ณ ช่วงเวลาโพล้เพล้ของวันที่สี่ การสอบก็ถึงเวลาสิ้นสุดลง
เฝิงหลินมารอเซียวลิ่วหลังตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ทยอยออกกันมาตั้งนานแล้ว จะมีก็แต่เซียวลิ่วหลังที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา เขาจึงอดเป็นกังวลไม่ได้
ขณะที่เฝิงหลินกำลังลังเลอยู่ว่าจะเดินเข้าไปถามคนข้างในดีไหม ปรากฏว่าเซียวลิ่วหลังเดินหน้านิ่งออกมา
เฝิงหลินรีบวิ่งเข้าไปหาเขา แล้วเห็นว่าสีหน้าลิ่วหลังไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปรึ ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า หรือว่าทำข้อสอบไม่ได้”
“ไม่มีอะไรหรอก” เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
น้ำเสียงของเขาฟังดูปกติดี เดาว่าคงไม่ได้มีปัญหาทางร่างกาย จึงเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินคนที่ออกมาก่อนพูดกันว่าข้อสอบครั้งนี้โหดมาก เจ้าก็อย่าหมดกำลังใจไปก่อนล่ะ ไม่แน่พวกเขาอาจทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าเจ้าก็เป็นได้!”
“กลับที่พักกันเถอะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย จากนั้นก็เดินไปทางที่พัก
เฝิงหลินว่าจะถามต่อเสียหน่อย
เขาไม่เคยเห็นเซียวลิ่วหลังเป็นแบบนี้มาก่อน ต่อให้เขาเป็นคนเย็นชาแค่ไหน แต่ไม่ถึงขั้นที่ว่าเข้าไม่ถึง แต่ท่าทีของเขาเมื่อครู่นี้มันช่างคาดเดาได้ยากยิ่ง
“ลิ่ว ลิ่วหลัง รอข้าด้วย!”
ถึงเฝิงหลินจะกลัวเขาก็จริง แต่ก็ต้องตามเขาไปอยู่ดี
เฝิงหลินไม่ได้เรียกเขาว่าท่านพี่เซียวแล้ว เดิมทีเฝิงหลินเองก็อายุเยอะกว่าเขา ที่เรียกเขาว่าท่านพี่ก็เพราะว่าเขาเคยช่วยชีวิตเฝิงหลินไว้
แต่พอครั้งนั้นที่เฝิงหลินไปฉลองปีใหม่ด้วยกัน พวกเขาก็เริ่มสนิทกันยิ่งขึ้น จะให้เรียกท่านพี่ต่อไปก็ดูจะห่างเหินไปหน่อย!
เซียวลิ่วหลังเดินค้ำไม้เท้า เฝิงหลินจึงวิ่งตามเขาทัน
ทั้งสองคนเดินมุ่งหน้ากลับไปยังที่พัก
ระหว่างทาง พวกเขาเดินผ่านร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนสองคนสวมชุดผ้าทอเดินออกมาจากร้านน้ำชา หนึ่งในนั้นหันมาเหลือบมองที่เซียวลิ่วหลัง
เดิมทีก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่จู่ๆ เขาก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วรีบหันขวับไปทางเซียวลิ่วหลังอีกรอบ
เซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินกำลังเดินข้ามถนนมุ่งหน้าไปยังที่พักที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
สายตาของชายวัยกลางคนเอาแต่จับจ้องเซียวลิ่วหลังจนลับสายตาไป
“ท่านจวง มีอะไรหรือ เจอคนรู้จักรึ จะเข้าไปทักทายหน่อยไหมล่ะ”
คนที่เอ่ยถามเขาคือเทศมนตรีเมืองผิงเฉิง ท่านเทศมนตรีหลัว
จวงเซี่ยนจือส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่คนรู้จักของข้าหรอก เพียงแต่รู้สึกคุ้นตาก็เท่านั้น”
เสี่ยวโหวเหย่ตายไปแล้ว เขาเป็นคนเคลื่อนย้ายร่างของเสี่ยวโหวเหย่ออกมาจากที่เกิดเหตุเองกับมือ ร่างของเขาทุกไฟคลอกจนไหม้เกรียมไปทั้งตัว เป็นภาพที่สะเทือนใจและยากที่จะลืม
หรือว่า เขาจะตาฝาดไปเอง ไม่ได้รู้สึกคุ้นตาอะไรตั้งแต่แรกหรอก
“ให้ข้าช่วยยืนยันให้ไหมท่าน” เทศมนตรีหลัวมองออกว่าท่านผู้ว่าจวงดูจะสนอกสนใจคนที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่มาก จึงลองเสนอถามไปดู
จวงเซี่ยนจือส่ายหัวปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ต้องหรอก ศัตรูคนนั้น เขาจากโลกนี้ไปแล้วล่ะ”
“อ๋า…” ถ้าเป็นคนตาย งั้นคงไม่ต้องยืนยันอะไรแล้วมั้ง
เซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินกลับถึงห้องพักเรียบร้อย จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น “เฝิงตุนจื่อ!”
เฝิงหลินได้ยินกระนั้นถึงกับขนแขนตั้ง!
เงาหลอนจากวัยเด็กค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วหัวสมองของเขา!
ใครมันบังอาจเรียกเขาด้วยชื่อนี้!
เขา ละ ละ ละ ลด…ลดน้ำหนักแล้วนะ!
เฝิงหลินเงยหน้าขึ้น ปรากฏชายหนุ่มมาดนักเรียนเดินลงบันไดแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเฝิงหลิน พลางยิ้มให้ “ใช่เจ้าจริงด้วย เฝิงตุนจื่อ! เจ้าเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย เกือบจำไม่ได้เชียว! เอ่ แล้วนี่ใครล่ะ”
ชายหนุ่มเบนสายตาไปทางเซียวลิ่วหลัง
ถ้าพูดอย่างไม่กลัวโดนเฝิงหลินเอ็ด เมื่อครู่ที่ชายหนุ่มเอ่ยทักเฝิงหลินก็เพราะเขาสะดุดตากับเซียวลิ่วหลังก่อน เป็นเพราะหน้าตาผิวพรรณของเซียวลิ่วหลังดูดียิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีกเลยอดมองมิได้ ภายหลังถึงได้สังเกตเห็นเฝิงหลินแล้วนึกขึ้นได้ว่าเคยรู้จักกันมาก่อน
ในที่สุดเฝิงหลินก็จำคนตรงหน้าได้ “ตู้รั่วหานรึ”
ชายหนุ่มหัวเราะพลางตบไปที่ไหล่ของเฝิงหลิน “ใช่แล้ว ข้าเอง!”
“เป็นเจ้าจริงด้วย!” เฝิงหลินเองก็หัวเราะงอหาย จากนั้นก็แนะนำเซียวลิ่วหลังให้รู้จัก “ลิ่วหลัง จำเสี่ยวตู้ได้ไหม! พวกเราสามคนเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อนไงล่ะ!”
ชายหนุ่มปรายตามองเซียวลิ่วหลังด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นเอ่ยกับเฝิงหลิน”เจ้าจำผิดแล้วมั้ง เขาไม่ใช่เซียวลิ่วหลังซักหน่อย!”
เฝิงหลินเอ่ยแย้ง “ไม่ผิดคนหรอก! เขานี่แหละเซียวลิ่วหลัง!”
ชายหนุ่มมองลิ่วหลังอย่างละเอียดอีกรอบ “ใช่เสี่ยวลิ่วที่…เข้ามาเรียนปีเดียวก็ย้ายออกคนนั้นน่ะรึ”
เฝิงหลินเอ่ยเสริมต่อ “ใช่แล้ว! นั่นแหละเขา! หลังจากที่เขาย้ายไปไม่ถึงสองปี พวกเจ้าก็ย้ายออกไปเช่นกัน! คิดๆ ดูแล้ว พวกเรานี่ก็ไม่ได้เจอกันมาสิบปีกว่าแล้วสินะ”
ชายหนุ่มยังคงสงสัยว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เซียวลิ่วหลังแน่นอน
เขาเอ่ยกับเฝิงหลิน “ขนาดข้ายังจำเจ้าได้เลย แล้วเหตุใดข้าถึงจะจำลิ่วหลังไม่ได้ล่ะ”
ที่จริงแล้ว เฝิงหลินเองตอนแรกก็จำเซียวลิ่วหลังไม่ได้ พอเห็นกระดาษเงินกระดาษทองของเขาถึงได้รู้ว่าลิ่วหลังเคยเป็นเพื่อนบ้านของเฝิงหลินมาก่อน
แล้วถ้าถามว่าเหตุใดเซียวลิ่วหลังถึงจำเรื่องในอดีตไม่ได้ นั่นมันก็ปกตินี่นา! เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งสิบปีแล้ว ตอนที่เขาย้ายออกไปก็เพิ่งจะหกขวบเอง ยังเด็กน้อยอยู่เลย จะไปจำเรื่องราวอะไรได้ล่ะ!
“เจ้านั่นตอนเด็กขี้กลัวจะตาย ชอบแอบไปหลบอยู่หลังแม่”
เซียวลิ่วหลังเดินขึ้นบันไดไปก่อน ส่วนชายหนุ่มกับเฝิงหลินกำลังพูดคุยสารทุกข์สุกดิบพลางเดินขึ้นบันได คนที่พูดประโยคเมื่อครู่ก็คือชายหนุ่ม
“ลิ่วหลังเปลี่ยนไปเยอะเลยล่ะ! ตอนนี้เขาเป็นคนกล้าแล้ว! แถมยังช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย!” เฝิงหลินเอ่ย
“ก็ไม่เหมือนเดิมจริงๆ นั่นแหละ…” ชายหนุ่มมองเข้าไปที่แผ่นหลังของเซียวลิ่วหลัง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนเมืองหลวงจากตัวเขา กลิ่นอายแบบนี้จะไม่มีทางรับรู้ได้ถ้าไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“แล้วขาเขาเป็นอะไรไปน่ะ” ชายหนุ่มไม่กล้าเอ่ยคำถามนี้ต่อหน้าเซียวลิ่วหลัง
“เมื่อครึ่งปีก่อนที่เขาเคยช่วยข้าไว้ เลยพลอยโดนลูกหลงไปด้วย ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่” เฝิงหลินเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ว่าไปแล้ว ตอนนั้นเจ้าย้ายออกไปอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ข้าย้ายไปเมืองหลวงน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ย
เฝิงหลินเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำตาโต “นี่เจ้าย้ายไปเมืองหลวงเลยหรือนี่”
เมืองหลวงเป็นสถานที่ในฝันของเฝิงหลิน แต่น่าเสียดายที่เมืองหลวงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และพลเรือนเช่นพวกเขาไม่มีทางมีโอกาสได้เข้าไปใช้ชีวิตที่นั่น เว้นเสียแต่จะใช้วิธีสอบเข้าไป
ชายหนุ่มเอ่ยตอบแบบขอไปที “อ่อ น้าของข้าต้องไปทำงานเป็นนางบำเรอที่เมืองหลวงน่ะ พวกเราก็เลยต้องย้ายกันไปทั้งบ้าน เป็นไงล่ะ ยังอิจฉาอยู่ไหม”
เฝิงหลินไม่เอ่ยอะไรต่อ
ชายหนุ่มพ่นเสียงหัวเราะ “ฮ่า ข้าหยอกเล่นน่ะ ไปกันเถอะ!”
ทั้งสามคนทานอาหารเย็นด้วยกัน จากที่ชายหนุ่มเล่ามา ทำให้เฝิงหลินได้รู้ว่าขณะนี้เขากำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง สองปีก่อนเขาสอบซิ่วไฉได้ พอมาปีนี้เขากำลังเตรียมสอบระดับมณฑล และครั้งนี้ที่พวกเขาได้มาเจอกันก็เพราะเขาอยู่ในช่วงเดินทางติดสอยห้อยตามไปกับลุงของเขาเพื่อเพิ่มพูนความรู้
ทั้งมื้อนั้นมีแต่เฝิงหลินกับชายหนุ่มที่ดำเนินบทสนทนา ส่วนลิ่วหลังไม่ใช่คนที่ชอบพูดจากับใครอยู่แล้ว
“เจ้านี่เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้นี่นา…” หลังจากที่เซียวลิ่วหลังกลับไปที่ห้อง ชายหนุ่มก็ดึงเฝิงหลินเข้ามากระซิบถาม
เฝิงหลินเอ่ยตอบเสียงเบา “ทั้งมารดาและพี่ชายของเขาลาโลกกันไปหมดแล้ว ที่ผ่านมาไม่ง่ายเลยสำหรับเขา”
“อ่อ” ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรต่อ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “ปีนี้เจ้าก็ลงสอบด้วยสินะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนะ!”
เฝิงหลินครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตอบ “ข้าสอบพร้อมกันกับลิ่วหลังน่ะ”
ชายหนุ่มเบ้ปาก “เจ้ารู้ได้ไงว่าเขาจะทำได้ เจ้านั่นเป็นเด็กหัวช้านี่ ลืมแล้วหรือที่อาจารย์เคยดุเขาไว้น่ะ”
แม้ชายหนุ่มจะจำลักษณะของเซียวลิ่วหลังไม่ได้ แต่เขาไม่ลืมเรื่องของเซียวลิ่วหลังอย่างแน่นอน เซียวลิ่วหลังไม่ได้โง่ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่คนหัวไวที่จะเหมาะกับการเรียนหนังสือ
เฝิงหลินเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่า “เดี๋ยวนี้ลิ่วหลังไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วนะ ตอนสอบระดับตำบลเขาสอบได้อันดับต้นๆ เลยล่ะ ครั้งนี้…ถึงแม้ครั้งนี้คำถามจะยากไปหน่อย แต่ข้าเชื่อว่าเขาสอบซิ่วไฉได้แน่นอน!”
ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม พลางเอ่ย “พนันกันไหมล่ะ ข้าว่าเขาสอบไม่ได้หรอก”
เฝิงหลินไม่พอใจ เริ่มรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเจ้าเพื่อนเก่าคนนี้แล้วสิ
ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเซียวลิ่วหลังต่อหน้าเขาได้ ต่อให้เป็นเพื่อนสมัยเด็กก็ตามเถอะ!
ชายหนุ่มถูกเฝิงหลินต้อนให้ออกจากที่พัก เขาไม่มีอารมณ์จะเดินเล่นต่อ จึงกลับไปยังจวนเทศมนตรีอย่างเซ็งๆ
พอทหารที่ยืนคุ้มกันอยู่เห็นเขาเข้า จึงรีบทำความเคารพและเปิดประตูให้เขาเข้าไป
ขณะที่เขากำลังก้าวเท้าเข้าไปได้ใน จู่ๆ เสียงตะโกนดุดังขึ้น “ไปไหนมา ทำไมกลับเอาดึกป่านนี้!”
ชายหนุ่มหันไปทางต้นเสียงอย่างช้าๆ ทำหน้ายิ้มเจื่อน พลางเอ่ย “สายัณห์สวัสดิ์ท่านลุง ไปทำเรื่องเอกสารมารึ เหตุใดกลับมาเร็วนักล่ะ”
ผู้ว่าจวงเอ่ยด้วยเสียงเคร่ง “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง! ข้าถามเจ้าอยู่นะ ไปไหนมา”
ชายหนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าบังเอิญเจอกับเพื่อนเก่าตอนสมัยที่ข้าพักอยู่ที่ซงเซวียน ก็เลยทักทายกัน แล้วข้าก็ทานข้าวเย็น…กับพวกเขาด้วย”
ผู้ว่าจวงเอ่ยเสียงแข็ง “นึกหรือว่าข้าจะเชื่อเจ้าน่ะ เจ้าไปก่อเรื่องมาอีกแล้วใช่ไหม ข้าสัญญากับน้าของเจ้าไว้แล้วว่าจะพาเจ้ามาที่นี่ ไม่ได้ให้เจ้ามาเที่ยวเล่นตามอำเภอใจแบบนี้! เรียกคนมา! พาเด็กคนนี้ไปที่ห้อง! อย่าหวังว่าจะได้ออกมาแม้แต่ก้าวเดียวถ้าข้าไม่ได้สั่ง! ”
ชายหนุ่มรีบแย้ง “ข้าไม่ได้โกหก! ท่านลุงฟังข้าก่อน! ข้าไปพบปะกับเพื่อนเก่ามาจริงๆ ! พวกเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหล! คนหนึ่งชื่อเฝิงหลิน! ส่วนอีกคนชื่อเซียวลิ่วหลัง! เซียวลิ่วหลังเป็นคนที่ลงสอบรอบนี้! วันนี้เขาเพิ่งสอบข้อสอบที่ท่านออกข้อสอบสุดหฤโหดไปหมาดๆ ! หน้าเขาทั้งเขียวทั้งซีดไปหมด! ไม่เชื่อท่านก็ลองให้คนไปสืบสิ!”