บทที่ 58 คนที่คิดไม่ตก

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 58 : คนที่คิดไม่ตก

หลินเจี๋ยคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าลูกค้าชื่นชมกุหลาบของเขา “ขอบคุณที่ชมมันนะครับ ผมเชื่อว่ามันต้องดีใจมากแน่เลย”

ทุกอย่างมีจิตวิญญาณแฝงอยู่ การเคารพต้นไม้ใบหญ้าก็ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของความโรแมนติกในชีวิตเหมือนกัน

อีกอย่าง สาวเอลฟ์คนนั้นก็กำชับกับเขาไว้ด้วยว่ามันมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง แม้ว่าเขาจะแค่เล่นไปตามจิตใจของหญิงสาว แต่เขาก็ยังต้องแสดงท่าทางของพ่อค้าลึกลับด้วย

เพื่อถึงวันที่สาวเอลฟ์คนนั้นจะกลับมาแล้วพบว่าของขวัญและน้ำใจของเธอมีคุณค่า หญิงสาวจะรู้สึกตื้นตัน…และเขาอาจจะมีฐานลูกค้าเพิ่มเข้ามาอีกคน?

‘เห็นไหม เส้นทางการรวบรวมเงินน่ะต้องใช้เวลา’

‘รายละเอียดที่เล็กที่สุดสามารถชี้ชะตาความสำเร็จหรือล้มเหลวได้’ ถือเป็นประโยคที่ถูกต้องมาก

ตัวหลินเจี๋ยเองก็แคร์เจ้ากุหลาบนี่ด้วย หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาก็รดน้ำให้มันทุกวัน ทำให้รู้สึกผูกพันกับมันขึ้นมา

“…” ได้ยินเช่นนั้น แอคเกอร์แมนรู้สึกสะท้านไปทั้งตัวเมื่อคิดย้อนไปว่าตนเจออะไรมา

ไม่ใช่แค่เจ้าของร้านคนนี้ชอบเล่นกับจิตใจคนอื่น เขายังดูผูกพันกับ ‘ดอกไม้’ นี้มาก…เหมือนกับมองเจ้าปีศาจนั่นเป็นลูกของตนอย่างไรอย่างนั้น

ขนาดนักเวทมนตร์ดำมอร์เฟย์ผู้แหกกฎข้อห้ามหลายอย่างยังแค่มองสัตว์มายาที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาในฐานะสิ่งประดิษฐ์อันแสนวิเศษเลย ไม่ได้เข้าขั้นโอ๋เจ้าสัตว์ประหลาดน่าขยะแขยงนั่นเป็นคนด้วยซ้ำ!

‘เจ้าของร้านหนังสือนี่เป็นใครกันแน่’

หนังตาของแอคเกอร์แมนกระตุกเมื่อตนอนุมานเอาในใจ

‘หรือว่าเจ้าของร้านคนนี้จะไม่ใช่มนุษย์เหมือนกัน?’

‘ถ้าเขากับเจ้า ‘กุหลาบ’ นี่เป็นสปีชีส์เดียวกัน แค่เขาห่มเนื้อหนัง ‘มนุษย์’ ล่ะ? นั่นฟังดูสมเหตุสมผลมากเลยไม่ใช่เหรอ’

ทำไมแอคเกอร์แมนถึงไม่สามารถสัมผัสพลังอีเธอร์ได้? ทำไมเจ้าของร้านหนังสือถึงมีแนวคิดอันร้ายกาจและบิดเบี้ยวได้ปานนี้? ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งโดยไม่มีเหตุผล…นี่เป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าแอคเกอร์แมนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่านั้นอีกอย่างไรเล่า

แต่มีหรือที่สมาคมแห่งสัจธรรมจะไม่รู้อะไรเลย?

‘ไอ้สมาคมฯ นั่นใช้เขาเป็นตัวรับกระสุนปืนใหญ่นี่หว่า!’

ไวลด์มีความสามารถในการใช้ที่นี่เป็นส่วนกลางได้ แต่แอคเกอร์แมนกลับรู้สึกเหมือนตนโดนส่งมาเป็นของเซ่นมากกว่า!

“แหะ…แหะๆ ๆ”

แอคเกอร์แมนหัวเราะเคอะเขิน คิดในใจว่าเจ้าของร้านดีใจที่มีคนชม ‘ดอกไม้’ ดอกนั้น เขาจึงเอ่ยในสิ่งตรงข้ามกับที่เขารู้สึกออกมา “ผมแค่พูดความจริงน่ะ”

หลินเจี๋ยเห็นว่าสีหน้าของลูกค้าใหม่เริ่มซีดลง จึงขยับกระถางไปด้านข้าง “หน้าตาคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ นั่งสักหน่อยไหม”

‘บ้าเอ๊ย เจ้าของร้านดันรู้แล้วว่ามีอะไรผิดปกติ’

แอคเกอร์แมนส่ายหัวทันควัน “ไม่ ไม่ ไม่เลยครับ ผมไม่เป็นไร…”

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว “จริงเหรอครับ อย่าฝืนตัวเองเลย”

เขามองว่าลูกค้าคนนี้ชอบทำตัวเหมือนตัวเองแข็งแรงไว้ก่อน ต่อให้เขาเหนื่อยใจจะขาดจนจะล้มอยู่รอมร่อ เขาก็จะไม่มีทางแสดงความอ่อนแอให้คนนอกเห็น

ดูจากรูปพรรณสัณฐาน ลูกค้าใหม่คนนี้ดูจะเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานอายุประมาณ 30-50 ปี

คนวัยทำงานประมาณนี้คงมีทั้งผู้ใหญ่และเด็กให้เลี้ยงดู ภรรยาที่บ้าน ไปจนถึงหัวหน้าที่ทำงาน มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีความระวังตัว เพราะพวกเขาต่างถึงวัยกลางคนและยังคงลังเลที่จะทิ้งวัยหนุ่มไป ช่วงวัยนี้ถือว่าเป็นวัยที่มีความเครียดสูงมาก

อีกทั้งลูกค้าคนนี้ดูจะงานรัดตัว มาดูจุดเกิดเหตุระเบิดแต่กลับไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเลย บางทีอาจจะกำลังหลงทางอยู่ก็เป็นได้

เขามั่นใจว่าลูกค้าคนนี้กำลังต้องการคำชี้แนะอย่างถึงที่สุด

ดังนั้น หลินเจี๋ยจึงส่งยิ้มใจดีพลางเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอกครับ นั่งลงก่อนเถอะ ที่นี่ไม่มีใครแล้วเพราะงั้นไม่มีใครเห็นสภาพคุณตอนนี้หรอกครับ จะเล่าเรื่องแย่ ๆ ที่คุณอาจพบอยู่ก็ไม่เสียหายอะไร ผมค่อนข้างรับมือกับคนคิดไม่ตกเก่งซะด้วย”

‘คน…คนที่คิดไม่ตก!?’

แอคเกอร์แมนตัวแข็งทื่อ เขาสัมผัสได้ว่าถ้าไม่นั่งขึ้นมาคงเกิดเรื่องไม่ดี

มีเรื่องไหนที่ทำให้เขาเสียใจบ้างเหรอ?

แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้ตัวจริงของเจ้าของร้านแต่กลับหลงเข้ามาในกับดักแทนน่ะสิ…

แต่จะให้เขาพูดไปโต้ง ๆ เลยหรือ? ไม่มีทาง!

ถ้าสารภาพไปแล้วเขาคงคิดไม่ตกหนักกว่าเดิมอีกไม่ใช่รึไง

‘ไม่มีความสุขเหรอครับ งั้นมาเปิดอกคุยกับผมสิ (แบบเลือดตกยางออก) ‘ความนัยในคำพูดของเจ้าของร้านชัดเสียจนชัดไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับคำข่มขู่แบบไร้ซึ่งการตกแต่งหนักกว่าเดิม แอคเกอร์แมนก็ได้แต่พยักหน้าด้วยความอดสูและนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวในร้านด้วยความลังเล

หลินเจี๋ยรู้ว่าเขาผ่านขั้นตอนแรกสำเร็จเมื่อเห็นลูกค้าละล้าละลังนั่งลงแล้ว ทว่าการจะให้ลูกค้าประเภทนี้เล่าสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมดถือว่าเป็นเรื่องยากอยู่ดี

เขาต้องเปิดประเด็นและแง้มดู ราวกับพยายามเปิดเปลือกหอยนางรมทีละนิดเพื่อให้เห็นชิ้นส่วนอันอ่อนนุ่มด้านใน

หลินเจี๋ยกอดอกและเผยรอยยิ้มของผู้เชี่ยวชาญ “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรหรอกนะครับ ถ้าให้ผมเดาละก็ เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองใช่ไหม”

‘การพัฒนาตัวเอง’ …ก็เหมือนกับ ‘พบปัญหาบางอย่างอยู่ใช่ไหม’ นั่นแหละ สองคำนี้เป็นดั่งประโยคหากินของหลินเจี๋ยเลยก็ว่าได้

ตราบใดที่คนคนนั้นไม่ได้ทนทุกข์อยู่กับความโศกเศร้า คนทั่วไปย่อมต้องกำลังพัฒนาตัวเองในหลาย ๆ ด้าน

หลายคนจะเรียกตัวเองเป็น ‘ขยะ’ ‘ไร้ประโยชน์’ หรือแม้แต่ ‘ไร้คุณค่า’ แต่ความจริงแล้วก็ยังมีความหวังอยู่ในใจไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

แม้แต่พวกที่คิดว่าตัวเองแน่ ยังหวังจะพัฒนาตัวเองในบางแง่เพื่อให้ความฝันของตนเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือการยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนข้อด้อยเล็กน้อย การขบคิดบางอย่างออก หรือแม้แต่การตอบคำถามก็ถือว่าเป็นการพัฒนาตัวเองเช่นกัน

เมื่อเจาะลึกรายละเอียดยิบย่อยแล้ว การพัฒนาตัวเองนั้นถือว่าไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว

ลูกค้าคนนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังไม่มีที่ไปและการฝืนทนเช่นนี้ก็เป็นต้นแบบของใครบางคนที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์

คำพูดนี้ถือว่าเป็นคำเยียวยาอันทันท่วงที และหลินเจี๋ยไม่เชื่อว่ามันจะไม่ส่งผลอะไรเลย

ดวงตาของแอคเกอร์แมนเบิกกว้าง ลมหายใจของเขาเริ่มหนักขึ้น นี่เขารู้ว่าฉันกำลังประเมินเข้าระดับภัยพิบัติอยู่?

‘ไม่สิ ถ้าไม่รู้สิแปลก…’

ลงอีหรอบนี้แสดงว่าเขาก็อาจรู้เหมือนกันว่าฉันรับงานล่าค่าหัวของไวลด์มา และวางแผนจะซุ่มโจมตีเขาจากที่นี่

แอคเกอร์แมนไม่รู้เลยว่าเจตนาของเจ้าของร้านคืออะไร

หากเจ้าของร้านหนังสือคิดจะฆ่าเขาทิ้ง เขาคงตายได้นับครั้งไม่ถ้วนในช่วงเวลาที่กำลังจ้องตากับ ‘ดอกไม้’

ทว่าเจ้าของร้านหนังสือกลับไม่ทำอะไร แถมยังมาเริ่มคุยกับแอคเกอร์แมนราวกับว่ามีเจตนาอื่นเสียอย่างนั้น

“ผมยอมแพ้แล้วครับ” แอคเกอร์แมนตัดสินใจเอ่ยความจริงออกมา

“พวกเขาแค่ใช้ผมและมองผมเป็นหมากใช้แล้วทิ้ง เพิ่งจะมารู้ตัวก็ตอนนี้เอง ถึงโครงสร้างมันจะฟังดูยุติธรรมดีก็เถอะ แต่ความจริงพวกเบื้องบนยังคงมองเหยียดคนอย่างเรา ๆ อยู่ดี”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลนตัวเอง

สุดท้ายแล้ว นักเวทมนตร์ดำ นักวิชาการของสมาคมแห่งสัจธรรม และสิ่งมีชีวิตเหนือกว่านั้นต่างเหยียดหยามนักล่าซึ่งยืมพลังจากสัตว์มายากันทั้งนั้น

‘ทั้งที่พวกเราตั้งใจล่าเลือดอสูรมาเองกับมือ!’

หลินเจี๋ยพยักหน้าพลางตกอยู่ในห้วงความคิด

‘แบบนี้นี่เอง แรงกดดันจากเบื้องบนสินะ…’

ลูกค้าคนนี้กำลังหาวิธีเลื่อนตำแหน่งหรือขึ้นเงินเดือนอยู่ แต่เขากลับถูกเบื้องบนโยนไปโยนมา สภาพก็เลยดูเหนื่อยเพราะรู้ตำแหน่งในสังคมของตัวเอง หลังจากเดินเร่ร่อนเพราะไม่รู้จะไปไหน สุดท้ายก็มาจบอยู่ที่ร้านหนังสือแห่งนี้

ทั้งหมดนี้อาจต้องขอบคุณโชคชะตา

หลินเจี๋ยมองไปยังลูกค้า “เคยคิดจะลองหาทางอื่นเพื่อก้าวไปข้างหน้าบ้างไหมครับ”