ตอนที่ 86 หม้อที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า
ในบ่ายวันอาทิตย์ที่มีแสงแดดของฤดูใบไม้ผลิอันสดใส มู่เถาเยาและถุงลมน้อยกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน
ตอนนี้คนตัวเล็กไม่ใช่แค่เสื้อผ้าเปียกโชกแล้ว แต่ผมของเขาก็ยังเปียกด้วย
มู่เถาเยาอุ้มเขาขึ้นจากลำธาร เปลี่ยนเสื้อผ้า และเช็ดผมให้เขา
ต่อให้กลับไปแล้วจะต้องเป็นหวัด แต่การปล่อยให้เขาได้มีความสนุกสนานแบบเด็กๆ ที่ควรจะมีมันก็คุ้มค่า
โลกนี้แตกต่างจากชีวิตก่อนของเธอ โรคหวัดเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่แก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการฉีดยา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพรากความสนุกของเด็กๆ ไป
อันเหยี่ยตัวน้อยยังโชคดีกว่าเยี่ยนหังมาก
เยี่ยนหังไม่มีวัยเด็ก เพราะเธอต้องฝึกสอนเขาถึงวิธีการดูแลปกป้องตัวเองจากผู้คน
ในวังหลวงที่ซึ่งกระดูกของพวกเขาจะถูกทุบแหลกเป็นชิ้นๆ หากไม่ระวัง พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเรียนรู้เอาไว้
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ อันเหยี่ยก็กอดต้นขาของเธอแน่น “พี่สาว พรุ่งนี้มาเล่นด้วยกันอีกนะครับ”
“ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้พี่ต้องไปมหา’ลัย”
อันเหยี่ยกะพริบตาปริบๆ
“หลายวันมานี้อันเหยี่ยได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมบ้างคะ”
“ยอมรับข้อเสนอแนะอย่างกว้างขวาง…ปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณอย่างดี…ปรับปรุงกลไกให้สมบูรณ์ครบถ้วน…คิดให้กระจ่าง…รู้จักใช้คนให้เป็นประโยชน์…ปกครองไม่ก้าวก่าย…เรียนรู้จากประวัติศาสตร์…”
อันเหยี่ยโคลงหัวไปด้วยขณะที่เขาพูดสิ่งที่เขาท่องจำ เป็นภาพที่น่ารักจนแทบจะระเบิด!
สีหน้าของมู่เถาเยานั้นแทบจะบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้
หลังจากชมเชยเด็กน้อยแล้ว เธอก็มองไปที่ตี้อู๋เปียนที่อยู่ข้างๆ
คนบางคนรู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย
“แค่ก เขาจะต้องเรียนมันไม่ช้าก็เร็ว”
“พ่อเขายังไม่ได้ขึ้นรับตำแหน่งต่อเลย คุณใจร้อนเกินไปแล้ว!” ขนาดองค์ชายในสมัยโบราณยังไม่มีใครเริ่มเรียนศาสตร์แห่งการเป็นราชาตั้งแต่อายุสามขวบเหมือนตี้อันเหยี่ยสักคน
ตี้อู๋เปียน “…”
ดูสิ่งที่เธอพูดเข้าสิ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาต้องการชิงบัลลังก์!
“เขาเพิ่งอายุสามขวบ จะฟังเข้าใจได้ยังไง”
“ฟังมากๆ เข้าเดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
“งั้นตอนที่คุณอายุสามขวบ คุณก็เริ่มเรียนพวกนี้แล้วเหมือนกันเหรอ”
“…อันเหยี่ยไม่เหมือนกับฉัน เขาคือคนที่จะขึ้นเป็นราชาของประเทศในอนาคต” เขาจะไม่มีวันยอมรับต่อหน้าเธอเด็ดขาดว่าตอนที่เขาอายุสามขวบ เขายังร้องเพลงและเต้นตามที่คุณครูอนุบาลสอนอยู่เลย!
มู่เถาเยาโคลงศีรษะของคนตัวเล็กเบาๆ คุกเข่าลงแล้วถามเขาว่า “อันเหยี่ยชอบอะไรเหรอคะ”
“พี่สาว!” เสียงเล็กๆ ดังลั่น!
มู่เถาเยาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“แล้วนอกจากพี่สาวล่ะคะ หนูยังชอบอะไรอีก”
“จับปลา!”
“…” โอเค
เธอจะเอาอะไรกับเด็กอายุสามขวบ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า ‘ชอบอะไร’ ที่เธอถามหมายถึงอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศาสตร์แห่งการเป็นราชาที่ตี้อู๋เปียนสอนเขาเลย
อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้มีความจำที่ดีมาก เขาสามารถจดจำทุกสิ่งที่เรียนรู้ได้
ได้แต่หวังว่าในอนาคตเขาจะยังคงจำมันได้ เพื่อที่เขาจะได้ย่อยสลายและทำความเข้าใจมันอย่างช้าๆ เมื่อเขาโตขึ้น
มู่เถาเยายืนขึ้น จูงมือคนตัวเล็กแล้วพูดว่า “ไปเก็บส้มที่ภูเขากันเถอะ”
“โอเคๆ”
มู่เถาเยาหยิบตะกร้าใบเล็กแล้วจูงคนตัวเล็กมุ่งหน้าไปยังทิศทางของภูเขา
ตี้อู๋เปียน “…” นี่พวกเธอจะลืมฉันแบบนี้ไม่ได้นะ!
ช่างเถอะ เขาตามไปเองดีกว่า
เมื่อมู่เถาเยาได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินตามมาเธอก็หันศีรษะกลับไปและสั่งว่า “ตี้อู๋เปียน นอนอาบแดดของคุณไป คุณแค่ต้องได้รับแสงแดดที่เพียงพอ หรือไม่จะไปนั่งดื่มชากับพวกปู่ย่าก็ได้”
ผู้เฒ่าหลายคนกำลังดื่มชา พูดคุย และรับประทานของว่างกันริมทะเลสาบ
ตี้อู๋เปียน “…”
“ทุกคนเองก็กลับไปเถอะ ไม่ต้องตามเรามาหรอก อีกเดี๋ยวฉันจะใช้วิชาตัวเบาพาอันเหยี่ยกลับไปเอง”
บอดี้การ์ดที่ไม่รู้ทักษะวิชาตัวเบามองตามแผ่นหลังของคนตัวใหญ่และคนตัวเล็กด้วยสายตาอิจฉาในขณะที่พวกเขาเดินจากไป
ไม่รู้ว่าตอนนี้ขอกราบอีกฝ่ายเป็นอาจารย์เพื่อเรียนรู้วิชาตัวเบาในตำนานจะยังทันหรือเปล่า
แค่กระโดดฟิ้วเดียวก็บินขึ้นตึกสูงเกินสิบเมตรได้ในชั่วพริบตา นั่นมันเจ๋งมาก!
ตี้อู๋เปียนมองไปที่บอดี้การ์ดที่หันหลังและกลับเข้าไปในรถ
บอดี้การ์ด “…” ไม่ใช่พวกเขาที่ห้ามไม่ให้นายน้อยติดตามไปสักหน่อย!
นายน้อยถ้าคุณมีความกล้า คุณก็ไล่ตามหมอเทวดาตัวน้อยไปสิ!
ฮึ่ม!
บอดี้การ์ดบางคนยังคงรออยู่ข้างหลังเหล่าผู้อาวุโส ขณะที่บางคนก็ติดตามตี้อู๋เปียนกลับคฤหาสน์หลัก
ไป๋เฮ่าอวี๋รู้สึกมีความสุขมากเมื่อมองเห็นใบหน้าบูดบึ้งของตี้อู๋เปียน!
เขาพบว่าทุกครั้งที่หมอเทวดาน้อยมา นายน้อยของเขาจะกลายเป็นเด็กน้อยโดยสมบูรณ์ ไม่มีมาดของบอสผู้โหดร้ายและเอาแต่ใจเหลืออีก!
ลองคิดดูสิ เขาคือเจ้านายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังบริษัท องค์กรที่มีชื่อเสียงและกองกำลังลับที่ไม่เปิดเผยชื่ออีกหลายแห่ง หายากแค่ไหนที่จะได้เห็นเขาในสีหน้าแบบนี้
ในเวลาปกติ ด้วยไอคิวของเขามักจะบดขยี้ความมั่นใจของทุกคนอย่างราบคาบ ทำให้พวกเขาสงสัยในชีวิตตัวเองและต้องกลับไปนอนคลุมโปงร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มหลายร้อยครั้ง
แต่พอหมอเทวดาน้อยปรากฏตัวต่อหน้าเขาเท่านั้น เขาก็จะเริ่มทำพฤติกรรมเหมือนกับเด็กๆ และชอบรับบทอาจารย์รังแกอันเหยี่ยอยู่ร่ำไป
“นายน้อย คุณกลัวหมอเทวดาน้อยอยู่บ้างสินะครับ” ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เห็นสถานการณ์แบบนี้ ไป๋เฮ่าอวี๋ย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่จะกลั่นแกล้งเขา
“ไร้สาระ! สาวน้อยคนหนึ่งจะเอาอะไรมาให้ฉันกลัว! ไม่สิ บนโลกนี้มีคน เรื่องไหน หรือสิ่งใดที่ฉันกลัวด้วยเหรอ”
“มี!”
“ว่ามา!” ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าตัวเองกลัวอะไร
“กลัวตาย!”
บอดี้การ์ดสองคนที่เบาะหน้าหัวเราะออกมาดังลั่น
“…ฉันว่าพวกนายต่างหากที่รนหาที่ตาย อยากลองดูสักหน่อยไหม!”
“แค่กๆ …ขอบคุณ แต่พวกเราเองก็กลัวตายเหมือนกัน…” ไป๋เฮ่าอวี๋ยกธงขาวยอมแพ้อย่างขี้ขลาด
ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวสักหน่อย!
บอดี้การ์ดสองคนยักไหล่และกลั้นหัวเราะ
ตี้อู๋เปียนแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา
หลังกลับมาที่คฤหาสน์หลัก ตี้อู๋เปียนก็เข้าไปสะกิดดอกฉยงฮวาที่อยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นหลัก
ดอกฉยงฮวา “…”
ดอกไม้อยู่ของดอกไม้ดีๆ จู่ๆ หม้อก็หล่นลงมาจากสวรรค์!
“ฉันจะขึ้นไปอ่านหนังสือที่ชั้นบน ถ้าพวกเขากลับมาแล้วก็ขึ้นไปเรียกฉันนะ” ตี้อู๋เปียนอุ้มกระถางดอกฉยงฮวาเดินขึ้นบันไดไป
ไป๋เฮ่าอวี๋ตามหลังเขาไป “ผมจะไปกับคุณ”
“ไม่จำเป็น”
เขามีเรื่องต้องพูดกับดอกฉยงฮวาเป็นการส่วนตัว จะปล่อยให้คนอื่นตามมาได้ยังไง
“…เอางั้นก็ได้ครับ ถ้ามีอะไรให้กดกริ่งเลยนะครับ” ไป๋เฮ่าอวี๋พิจารณาสีหน้าของตี้อู๋เปียน เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงไม่ยืนกรานดื้อรั้นตามไปให้ได้
มีกริ่งอยู่ในทุกจุดและทุกมุมของบ้าน จุดประสงค์คือเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับตี้อู๋เปียนอย่างกะทันหัน เอาไว้ใช้โทรออกในกรณีที่เขาเปล่งเสียงเรียกออกมาไม่ได้
“นายน้อย คุณคงไม่ได้คิดจะแอบออกกำลังกายอีกใช่ไหม!” จู่ๆ ไป๋เฮ่าอวี๋ก็เตือนเสียงดังลั่น
ตี้อู๋เปียนแทบจะลื่นล้มหัวฟาดบันไดกับคำถามที่เจ็บปวดนี้!
เขาหันหน้ากลับไปและพูดอย่างชั่วร้ายว่า “ลืมทุกสิ่งที่พวกนายเห็นไปซะ ถ้าใครกล้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกแม้แต่ครั้งเดียวเตรียมถูกหักเงินเดือนทั้งปีได้เลย!”
นี่คืออันดับที่หนึ่งในลิสประวัติศาสตร์อันดำมืดของเขาตั้งแต่เล็กจนเติบโต และมันจะเป็นลิสสุดท้ายด้วย!
ทุกคนในห้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเองด้วยความสยดสยอง
นายน้อยโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
ตี้อู๋เปียนพึงพอใจอย่างมากและเดินขึ้นบันไดไป
เขาเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ปิดประตู
กระถางดอกฉยงฮวาถูกนำไปวางไว้บนเก้าอี้ที่ถูกตั้งชิดกับหน้าต่างห้องด้านหนึ่ง
“เสี่ยวฉยง แกถามพวกมันให้หน่อยสิว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่”
“พวกเขา? ใคร? คุณปู่กับคุณย่าเหรอ”
ดอกฉยงฮวาเรียกทุกคนตามคำเรียกขานของตี้อู๋เปียน
“ซาลาเปาน้อยและอันเหยี่ย ถามให้หน่อย ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหนแล้ว กำลังทำอะไรอยู่ กำลังเก็บส้มอยู่หรือเปล่า”
ดอกฉยงฮวา “เจ้านายไม่ใช่ว่าก็ออกไปพร้อมกับพวกเขาเหรอ ทำไมไม่กลับมาด้วยกันล่ะ”
“ทำไมพืชอย่างแกถึงได้พูดมากขนาดนี้! ฉันบอกให้ถามก็ถามเร็วเข้าสิ!”
“เจ้านาย รู้ใช่ไหมว่าพฤติกรรมแบบนี้คือกำลังเฝ้าจับตาซาลาเปาน้อยอยู่น่ะ แบบนี้ไม่ดีเท่าไรมั้ง”
“อะไรคือเฝ้าจับตา! แกไม่รู้อะไรก็อย่าได้พูดไร้สาระ!”
“งั้นข้าไม่ถามแล้ว!”
ตี้อู๋เปียนขู่ว่า “เชื่อไหมว่าถ้าแกยังขืนชักช้าอยู่อีกวินาทีเดียวแกได้ลงไปนอนอยู่ในหม้อต้มยาแน่”
ดอกฉยงฮวา “…”
ตั้งแต่น้าเล็กอวิ๋นต้มสมุนไพรให้เจ้านายดื่ม พักหลังมานี้เจ้านายมักขู่เอาชีวิตแบบนี้ตลอดเลย!
ชีวิตนี่มันยากจริงๆ !
ฮึกๆๆ …
“เร็วเข้า!”
“เจ้านาย ทำไมท่านถึงไม่ถามเองล่ะ ไม่ใช่ท่านไม่รู้วิธีสื่อสารกับพืชชนิดอื่นสักหน่อย!”
“ถ้างั้นฉันเลี้ยงแกไว้ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก สวยก็ไม่สวย ประโยชน์ก็ไม่มี แถมยังช่วยหาข้อมูลอะไรไม่ได้เลย แม้แต่คนคนหนึ่งยังรู้ว่าควรศึกษาให้มากกว่านี้เพราะตัวเองน่าเกลียด! แล้วแกล่ะน่าจะรู้อยู่แก่ใจใช่ไหม”
ดอกฉยงฮวาเขย่ากิ่งเรียวของมันอย่างเมามัน “เห็นไหมว่าข้าพอจะโจมตีได้อยู่บ้าง!”
“เหอะ แกคงอยากลงไปนอนอยู่ในหม้อต้มยามากสินะ!” ตี้อู๋เปียนทำท่าจะถอนมันออกจากกระถางคริสตัล
“ถาม ข้าจะถาม!”