บทที่ 59 สู่เส้นทางใหม่

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 59 : สู่เส้นทางใหม่

‘หาทางอื่นเหรอ?’

แอคเกอร์แมนมองความลึกซึ้งของเจ้าของร้านหนังสือและนิ่งไปพักใหญ่ ‘นี่มัน…หมายความว่ายังไง?’

หลินเจี๋ยกอดอกพลางอธิบาย “คุณจะปล่อยให้เขาใช้คุณแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ว่าพวกเขาต่างมองคุณเป็นเครื่องมือเหรอครับ คุณอาจไม่ได้รับสวัสดิการเยอะแยะอะไรด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับเรียกร้องจากคุณมากมายโดยไม่ได้เคารพคุณเท่ากับการเรียกร้องนั้นเลย”

สีหน้าพิลึกพิลั่นพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแอคเกอร์แมนยามได้ยินคำเชื้อเชิญอันยั่วยวน แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้สมัครใจอยู่แล้ว

ท่าทีของสมาคมแห่งสัจธรรมต่อนักล่าช่างน่าผิดหวัง

ทว่าตัวเขาเองก็รู้ดีถึงสถานะอันต่ำต้อยของนักล่าในสายตาคนเก่งคนอื่นอยู่แล้ว เนื่องจากพลังของนักล่านั้นถูกยืมมาอีกที และมักจะมีเสถียรภาพต่ำรวมถึงสูญเสียความเป็นเหตุเป็นผลไป

ในขั้นตอนสุดท้ายของความบ้าคลั่ง นักล่าตัวฉกาจหลายคนจะฉีดเลือดอสูรเข้าไปในเส้นเลือด แล้วกลายเป็นสัตว์มายาตนใหม่ที่นำมาสู่การทำลายล้างอันใหญ่ยิ่ง

ดังนั้นในสายตาของสมาคมแห่งสัจธรรมและหอพิธีกรรมต้องห้าม นักล่าก็ไม่ต่างกับการพนันที่แปรพักตร์ได้ตลอดเวลา

ย่อมเป็นเรื่องปกติหากพวกเขาจะถูกมองอย่างไม่เป็นมิตรสักเท่าไรนัก

ในการประเมินลำดับขั้นของสมาคมแห่งสัจธรรมนั้น เหล่านักล่าต้องผ่านขั้นตอนอื่นอีกเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นบททดสอบสติสัมปชัญญะ

แอคเกอร์แมนเองก็รู้ดีว่าเขาโทษสมาคมแห่งสัจธรรมในการปฏิบัติชวนเหยียดหยามพรรค์นี้ไม่ได้ เพราะนี่ก็เป็นแค่วิถีของนักล่าเท่านั้น ตัวเขาเองก็เหมือนกัน

เลือดอสูรที่แอคเกอร์แมนใช้มาจาก ‘อสุรกายสีซีด’ และปริมาณที่เขาฉีดในแต่ละครั้งก็เกินเกณฑ์มานานแล้ว

หลังจากปลุกพลังผ่านสายเลือด แอคเกอร์แมนจะมีสภาพไม่ต่างกับโครงกระดูกขาวตัวยักษ์ที่มีหนวดและกระดูกยื่นออกมาจากหลังพร้อมรูโบ๋ตรงกลางอก เมื่อกลายร่าง เขาก็ไม่ต่างจาก ‘อสุรกายสีซีด’ ตัวหนึ่งเลย

แอคเกอร์แมนคือนักล่าระดับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง สติปัญญาของเขาอยู่ในสภาพเสื่อมแหล่มิเสื่อมแหล่ตลอดเวลา และพลังใจก็บอบบางมากเช่นกัน

เขาทำได้แค่กินยาต้านซึมเศร้าขนานแรงที่สมาคมแห่งสัจธรรมขาย เพื่อให้ตัวเองไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังภาคภูมิใจที่ได้เป็นนักล่าอยู่ดี

พวกเขาไม่มีจิตใจแข็งแกร่งดั่งอัศวิน ไม่มีคำสอนที่ส่งต่อกันมาแบบนักเวท ไม่มีกระทั่งความฉลาดเฉลียวเช่นนักวิชาการ นักล่าเป็นแค่คนปกติที่ดึงศักยภาพของสัตว์ร้ายผ่านหยาดเลือดและวิญญาณต่างอาวุธก็เท่านั้น

ถึงอย่างนั้น ขนาดนักล่าอย่างแอคเกอร์แมนซึ่งมีความสามารถในระดับภัยพิบัติกลับไม่ได้รับความเคารพอย่างที่ควรจะได้จากสมาคมแห่งสัจธรรม และถูกมองเป็นแค่เครื่องมือใช้แล้วทิ้งแทน

“ผม…ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะมีทางเลือกอื่น” แอคเกอร์แมนกำหมัดพลางดิ้นรนต่อต้านความขัดแย้งในใจ “พวกเขาควบคุมทุกอย่างมาตลอด การต่อสู้เพื่อจุดยืนของผมก็ต้องผ่านพวกเขาเหมือนกัน”

อ้อ เป็นบริษัทระบบผูกขาดนี่เอง ฟังดูแล้วน่าจะเป็นบริษัทใหญ่แฮะ

อาจจะเป็นบริษัทคล้าย ๆ กับบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ของพ่อจี้จือซู่ละมั้ง คงเป็นเพราะความเชี่ยวชาญและความสามารถของลูกค้าคนนี้จำกัดขอบเขตเอาไว้จนไม่มีทางเลือก ต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมาอย่างเดียวแหง

‘อ๋าา สถานการณ์ดูยุ่งยากกว่าที่คิดซะอีก’

‘นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของบริษัทแล้ว แต่เป็นความทะเยอทะยานของเขาด้วยสินะ’

เลือกได้แค่ยอมอยู่ในบริษัทใหญ่แล้วปล่อยให้เบื้องบนเหยียบย่ำ ยอมลดความทะเยอทะยานลงมาสักหน่อยแล้วย้ายไปแผนกเล็กกว่า หรือช่างมันทุกอย่าง ก้าวข้ามโชคชะตาแล้วเปลี่ยนอาชีพมันซะเลย…ก็นะ นี่ก็ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไรเหมือนกัน

หากอีกฝ่ายไม่ได้มีความคิดว่าจะออกให้ได้ หรือหากที่สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่ได้น่าอึดอัดเกินทน การตัดสินใจอย่างที่ว่าไปอาจดูไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไรนัก

แต่ในเมื่อลูกค้าตรงหน้าหลินเจี๋ยได้พูดออกมาว่าเขาไม่ได้นึกถึงทางอื่น นั่นแปลว่าลึก ๆ แล้วเขาเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่ แค่หัวใจเขาถูกบีบคั้นด้วยความไม่แน่นอนหรือความหวาดกลัวก็เท่านั้น

ครุ่นคิดไปสักพัก หลินเจี๋ยก็ถามออกมา “อย่างนั้นแล้ว คุณคิดว่าพวกเขามีอำนาจจริง ๆ เหรอครับ ถ้าขาดพวกเขาไปแล้วคุณจะอยู่ไม่ได้เลยรึเปล่า การหาช่องทางให้ตัวเองต้องผ่านพวกเขาอย่างเดียวจริงหรือเปล่าครับ”

“ลองคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้สิ คาดการณ์ถึงอนาคตที่เป็นไปได้สิครับ แล้วมาคิดถึงสถานการณ์ของคนอย่างคุณดู คุณจะรู้ว่าผมไม่ได้พูดเพื่อทำให้คุณกลัว ไม่ได้ต้องการยุยงคุณด้วย ผมแค่หวังว่าคุณจะเลือกทางที่ซื่อตรงต่อตัวเองได้ก็เท่านั้นครับ”

แอคเกอร์แมนรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมา ร่างทั้งร่างของเขาแข็งทื่อ

บรรยากาศวันนี้ช่างมืดมนชวนท้อแท้ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีเปลวไฟลุกโหมอยู่ในใจ

ทั้งที่เขาเสียดสีด่าทอสมาคมแห่งสัจธรรม จิตสำนึกเขากลับมองว่าสมาคมแห่งสัจธรรมคือผู้มีอำนาจเด็ดขาดไปแล้ว

แต่ในความเป็นจริง พวกเขาไม่ได้สนใจนักล่าด้วยซ้ำ เผลอ ๆ เมื่อนักล่ามายื่นเรื่องประเมินอย่างเป็นทางการ คนของสมาคมฯ คงจะหัวเราะเยาะอีก

นักล่าแค่ต้องการการยอมรับจากตัวพวกเขาเองและนักล่าคนอื่น แล้วเหตุใดจึงต้องถูกคนอื่นกุมชะตาไว้ด้วยเล่า

มีแค่ทางนี้เท่านั้น ที่นักล่าจะมีวันยืดหยัดได้!

แม้ว่าตัวตนและเจตนาของเจ้าของร้านหนังสือจะยังไม่เคลียร์เท่าไร แต่ทุกอย่างที่เขาพูดถือว่ากระจ่างแจ้ง

แอคเกอร์แมนตั้งมั่นและเอ่ย “ผมเข้าใจแล้วครับ…ที่คุณอยากจะสื่อคือทางออกนั้นผมต้องหาเอาเอง เราต้องพึ่งพาตัวเองสินะครับ”

‘หืม? ตัดสินใจง่าย ๆ งี้เลยเรอะ’

ลูกค้าคนนี้อยู่ในวิกฤติของวัยกลางคนก็จริง แต่ดูแล้วเขาก็มีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ ยอมดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อไปสู่เส้นทางใหม่สินะ

หลินเจี๋ยแอบประหลาดใจไปบ้าง แต่สถานการณ์ยังควบคุมได้อยู่

เขามีเทคนิคเยียวยาจิตใจเก็บไว้ใช้เป็นกระบุงกับทุกเส้นทางที่อีกฝ่ายเลือก…ใช่แล้ว ทุกอย่างจนถึงตอนนี้เป็นแค่การพูดคุยกันธรรมดา ๆ

หากมองลึกลงไป สิ่งที่หลินเจี๋ยแสดงออกมาเป็นเพียงการตอบโต้อันเลือนรางโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่เขามี

จะถูกตีความอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของอีกฝ่าย

ต่างคนต่างจิตย่อมมีต่างคำตอบ เส้นทางที่พวกเขาเลือกเป็นของพวกเขา และในความเป็นจริงก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลินเจี๋ยเลยสักนิด

ถึงสุดท้ายแล้ว พวกเขาจะเชื่อคำพูดหลินเจี๋ย แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับรู้คือความปรารถนาของตัวพวกเขาเอง

หลินเจี๋ยกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มใจเย็นเหมือนเดิม

“บางทีการประนีประนอมจนตาบอดก็ไม่ได้ทำให้พบกับความสงบที่คุณตามหา แต่ทำให้คุณดูอ่อนแอรังแกง่ายนะครับ”

“พลังของคุณอาจไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา แต่คุณก็ไม่ได้ตัวคนเดียว คุณยังมีเพื่อนพ้องให้ร่วมมือกันอยู่ครับ และอาจเป็นการลองอะไรใหม่ ๆ ด้วยรึเปล่านะ? แน่นอนครับว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ ลองคิดดูดี ๆ เอาให้มั่นใจว่าคุณจะไม่เสียใจภายหลัง”

แอคเกอร์แมนดูจะรู้แล้วว่าเจตนาที่แท้จริงของเจ้าของร้านหนังสือคืออะไร

กำลังคิดจะปลุกความขัดแย้งระหว่างนักล่าและสมาคมแห่งสัจธรรม เพื่อให้อำนาจของสมาคมฯ ถดถอยลงชัด ๆ!

แน่นอนว่าการเล่นกับจิตใจคนและยุยงปลุกปั่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความบันเทิงเริงใจของปีศาจ

ทว่าความคิดที่ปีศาจกำลังปลูกฝังลงไปในหัวของเขามันช่าง…น่าตื่นเต้นนัก

แอคเกอร์แมนไม่รู้เลยว่าอะไรถูกเจ้า ‘ดอกไม้’ นั่นสูบไป แต่เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าอาจเป็นความปรารถนาส่วนหนึ่งของเขา

เนื่องจากความปรารถนาที่ถูกเจ้าของร้านหนังสือแทรกแซง คือการทำให้ผลประเมินระดับภัยพิบัติเสร็จสมบูรณ์

ตอนนี้เขากลับไม่สนใจไยดีกับการได้รับการยอมรับจากสมาคมฯ นั่นเลยสักนิด

กลับกัน เขาในตอนนี้ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะไม่เสียใจและชูธงซึ่งเป็นของเหล่านักล่า…นี่กลายเป็นสิ่งที่เขาโหยหามาโดยตลอดเสียแล้ว

แอคเกอร์แมนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบ “ผมรู้ดีครับว่ามันเสี่ยงมาก แต่…ผมอยากทำจริง ๆ น่ะสิ ผมเป็นบ้าไปแล้วแหง ๆ”

หลินเจี๋ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ผมมีลูกค้าคนหนึ่งชื่อจี้จือซู่อยู่ครับ ไว้ผมจะแนะนำคุณให้เธอรู้จัก บางทีเธออาจจะช่วยคุณได้”

ในฐานะลูกสาวคนเดียวของเจ้าของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์แล้ว การหางานให้คงไม่ใช่คำขอที่ยากอะไรขนาดนั้นสำหรับคุณหนูจี้หรอก