นัก มีโต๊ะให้หนึ่งตัว และที่นั่งพร้อมกับเบาะสำหรับหนึ่งคน

ผู้เข้าสอบไม่ได้รับอนุญาตให้นำข้าวของอื่นๆ เข้ามาในห้องสอบ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้เขียน ทางสนามสอบมีแจกให้ พร้อมทั้งอาหารสามมื้อ และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับตอนกลางคืน

หากผู้เข้าสอบมีอาการเหนื่อยล้าอยากนอนพัก ก็ทำได้สบายๆ ขอแค่ห้ามโกงข้อสอบ ห้ามทำผิดกฎสนามสอบ จะหลับจะนอนในนั้นสี่วันสี่คืนก็ย่อมได้

การสอบระดับจังหวัดผู้เข้าสอบจะต้องสอบให้ครบสามวิชาก่อนจึงจะออกจากห้องสอบได้ นอกเสียจากว่าอยากเข้าห้องน้ำจะต้องให้เจ้าหน้าที่พาเข้าห้องน้ำ

หากออกจากห้องสอบไปแล้ว ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม จะไม่สามารถกลับเข้ามาสอบได้อีก

ข้อสอบด่านแรกเป็นการสอบเทียจิง

เนื้อหาของการสอบเทียจิงจะวัดความรู้ของผู้สอบเกี่ยวกับคัมภีร์สามเล่ม โดย ‘เซี่ยวจิง’ และ ‘หลุนอวี่’ สองข้อนี้เป็นโจทย์บังคับ ส่วน ‘ซือจิง’ กับ ‘โจวหลี่’ ให้ผู้สอบเลือกมาหนึ่งเล่ม จากนั้นให้เขียนตามบรรทัดที่กำหนด

ดูเหมือนจะง่าย แต่ที่จริงแล้วจำนวนคำในคัมภีร์แต่ละเล่มล้วนเกินหมื่นคำขึ้นทั้งนั้น จะมีก็แค่ ‘เซี่ยวจิง’ ที่มีจำนวนคำเพียงแค่สองพันสามร้อยหกสิบเก้าคำ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับเล่มอื่นๆ ส่วนคัมภีร์ ‘โจวหลี่’ เล่มหนึ่งก็ปาเข้าไปห้าหมื่นกว่าคำแล้ว

ข้อสอบเทียจิงนับว่ากินแรงผู้สอบพอสมควร อย่างเร็วก็เขียนเสร็จได้ตอนบ่าย ตามปกติแล้วผู้สอบกว่าจะทยอยส่งกระดาษคำตอบ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว

เซียวลิ่วหลังลงมือเขียนไปได้ครึ่งชั่วยามก็วางพู่กันลงแล้วฟุบหลับไป

กระดาษข้อสอบของเขาวางอยู่ใต้กระดาษเปล่า และวางทับด้วยแท่นหินอีกที

ผู้คุมสอบพอมาเห็นก็ทำหน้าตะลึง

หรือว่า…เขียนเสร็จแล้วงั้นรึ

ไม่ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางจะเร็วขนาดนี้หรอก!

เว้นเสียแต่ว่าท่องจำได้ขึ้นใจโดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งนึก

แม้แต่คนเก่งๆ ก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ท่านโหวแห่งแคว้นเจางั้นรึ

ผู้คุมสอบคิดว่าเขาคงเขียนไม่ไหว เลยยอมแพ้สินะ

แต่นี่มันห้องของคนที่สอบได้คะแนนอันดับต้นๆ เลยนะ ให้ตายสิ ขายหน้าชะมัด!

พอหมดเวลาสอบ ผู้คุมสอบจะทำการเก็บกระดาษคำตอบ ปิดชื่อผู้สอบ แล้ววางลงในกล่องพิเศษ แม้แต่ผู้คุมสอบก็ไม่สามารถมองเห็นกระดาษคำตอบได้ และด้วยความที่ปิดชื่อผู้สอบไว้ พวกเขาจึงไม่อาจทราบได้ว่ากระดาษคำตอบแต่ละอันเป็นของผู้เข้าสอบคนใดบ้าง

อาจเป็นเพราะเซียวลิ่วหลังดันทำตัวให้น่าสงสัยตอนข้อสอบด่านแรก พอถึงคราวด่านที่สอง ผู้คุมสอบจึงเพ่งเล็งเขาเป็นพิเศษ

ด่านที่สองเป็นการสอบจ๋าเหวิน ซึ่งเป็นการสอบวัดคลังคำศัพท์ของผู้สอบ เป็นการสอบที่กินแรงน้อยที่สุดในบรรดาสามด่าน

เซียวลิ่วหลังยังคงทำตัวเหมือนเดิม คือทำข้อสอบไปได้ครึ่งชั่วยามก็ฟุบหลับ

นี่เจ้า… อย่าเพิ่งยอมแพ้ได้ไหม ข้อสอบด่านนี้ง่ายจะตาย! แค่นี้ยังตอบไม่ได้ แล้วที่ผ่านมาผ่านข้อสอบระดับตำบลมาได้ยังไง เด็กรุ่นนี้ไม่เอาอ่าวขนาดนี้เลยรึ

มาถึงข้อสอบด่านสุดท้าย เป็นการสอบปากู่เหวิน ใช้เวลาทำข้อสอบสองวัน ซึ่งก็พอจะเดาออกถึงระดับความยากของข้อสอบชุดนี้ได้

รอบนี้ท่านผู้ว่าจากเมืองหลวงเป็นผู้ออกข้อสอบเองกับมือ เขานำประโยคสองประโยคจากหลุนอวี่มาให้ผู้เข้าสอบขบคิดแก้โจทย์ ประโยคที่ว่านั้นก็คือ ‘จนใช่ว่าต้องทุกข์ สุขใช่ว่าต้องรวย ละเอียดอ่อนในทุกการกระทำ และย้ำคิดก่อนพูด’

การสอบวิชาสุดท้ายเพิ่งจะเริ่มไปได้ครู่เดียวเท่านั้น ปรากฏว่ามีผู้เข้าสอบสองรายเป็นลมล้มไปเสียก่อนเพราะเครียดเกินเหตุ

พวกเขาถูกหามตัวออกไป ความตั้งใจที่ผ่านมาเลยเป็นโมฆะไปอย่างน่าเสียดาย

ผู้คุมสอบเองก็รู้สึกว่าข้อสอบครั้งนี้ยากเกินไป พลางคิดในใจ ออกข้อสอบมายากขนาดนี้ ฆ่ากันเลยดีกว่าไหม!

ครั้งนี้ผู้คุมสอบนึกว่าเซียวลิ่วหลังจะฟุบหลับไปเหมือนข้อสอบด่านก่อนๆ ที่ไหนได้ เซียวลิ่วหลังนั่งตัวตรงไม่ขยับไปไหน

‘จนใช่ว่าต้องทุกข์ สุขใช่ว่าต้องรวย ละเอียดอ่อนในทุกการกระทำ และย้ำคิดก่อนพูด’ ไฉนท่านจวงถึงได้ให้การบ้านมาขนาดนี้ อาหัง เจ้าช่วยข้าที!

รอยยิ้มที่สดใสของหญิงสาวแวบเข้ามาในความคิดของเขา ภาพนั้นช่างแจ่มชัดในใจของเขา ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน