บทที่ 91 มาถึงเทศมณฑล

บทที่ 91 มาถึงเทศมณฑล

“หล่อจัง”

“อาจารย์อู๋แข็งแกร่งมาก”

“อาจารย์อู๋ฝึกยังไงกัน? ทำไมถึงเก่งได้ขนาดนี้เนี่ย?”

ภายหลังพี่หนิวนำกลุ่มคนจากไป บรรดานักศึกษาที่ยืนรับชมอยู่ต่างอุทานกันออกมา

แท้จริง ตอนที่อู๋ฝานลงมือ เหล่านักศึกษาต่างตกอยู่ในอาการตื่นตกใจ จนกระทั่งอู๋ฝานจัดการพี่หนิวและพรรคพวกเรียบร้อย ตอนนั้นเองที่พวกเขาเพิ่งดึงสติกลับคืนจากอาการตื่นตกใจ

เดิมนั้น ยามพวกเขาพบเห็นพี่หนิวและพรรคพวกก็คิดแล้วว่าอู๋ฝานจะต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพียงแต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าอู๋ฝานจะจัดการพวกเขาได้โดยลงมือเพียงไม่กี่ครั้ง ต่อหน้าอู๋ฝาน ไม่มีใครตอบโต้ได้เลยด้วยซ้ำไป

อู๋ฝานไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องชวนประหลาดใจ ที่แท้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาอวดดีจนเกินตัว แต่เป็นเพราะแข็งแกร่งอย่างแท้จริงต่างหาก

“แยกย้ายครับ แยกย้าย” อู๋ฝานยิ้มให้ทุกคน “ใครต้องการสั่งบาร์บีคิวเพิ่มอีกบ้าง ถ้าหากไม่สั่ง ก็ขอให้หลีกทางด้วยนะครับ”

อู๋ฝานไม่คิดอยากเป็นวานรในสวนสัตว์ให้ผู้คนรับชมอยู่นาน

“ฉัน ฉันเอา!”

“ทางนี้ก็อยากกินต่อเหมือนกัน”

นักศึกษาหลายคนที่ตอนแรกคิดว่าพอทานแล้วจะกลับ ตอนนี้เกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน จนสั่งบาร์บีคิวเพิ่มกันอีกรอบหนึ่ง เพื่อจะได้พูดคุยกับอู๋ฝานอีกสักหลายคำ รวมถึงได้สอบถามว่าทำไมถึงได้สู้เก่งถึงขนาดนี้

ข่าวคราวของที่นี่ รวมถึงวิดีโอการต่อสู้เมื่อครู่ ทั้งหมดถูกถ่ายและส่งต่อไปยังกระดานสนทนาของมหาวิทยาลัยโดยฝีมือเหล่านักศึกษา ทำให้อีกหลายคนได้ทราบเรื่อง พร้อมกับต้องนึกทึ่งกับความสามารถของอู๋ฝาน

“เฟยเฟย ไม่นึกเลยว่าแฟนเธอจะแข็งแกร่งแบบนี้” เสี่ยวอวิ๋นยามได้เห็นอู๋ฝานเล่นงานกลุ่มคนที่พี่หนิวพามาอย่างอยู่หมัด จึงทั้งประหลาดใจและนึกอิจฉา

“ขอพูดอีกครั้ง ฉันบอกแล้วว่าเขาไม่ใช่แฟนของฉัน เมื่อคืนพวกเธอเกือบจะทำฉันต้องอับอายขายหน้าแล้ว” เยี่ยเฟยเฟยบอกพลางเหม่อมองรูมเมท

“ก็ได้ ไม่พูดแล้วก็ได้” ภายหลังเกิดเรื่องราวเมื่อคืน เยี่ยเฟยเฟยจึงต้องอธิบายวนซ้ำอยู่หลายครั้ง เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวหรูจึงค่อนข้างเชื่อคำของเยี่ยเฟยเฟยขึ้นมาบ้าง “แต่ว่านะ อาจารย์อู๋ก็หล่อขนาดนั้น เธอไม่คิดเก็บไปพิจารณาหน่อยเหรอ?”

“เธออยากจีบก็เอา ฉันไม่” เยี่ยเฟยเฟยตอบกลับ

“ต่อให้เข้าหา ฉันก็ไม่เข้าตาอาจารย์อู๋หรอก” เสี่ยวอวิ๋นตอบกลับ “แต่ไม่ใช่กับเธอ ถ้าเธอขยับเข้าหา ยังไงก็ต้องชนะ ไม่ใช่ว่าความรักระหว่างศิษย์และอาจารย์จะเป็นสัมพันธ์สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทั้งยังแสนโรแมนติกหรอกเหรอ?”

“โรแมนติกกับเธอน่ะสิ” เยี่ยเฟยเฟยตอบกลับ “ถ้าทางมหาวิทยาลัยทราบเข้า เขาก็ถูกไล่ออก ฉันก็ถูกไล่ออกด้วย”

“เธอกังวลเรื่องนี้นี่เอง” เสี่ยวอวิ๋นตอบรับ “งั้นถ้าไม่พูดแล้วเก็บไว้เป็นความลับล่ะ? แค่คิดก็ชวนตื่นเต้นแล้ว”

“ฉันไม่ได้หมายความถึงแบบนั้น” เยี่ยเฟยเฟยตอบกลับ “จะอะไรก็ช่าง สำหรับพวกเรามันเป็นไปไม่ได้”

“ก็อาจไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว” เสี่ยวอวิ๋นตอบรับ “สัญชาตญาณของฉันกำลังบอก ว่าระหว่างเธอกับอาจารย์อู๋ ภายหน้าจะต้องมีอะไรเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”

“สัญชาตญาณเธอผิดแล้ว” เยี่ยเฟยเฟยท้วง

“จะจริงเร้อ~? พวกเราจะรอดูแล้วกัน” เสี่ยวอวิ๋นตอบรับ

ตอนที่หลายคนในหอพักของเยี่ยเฟยเฟยพบเห็นวิดีของอู๋ฝาน หลิวเหยียนเอ๋อร์และถังอวี่เฟยก็ได้เห็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ ตอนที่พวกเธอได้เห็นวิดีโอของอู๋ฝาน อาการตอบรับไม่ใช่เหมือนดังเยี่ยเฟยเฟยและคนอื่น ที่เป็นการรับชมด้วยความตื่นเต้น ทว่าเป็นการรับชมอย่างจริงจังด้วยสีหน้าครุ่นคิด

อู๋ฝานและหลิวอี้เตายังต้องยุ่งอยู่ต่อเนื่อง จนกระทั่งตีหนึ่ง จึงเริ่มเก็บร้านแผงลอยเตรียมเดินทางกลับ เพราะทั้งสองเตรียมการในช่วงบ่ายได้พร้อม ดังนั้นวันนี้จึงขายได้โดยไม่มีวัตถุดิบขาดช่วง

ภายหลังเก็บล้างเรียบร้อย อู๋ฝานจึงมาปรากฏตัวในอีกโลกหนึ่งอีกครั้ง

เมื่อกลับมายังอีกโลกหนึ่ง เขาก็ต้องเร่งรีบเดินทาง จนกระทั่งช่วงกลางวัน อู๋ฝานจึงมาถึงเมือง

“ที่นี่เทศมณฑลอย่างนั้นเหรอ? ค่อนข้างคล้ายเมืองโบราณของจีนพอสมควร” เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าประตูเมือง อู๋ฝานจึงถอนหายใจ สายตามองสองตัวอักษรที่เขียนไว้ด้านบนซุ้มประตู

ชิงหยวน!

เทศมณฑลชิงหยวนคือจุดหมายปลายทางของอู๋ฝาน เมืองแห่งนี้มีกำแพงเมืองที่สูงราวห้าถึงหกเมตร ทั้งยังมีคูน้ำนอกกำแพงเมืองกว้างกว่าสิบเมตร ประตูของเทศมณฑลกว้างมากพอ ที่จะให้รถลากสองคันสัญจรเข้าออกได้

ขณะเดียวกัน ที่ประตูเมืองยังมีทหารในชุดเกราะยืนทำหน้าที่เฝ้าคุ้มกัน

“ข้าว่าไม่ค่อยคุ้นหน้าเจ้านะ มีธุระอะไรกัน?” ขณะอู๋ฝานกำลังจะเดินผ่านประตูเมืองเข้าไป กลับต้องถูกทหารยามที่เฝ้าคุ้มกันประตูเรียกหยุดเพื่อพูดคุย

“ฉันมาจากหมู่บ้านเร้นลับ มาที่นี่เพื่อรับใช้กองทัพ” อู๋ฝานตอบกลับ

“หมู่บ้านเร้นลับ? มีที่แบบนั้นด้วย?” ทหารยามครุ่นคิดไปชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่คล้ายจะนึกออกว่ามีชื่ออย่างหมู่บ้านเร้นลับอยู่ด้วย

“เจ้าเพิ่งมาใหม่ ไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” ตอนนี้เองที่มีทหารชราก้าวเดินออกมา สำรวจมองอู๋ฝาน จากนั้นจึงเอ่ยคำถาม “เจ้ามาจากหมู่บ้านเร้นลับงั้นหรือ? ไม่พบเจอใครจากที่นั่นมาที่เทศมณฑลเนิ่นนานแล้ว”

“ใช่ครับ ฉันมาจากหมู่บ้านเร้นลับ” อู๋ฝานนำเอาหนังสือแนะนำออกมา ขณะเดียวกัน ตัวเขาก็นึกสงสัย หัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่นแทบไม่เคยมายังเทศมณฑลยาวนาน ก็พอเข้าใจจากความแก่เฒ่าของพวกเขา เพียงแต่คนหน้าเลือดแซ่หลิวไม่มาที่นี่ยาวนานแล้วหรือ? อย่างนั้นเขาซื้อของเข้าร้านอย่างไร? บริการจัดส่งถึงที่อย่างนั้นหรือ?

ทหารชราตรวจสอบหนังสือแนะนำของอู๋ฝาน สุดท้ายก็ไม่ได้สร้างความยากลำบากอะไรให้ แต่ชี้บอกทาง “จุดลงทะเบียนอยู่ที่ลานกว้างใจกลางเมือง ในช่วงสองวันมานี้ มีคนจากหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียงเดินทางมา ไว้ไปถึงที่นั่นจะได้พบกับพวกเขาเอง”

“ขอบคุณครับ” อู๋ฝานรับหนังสือแนะนำกลับมาพร้อมตอบขอบคุณ

ทหารคนนั้นไม่ได้หลอกลวงอะไรอู๋ฝาน ตอนที่เข้ามาใกล้ลานกว้าง จึงได้เห็นผู้คนมากมายเร่งรีบเดินทางมาที่นี่ พวกเขามาพร้อมกระเป๋าแบกหามหลายใบ กระทั่งว่ามีทั้งอาวุธ รวมถึงชุดเกราะ

ก่อนหน้านี้อู๋ฝานได้ทราบจากหัวหน้าหมู่บ้าน ว่าทางราชสำนักไม่มีการแจกจ่ายอาวุธและยุทโธปกรณ์ใดให้ทหารเกณฑ์ชั่วคราวเช่นพวกเขา มีแต่กองทัพประจำการและทหารอาชีพจึงได้รับสิ่งเหล่านั้น

เพียงแต่ว่า ยังคงมีค่าตอบแทนและอาหารการกิน ส่วนจำนวนนั้น ย่อมน้อยกว่ากองทัพประจำการอย่างไม่ต้องสงสัย

มันคือความแตกต่างจากกองทัพประจำการและกองทัพจำเป็น

ด้วยเหตุนั้นแล้ว บรรดาผู้ที่มาเพื่อรับใช้กองทัพ หากต้องการเสริมความแข็งแกร่ง และเพิ่มอัตราการรอดชีวิต พวกเขาก็จำเป็นต้องเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ของตนเองมาให้พร้อมสรรพ มันจึงเป็นสาเหตุที่หัวหน้าหมู่บ้านเตรียมพวกมันเอาไว้ให้อู๋ฝาน

ทันทีที่อู๋ฝานมาถึงลานกว้าง เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คน ไม่ใช่เพราะพวกเขาทราบว่าอู๋ฝานเป็นผู้เล่นหรืออะไร รวมถึงไม่ใช่เพราะกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ของอู๋ฝาน แต่เป็นเพราะอุปกรณ์ที่สวมใส่

คนอื่นที่มารับใช้กองทัพ ต่างก็นำอาวุธและชุดเกราะอันเรียบง่ายมาใช้งาน กระบี่บางเล่มก็มีทั้งสนิมและรอยแตกร้าว ส่วนชุดเกราะก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ในส่วนของด้านที่พอจะมีความหรูหรา ในหนึ่งร้อยคนไม่มีแม้แต่คนเดียว

ขณะที่คนอื่นมีอุปกรณ์สวมใส่อันเรียบง่ายและธรรมดา อู๋ฝานกลับแต่งตัวเต็มตั้งแต่หัวจรดเท้า และอุปกรณ์สวมใส่เหล่านั้นเพียงมองก็ทราบได้ว่าไม่ใช่ธรรมดา จึงไม่แปลกหากว่าสายตาของทุกคนจะจับจ้องมา

แม้ว่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับการถูกฝูงชนจับจ้อง แต่อู๋ฝานก็ไม่ได้มีความคิดจะเก็บอุปกรณ์สวมใส่กลับไป หากว่าตัวเขาไม่สวมใส่เอาไว้ตอนนี้ ภายหน้าค่อยนำออกมาจะยิ่งลำบาก เพราะจะยากอธิบายว่าของเหล่านี้มาจากที่ใด คงจะบอกว่าเพราะแปลงร่างจึงมีชุดเกราะปรากฏขึ้นมาเองก็คงไม่ได้จริงไหม?