บทที่ 80 อาเจ็ดแก่แล้ว

บทที่ 80 อาเจ็ดแก่แล้ว

อวี่กงกงเห็นสีหน้าสิ้นหวังของอีกฝ่ายก็อดเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ 

“ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่ ข้าต้องการคำอธิบาย!”  

เอ่ยเสร็จ เขาก็ทำท่าเหมือนจะไปให้ได้บัดเดี๋ยวนั้น ทว่าโชคยังดีที่พระชายาอ๋องเซียวเหยารั้งเขาไว้เสียก่อน

“ท่านจะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือเพคะ?”  

หนานกงหลีชะงักกึก ก่อนจะเริ่มสำรวจสภาพของตน แล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปในจวนแทบจะทันที

พอจวนข้าง ๆ เกิดเรื่องขึ้น จวนจิ้นอ๋องที่อยู่ติดกันย่อมต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมด  

ขันทีที่รับใช้องค์ชายใหญ่ออกมาเห็นเข้าก็ยิ้มกริ่ม และรีบเข้าไปรายงานหนานกงฉีซิวทันที

หนานกงฉีซิวถือตำราม้วนหนึ่งอยู่ในมือ โดยมีลูกสุนัขเชื่อง ๆ ตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างเท้า เขาเผยยิ้มบางออกมาหลังจากได้ยินเรื่องราว

“เสด็จพ่อคงกำลังระบายโทสะเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นแน่” 

 

แม้เสด็จพ่อผู้เย็นชาจะเคยตรัสออกมา แต่ผู้ใดจะดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเสด็จพ่อทรงรักและห่วงใยน้องสาวมากเพียงใด  

เมื่อนึกถึงสายตาของเขาที่จับจ้องไปยังกระถางดอกไม้ข้างหน้าต่าง มุมปากของเขาก็ยกยิ้ม  

น้องสาวตัวน้อยของเขา ผู้ใดอยู่ใกล้ก็ต้องหลงรัก

ทั้งต้นเฉ่าเหมยกับมะเขือเทศในสวนนั้นก็ได้มาจากความเอาใจใส่ที่คนตัวเล็กมีให้พวกเขา

ด้านหนานกงหลี เมื่อเท้าเหยียบเข้าไปในเขตพระราชวัง เขาก็ตรงดิ่งไปที่ตำหนักฉินเจิ้งทันที

“เสด็จพี่~”  

หนานกงสือเยวียนตากระตุกทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกโหยหวนชวนให้นึกถึงเสียงผีร้าย

“หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้ข้า”  

น้ำเสียงเย็นชา แววตารังเกียจ

หนานกงหลียังคงส่งเสียงคร่ำครวญ พร้อมหรี่ตามองเสด็จพี่ของตนด้วยสายตาขุ่นเคือง

“เสด็จพี่ ท่านเคยบอกว่าหากข้าไม่อยากเข้าประชุมขุนนางก็ไม่ต้องเข้ามิใช่หรือ เหตุใดวันนี้ท่านถึงออกราชโองการว่านับจากนี้ข้าต้องเข้าร่วม ท่านไม่บอกไม่กล่าวข้าก่อนด้วยซ้ำ! ข้าไม่อยากเข้าร่วม!”  

หนานกงสือเยวียนไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา “ข้าเคยกล่าวเช่นนั้นด้วยหรือ?”  

หนานกงหลีเบิกตากว้างทันที “ท่าน ท่านคิดจะชักดาบ!” 

 

หนานกงสือเยวียนประกาศกร้าว “ต้องเข้า!”  

หนานกงหลีชักอยากจะร้องไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอด

“ท่านก็รู้ดีว่าข้าไม่อาจตื่นเช้าเพื่อเข้าร่วมประชุมขุนนางได้ เข้าไปข้าก็เอาแต่หลับ ท่านยังเคยบอกว่าเห็นแล้วรำคาญลูกตา จนสั่งห้ามไม่ให้ข้าเข้าร่วมมิใช่หรือ? ถึงตอนนี้ท่านเกิดอยากให้ข้าเข้าร่วมแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ควรถามความเห็นจากข้าก่อน… ข้าไปทำสิ่งใดขัดใจท่านหรือ?”

ไร้เสียงตอบรับจากหนานกงสือเยวียน เขาเพียงส่งสายตาขุ่นเคืองไปทางฝูไห่  

ฝูไห่กงกงผู้รับใช้ข้างกายฝ่าบาทมานาน ย่อมรู้ใจองค์เหนือหัวของตนเป็นอย่างดี!  

ฝูไห่กงกงกระซิบเตือน “องค์หญิง”  

หนานกงหลีไม่ได้โง่ เวลาปกติเขาแค่ขี้เกียจใช้สมอง พอถูกเตือนความจำ ภาพเมื่อวานพลันฉายชัดขึ้นมา

 

จากนั้น…จากนั้นเขาก็ไม่รอช้า รีบคุกเข่าลงแล้วก้มศีรษะน้อมรับความผิดพลาดของตน

“ข้าผิดไปแล้ว”

หนานกงสือเยวียนแค่ปรายตามองเขา

“เสด็จพี่~ ข้าผิดไปแล้ว”  

“หืม? ผิดอย่างไร?”  

หนานกงหลีรีบสารภาพผิด “ข้าไม่ควรเมามายจนสติฟั่นเฟือน ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่ส่งจอกสุราให้เสี่ยวเป่าเพราะคิดว่ามันเป็นนม แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะเสด็จพี่” 

 

หนานกงสือเยวียนหัวเราะในลำคอ “เจ้าก็รู้ตัวนี่ว่าดื่มมากไป อาผู้หนึ่งร่วมงานเลี้ยงกับลูกหลาน แต่เจ้ากลับดื่มมากกว่าผู้ใด”  

หนานกงหลีเอียงหูฟังคำสอนสั่งจากพี่ชาย

เสี่ยวเป่าเพิ่งกลับมาจากการรดน้ำในสวน นางเข้ามาเห็นภาพนั้นพอดิบพอดี

เด็กเล็กเบิกตากว้างทันทีที่เห็นอาเจ็ดอยู่ในสภาพนั้น นางยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปทิ้งเข่าลงข้าง ๆ อาเจ็ดของตน  

ชายวัยกลางคนทั้งสองหันมองเด็กน้อยเป็นตาเดียว

เสี่ยวเป่ามองหน้าท่านพ่อแล้วก็หันมองหน้าอาเจ็ดด้วยดวงตาใสชื่อ

“เป็นอันใดไปเพคะ?”  

หนานกงสือเยวียน “…ทำอะไรของเจ้า?”  

เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่านั่งเป็นเพื่อนอาเจ็ด”  

หนานกงหลีน้ำตาแทบไหลพราก

“ขนาดหลานสาวตัวน้อยอย่างเจ้ายัง…”  

เขาจำต้องหยุดชะงัก เพราะคำพูดต่อจากนั้นเขาไม่กล้าพูดต่อหน้าเสด็จพี่

“มานี่ เจ้ารู้หรือว่าเรากำลังทำสิ่งใดกันอยู่ ถึงได้นั่งเป็นเพื่อนเขา”

เสี่ยวเป่ารีบลุกขึ้นเพื่อวิ่งไปออดอ้อนท่านพ่อ 

“ท่านพ่อกำลังลงโทษอาเจ็ดใช่หรือไม่? ท่านพ่อ~ อย่าโกรธอาเจ็ดเลยนะ อาเจ็ดแก่แล้วก็ต้องรักษาหน้าให้เขาด้วยสิ หากมีผู้ใดรู้เข้าว่าอายุปูนนี้ยังต้องถูกอบรม อาเจ็ดจะอับอายเอาได้นะเพคะ”  

หนานกงสือเยวียน “…”  

ชายมีอายุผู้มีนามว่าหนานกงหลี “…”  

ปากเล็กจ้อยของเจ้าช่างคมคายเหลือเกิน

เขารู้อยู่แล้วว่าต่อให้เขายอมรับผิด แต่ราชโองการนั้นออกไปแล้วก็ไม่อาจคืนคำได้ อย่างไรเสียเขาก็ต้องเข้าประชุมขุนนางอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการประชุมขุนนาง เขาก็แค่เข้าไปยืนนิ่ง ๆ พิงเสางีบก็ได้

เพียงเท่านี้เขาก็แอบหลับได้แล้ว ทุกคนในนั้นล้วนชินชากับเขาที่เป็นเช่นนี้

วันเวลาผ่านไปเร็วราวกับกะพริบตา วันที่องค์ชายรองจะต้องเสด็จไปยังเมืองหน้าด่านใกล้เข้ามาแล้ว

ระหว่างที่ว่าราชการในเช้าวันนี้ อันป๋อโหวหลี่เฉิงก้าวออกมาเพื่อเอ่ยบางสิ่ง

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองควรจะต้องอภิเษกสมรส โดยเฉพาะองค์ชายรองที่ต้องเสด็จไปยังเมืองหน้าด่านในอีกไม่ช้า ฝ่าบาทโปรดพิจารณาการพระราชทานสมรสแก่องค์ชายรองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนชะงักไปครู่หนึ่ง ตัวเขาเองยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย มาตอนนี้ เขาถึงได้ฉุกคิดว่าโอรสของตนดูจะโตถึงวัยที่ต้องลาจากไปเติบโตแล้วสินะ

แต่เขาดูออกว่าหลี่เฉิงผู้นี้ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างถึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา

“หืม? อันป๋อโหวอยากให้เราพระราชทานสมรสให้องค์ชายรองกับผู้ใดหรือ?”  

หลายคนเริ่มกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าตาแก่หลี่เฉิงคิดจะทำสิ่งใดกันแน่

“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากจะทูลขอฝ่าบาทให้ทรงอภัยโทษให้พระสนมกุ้ยเฟยออกจากการกักบริเวณ เพื่อคัดเลือกพระชายาให้แก่องค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”  

ทันทีที่เขาพูดจบ ขุนนางหลายคนก็เริ่มฉุกคิดบางสิ่ง เพราะนี่ถือเป็นโอกาสทองของพวกเขา หากบุตรสาวของพวกเขาได้เข้าร่วมการคัดเลือก โอกาสที่จะดึงองค์ชายรองมาเป็นพวกก็มีมากขึ้น 

การคัดเลือกพระชายาสำหรับองค์ชายนั้น ใช่ว่าจะต้องการเพียงคนเดียวเสียที่ไหน ทั้งชายาเอกและชายารองล้วนคัดเลือกพร้อมกันทั้งหมด 

 

หนานกงสือเยวียนกวาดตามองคนพวกนั้นเพียงแวบเดียว “ไว้เราจะหารือเรื่องนี้กับองค์ชายรอง”  

พูดจบ ฝ่าบาทก็จากไปทันที  

คิ้วของหลี่เฉิงผูกกันเป็นปม เขารู้สึกหงุดหงิดเกินจะบรรยาย

เขาจะต้องไปคุยเรื่องนี้กับองค์ชายรองให้รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าน้องสาวเขาสั่งสอนบุตรชายอย่างไร ถึงได้ผลักไสองค์ชายรองให้มีใจออกห่างพวกตนเองถึงเพียงนี้

อีกไม่นานองค์ชายรองก็จะเดินทางไปเมืองหน้าด่าน ถ้าไม่หาวิธีดึงคนมาลงเรือลำเดียวกับตนเอง วันข้างหน้าตำแหน่งนั้นมีแต่จะยิ่งห่างไกลออกไป

ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เป็นองค์ชายรองอย่างเขาที่กำลังได้เปรียบ ทว่าตัวเขากลับไม่มีใจ

หลี่เฉิงหรี่ตาที่แข็งกร้าว

นี่ช่างไม่เอาไหนเสียเลย เกิดเป็นองค์ชายแม้ไม่อยากสู้ก็ต้องสู้!  

พอหนานกงสือเยวียนกลับมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง เขาก็สั่งให้คนไปตามองค์ชายรองมาพบตนทันที

หนานกงฉีโม่รีบมาอย่างรวดเร็ว “เสด็จพ่อเรียกลูกมามีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” 

หนานกงสือเยวียนบอกเขาไปตามตรง “อันป๋อโหวขอให้เราพระราชทานสมรสให้เจ้า เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

  

หนานกงฉีโม่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันบอกบุญไม่รับ

“เสด็จพ่อ อีกไม่นานลูกก็จะเดินทางไปเมืองหน้าด่านแล้ว วันข้างหน้าหาได้แน่นอนไม่ ข้าไม่อยากให้สตรีนางใดต้องมารอข้าให้เสียเวลา”  

เขารู้ได้ในทันทีว่า ที่อันป๋อโหวทำเช่นนี้เป็นเพราะมีแผนการบางอย่าง 

หนานกงสือเยวียน “เจ้ากับเจ้าใหญ่ถึงวัยสร้างเรือนเป็นของตนแล้ว ที่ผ่านมาเราไม่เคยถามถึงเรื่องนี้ แต่มาวันนี้เราจำเป็นต้องถาม เจ้ามีคนที่หมายปองหรือไม่?”  

ในใจเขามีแต่เรื่องของบ้านเมืองเป็นหลัก สำหรับโอรสทั้งสองคนนี้ หากไม่ใช่เพราะคนตัวเล็กที่มีนามว่าเสี่ยวเป่า ทำให้พวกเขามาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เขาคงเกือบลืมไปแล้วว่าโอรสทั้งสองโตพอที่จะออกไปสร้างครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว

คนวัยเดียวกันกับเจ้าใหญ่เจ้ารองออกเรือนมีบุตรจนโตพอจะวิ่งเล่นไปทั่วแล้ว  

“เสด็จพ่อ ลูกยังไม่อยากคิดเรื่องความสัมพันธ์ฉันชายหญิงในตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “เช่นนั้นก็รอเจ้ากลับมาจากเมืองหน้าด่านก่อนก็แล้วกัน”  

ในขณะที่หนานกงฉีโม่หันหลังเตรียมจะเดินจากไป นัยน์ตาเขาเจือแววเศร้าหมอง ทว่าเดินมาถึงประตู เขาก็เอิญพบเสี่ยวเป่าที่วิ่งกลับมาจากข้างนอกพอดี

เมื่อเห็นคนตัวเล็กเนื้อตัวมอมแมม ใบหน้านุ่มนิ่มที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้กลายเป็นแมวลายตัวน้อย ดวงตาจิ้งจอกที่เคยเศร้าหมองถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ยามที่มีเด็กน้อยอยู่ใกล้ ๆ ความห่อเหี่ยวในใจของเขาพลันหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน