บทที่ 63 เกิดเรื่องขึ้น

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 63 เกิดเรื่องขึ้น

ซูฉางจิ่วกล่าวทันที “จะทำแบบนั้นได้อย่างไร พวกเราชาวเกษตรกรต้องมีจิตวิญญาณแห่งความบากบั่นสิ พึ่งพาคนอื่นไปตลอดไม่ได้หรอกนะ!”

หลังจากพูดไปแล้ว หัวหน้าหลัวไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาอ้าปากเหมือนจะพูด แต่สุดท้ายก็หมุนตัวเดินจากไป

เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาอีก

“หัวหน้าซู ผมได้ยินมาว่านักศึกษาจากชุมชนของคุณจะกลับไปในไม่ช้านะ!”

ว่าจบก็เห็นสีหน้าซูฉางจิ่วเปลี่ยนไปอย่างที่คาดไว้ แล้วชายชราถึงค่อยฮัมเพลงและเดินกลับไปยังกลุ่มของตน

เพราะประโยคนี้จึงทำให้ความสุขบนใบหน้าของซูฉางจิ่วแทบจะหายวับไป

เขาเคยคิดว่าคังอี้เยี่ยจะไม่กลับมาอีกแล้ว ทำไมจู่ ๆ ข่าวจึงแพร่สะพัดออกมาเช่นนี้ล่ะ?

ซูฉางจิ่วไม่คิดว่าหัวหน้าหลัวกำลังโกหกเขาด้วย เพราะมันไม่มีเหตุผลเลย

ตอนที่เดินกลับไปยังกลุ่มชุมชนการผลิตหงซิน ซูเหล่าซานเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีจึงเดินเข้ามาถาม

“เหล่าซาน ฉันได้ยินมาว่าคังอี้เยี่ยกำลังจะกลับมา”

เพียงประโยคเดียว ซูเหล่าซานที่กำลังกินแป้งทอดไส้กุยช่ายก็ตกใจเช่นกัน จนเกือบทำของกินในมือหล่นพื้น

“หัวหน้า ถ้าคนแบบนี้กลับไปชุมชนของเราจะไม่ยิ่งอึดอัดใจหรือ?” ซูเหล่าซานเงียบไปครู่แล้วถึงค่อยเอ่ยขึ้น

นั่นผู้หญิงคิดร้าย เพราะก่อนหน้านี้ไปเกี่ยวข้องกับคนที่ยังไม่ได้แต่งงานเลยปิดบังได้อยู่บ้าง แต่คราวนี้สร้างเรื่องไว้ใหญ่โตเลย คงจะเป็นคนที่ไร้ยางอายจริง ๆ

“ใครว่าไม่อึดอัดกันล่ะ” ซูฉางจิ่วที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

“หัวหน้า ไม่มีวิธีจะให้เธอไปอยู่ชุมชนอื่นแล้วหรือ?” ซูเหล่าซานรังเกียจคังอี้เยี่ยจริง ๆ เป็นความขยะแขยงที่เขาไม่อยากจะเห็นหรือได้ยินอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น

ซูฉางจิ่วส่ายหัวเล็กน้อย เดิมทีอีกฝ่ายมาจากชุมชนการผลิตหงซิน ถ้าไม่ต้องทำความสะอาดห้องน้ำต่อ อย่างไรเสียก็ต้องกลับมาอยู่ดี

“หัวหน้าครับ ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาก็ใช้ดินต้าน*[1] ไม่มีวิธีอื่นแล้วครับ” ซูเหล่าซานก็เกลียดคนนี้เช่นกัน แต่มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว เขาไม่สามารถพูดเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อปิดกั้นใจของซูฉางจิ่วได้

หลี่จู้จื่อบังเอิญอยู่ข้างซูเหล่าซานจึงพรวดเข้ามาถาม “เธอพ้นโทษแล้วหรือครับ ถึงได้ออกมาเร็วขนาดนี้น่ะ?”

น้ำเสียงของหลี่จู้จื่อตื่นเต้น ผู้หญิงคนนี้เกือบทำลายชีวิตของเขา ทำไมถึงออกมาเร็วนัก?

ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด!

“หัวหน้า ผมจะเข้าชุมชนใหญ่ไปฟ้องร้องเธอ!” หลี่จู้จื่อระงับอารมณ์ไม่ได้อีกแล้ว

ซูฉางจิ่วรีบกล่าว “หลี่จู้จื่ออย่าเพิ่งผลีผลาม คุณไปฟ้องร้องตอนนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

ถ้าออกมาเร็วขนาดนี้คงไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่ผู้หญิงคงใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน

ถ้าหลี่จู้จื่อประมาท มันจะเป็นการทำลายตัวเองด้วยซ้ำ

“ผมไม่เต็มใจเลย!” หลี่จู้จื่อตาแดงก่ำ

“ถึงไม่เต็มใจก็ทำอะไรไม่ได้ กลับไปผมจะไปถามให้แล้วกัน” ซูฉางจิ่วว่า

“ตกลงครับ หัวหน้าชุมชน รอเราจ่ายปันส่วนสาธารณะเสร็จแล้วกลับไปชุมชนก่อนเถอะ คุณจะได้ถามข่าวได้” ซูเหล่าซานพูดแล้วดึงหลี่จู้จื่อ “จู้จื่อ เราอย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย ต่อให้เธอกลับไปชุมชนการผลิตหงซินของเราได้ แค่ทำเป็นไม่เห็นเธอก็พอ!”

หลังจากที่ซูฉางจิ่วเดินจากไป อารมณ์ของหลี่จู้จื่อก็ดิ่งวูบ

“พี่สาม พี่ว่าตัวหายนะเช่นนั้นทำอย่างไรถึงกลับไปได้กัน? ทำไมไม่ให้อยู่ขัดห้องน้ำไปตลอดชีวิตเลย” หลี่จู้จื่อไม่เข้าใจ ใบหน้าของชายชาตรีเต็มไปด้วยความข้องใจ

“ใครว่ากลับไปไม่ได้ล่ะ ไม่รู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนี้จะใช้วิธีการอะไรอีก แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรไป ถ้าเธอกลับไปจริง ๆ ต้องระวังสักหน่อยแล้ว” ซูเหล่าซานบอกหลี่จู้จื่อ

คังอี้เยี่ยกลับไปตัวเปล่า คาดว่าสิ่งแรกที่เธอทำคือการแก้แค้นเขาทั้งสองคน

สุดท้ายแล้วหายนะครั้งนี้ก็เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองคน

ถึงคังอี้เยี่ยจะผิดตั้งแต่แรก แต่ซูเหล่าซานคิดว่า คนแบบนี้ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดหรอก รู้สึกเพียงแค่ว่าคนอื่นทำผิดต่อเธอ

คงเป็นแบบนี้ ถ้าเขาถูกหลอกก็คงไม่มีเรื่องราวหลังจากนี้เกิดขึ้นหรอก!

หลี่จู้จื่อพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วพี่สาม!”

“จู้จื่อ พักหน่อยเถอะ! ฟ้าสว่างแล้วยังต้องออกแรงอีก”

เพราะยังมีเวลาก่อนรุ่งสาง และในไม่ช้าพวกเขาก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

กลับกันแล้วซูฉางจิ่วแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เขาคิดไม่ตกว่าใครกำลังดูแลคังอี้เยี่ยอยู่

คังอี้เยี่ยสามารถเปลี่ยนไปอยู่ชุมชนอื่นได้ แล้วทำไมยังต้องกลับมาชุมชนการผลิตหงซินอีก?

เวลาแปดโมงเช้า ประตูสถานีอาหารเปิดออก

“ได้เวลาจ่ายปันส่วนสาธารณะแล้ว ชุมชนไหนเข้าแถวอยู่หน้าสุด?” พนักงานของสถานีอาหารตะโกนลั่น

“พวกเรา ๆ ต้องเป็นตงฟางหงอยู่แล้ว” หัวหน้าหลัวเสียบกล้องยาสูบไว้ที่เอว แล้วรีบก้าวไปข้างหน้า

ตอนนี้มีชุมชนเจ็ดถึงแปดกลุ่มมาเข้าแถวแล้ว หัวหน้าหลัวเป็นอันดับแรก ท่าทางของเขาภาคภูมิใจและหยิ่งผยองมาก เดินเท้าเป็นรูปเลขแปด (八) ราวกับวงศาคณาญาติทั้งหกไม่รู้จักความโอหัง

แต่พนักงานของสถานีอาหารไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนัก พูดเพียงเบา ๆ แล้วเริ่มชั่งน้ำหนัก

สถานีอาหารเป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ แม้แต่พนักงานยังเย่อหยิ่งกว่าที่อื่นเสียอีก

คนรับอาหารบนโลกใบนี้ ใครบ้างที่มีอาหารอยู่ในมือแล้วไม่มองต่ำบ้าง?

เป็นมานานแล้วที่พนักงานของสถานีอาหารคิดว่าตนเองสูงส่ง

แม้แต่ต่อหน้าผู้นำของชุมชน คนพวกนี้ก็ไม่มีความสุภาพ

ความหยิ่งผยองเดิมของหัวหน้าหลัวถูกน้ำเย็นสาดจนหายไปหมด ก่อนเขาจะเริ่มวางอาหารบนตาชั่งขนาดใหญ่อย่างเนือย ๆ

มีกล่องไม้ขนาดใหญ่วางบนตาชั่ง กล่องนี้บรรจุธัญพืชได้ครั้งละสามร้อยจิน หลังจากที่ใส่จนเต็มแล้วก็ต้องมีคนหนุ่มสาวที่แข็งแรงยกเพื่อเทใส่ในคลังเก็บเมล็ด

หัวหน้าหลัวอายุเลยหกสิบปีแล้ว จึงไม่สามารถทำงานที่ต้องใช้แรงเยอะได้

งานหลักของเขาคือชี้นิ้วสั่งคนหนุ่มสาวในชุมชน แต่ก็ยังยื่นมวนยาสูบที่ไม่เต็มใจสูบให้กับพนักงานด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน

เมื่อหัวหน้าหลัวเผชิญหน้ากับพนักงานไม่เห็นหัว เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตนที่สุดเท่าที่จะทำได้

ซูเหล่าซานมองจากที่ไกล ๆ “หัวหน้า พวกเราพร้อมหรือยัง?”

“พร้อมแล้ว!” นักบัญชีหลี่ตอบ

ก่อนเขาจะเหลือบมองซูเหล่าซาน “คุณไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สมควรคิดพิจารณาเรื่องนี้นะ!”

“ทุกคนต่างก็เป็นสมาชิกของชุมชนนะ มีแบ่งแยกด้วยหรือ?” ซูฉางจิ่วโกรธจัด

นักบัญชีหลี่งุนงงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากทำงานเป็นนักบัญชีมาสองสามปี ระบบราชการก็เริ่มจริงจังขึ้น

ซูเหล่าซานพลั้งปากถาม ทำไมเขาถึงถูกดุล่ะ?

นักบัญชีหลี่ไม่กล้าโกรธซูฉางจิ่ว และไม่กล้าที่จะโกรธซูเหล่าซานต่อหน้าอีกฝ่ายด้วย จึงทำได้เพียงจ้องมองเหล่าซานแล้วเดินไปอีกฝั่ง

ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นว่าอาหารของชุมชนตงฟางหงใกล้จ่ายปันส่วนเสร็จ ซูฉางจิ่วเลยทักให้คนของพวกเราเตรียมการ

“เหล่าพี่น้อง ถึงตาพวกเราแล้ว! ร่วมแรงร่วมใจกัน รอจ่ายปันส่วนเสร็จเมื่อไรจะได้กลับบ้าน พรุ่งนี้ก็แจกจ่ายอาหารได้แล้ว!”