บทที่ 435 ข้าพึงใจในชีวิตนี้แล้ว ถึงตายก็ไม่เสียดาย!

รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人

บทที่ 435 ข้าพึงใจในชีวิตนี้แล้ว ถึงตายก็ไม่เสียดาย!

หมอกเลือดทะยาน ร่างกายตงฟางเวิ่นระเบิดแหลกเหลวอีกครั้ง เขามิใช่คู่ต่อสู้เลย ทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันมากโข การโจมตีใดก็ตามของอสุรกายหัวกิเลนล้วนทำลายร่างกายตงฟางเวิ่นได้อย่างง่ายดาย

เทียนตี้ คือขั้นสูงสุดของขอบเขตมหาจักรพรรดิ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงจุดสูงสุดในเส้นทางบำเพ็ญของผู้ฝึกตน แม้ตงฟางเวิ่นยังมิได้ก้าวสู่ขั้นเทียนตี้ กระนั้นกายาของเขาก็ไปถึงแล้ว

ทันทีที่ก้าวสู่ขอบเขตนี้ ยากที่จะถูกคร่าชีวิตไป เทียนตี้ส่วนใหญ่ล้วนตายเพราะกาลเวลาเลยผ่าน น้อยนักจะถูกผู้อื่นสังหาร

อย่างเช่นตอนนี้

พลังปราณของตงฟางเวิ่นอ่อนแอลงถึงขีดสุด เลือนรางคล้ายจะสูญสิ้น ทว่าหมอกเลือดที่ระเบิดออกยังฝืนรวมตัวไว้ด้วยกัน หล่อหลอมเนื้อกายขึ้นมาใหม่

“กายเนื้อและวิญญาณล่วงหน้าเข้าสู่ขั้นเทียนตี้ไปก่อน น่าสนใจดีนี่…”

อสุรกายหัวกิเลนยิ้มเย็น “ทว่านั่นก็ไม่มีประโยชน์ อย่าว่าแต่ขอบเขตพลังของเจ้ายังไม่ถึงขั้นเทียนตี้เลย ต่อให้พลังของเจ้าไปถึงขั้นเทียนตี้ กลายเป็นเทียนตี้อย่างแท้จริง วันนี้เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี!”

เทียนตี้ยากจะคร่าชีวิต

แต่ก็ต้องดูว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ!

ตัวมันนั้นแข็งแกร่งสยดสยอง เคยฆ่าเทียนตี้มาแล้ว

“ตายเป็นตาย วันนี้ต่อให้ตายข้าก็ต้องหยุดเจ้าไว้!”

ตงฟางเวิ่นคำรามเสียงต่ำ บุกโจมตีออกไปอีกครั้ง

จะเห็นได้ว่า พลังการโจมตีของเขาในครั้งนี้มิได้ทรงพลังอย่างก่อนหน้า การถูกทำลายเนื้อกายถึงสองครั้งสร้างความเสียหายต่อเขาอย่างรุนแรง

กระนั้นเขาก็ไม่ยอมถอย ไม่คิดหันหลังวิ่งหนี

แม้ว่าด้านหลังของเขาคือเมืองชิงซาน คือท่านเซียน

แต่เขาก็มิได้วิ่งหนี ยังคงจู่โจมอสุรกายหัวกิเลน

นี่คือภารกิจที่ท่านเซียนมอบหมายให้เขา เขาจะยอมถอยได้อย่างไร

บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบจากท่านเซียน ทดสอบความภักดีของเขา!

ไม่มีผู้ใดอยากตาย เขาเองก็เช่นกัน

เขาอยากมีชีวิตอยู่

ความน่ากลัวของอสุรกายหัวกิเลนสร้างความหวาดกลัวต่อเขา จนเขาสะท้านใจ ไม่เห็นความหวังชนะสักนิด

ทว่าเขา…ไม่อยากหนี

เขาอยากติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียน!

ต่อให้เขาอาจคิดผิด อาจต้องชดใช้ด้วยชีวิต เขาก็อยากลองดูสักตั้ง

ได้มีโอกาสติดตามอยู่ข้างกายท่านเซียน ถือเป็นวาสนาสูงส่ง และเป็นโอกาสเดียวในชีวิตนี้ของเขา เขาไม่อยากเสียไป แต่อยากคว้าโอกาสนี้ไว้!

เพื่อโอกาสนี้ เขายินดีเดิมพันด้วยชีวิต!

พรวด!

โลหิตสาดกระจายออกคล้ายบุปผาเบ่งบาน เนื้อกายของเขาระเบิดอีกครั้ง เขากับอสุรกายหัวกิเลยมิได้อยู่ระดับเดียวกัน ห่างกันราวฟ้ากับดิน

ทว่าเนื้อกายเทียนตี้ก็คือเนื้อกายเทียนตี้ เขาหลอมรวมร่างกายอีกครั้ง มิได้สิ้นชีพลง

แต่พลังปราณของเขาอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ประกายที่เปล่งปลั่งอยู่รอบเนื้อกายก็มิได้สว่างไสวเท่าเดิม เริ่มหม่นหมองลง

“ฆ่า!”

สายตาของเขาแน่วแน่ พุ่งออกไปข้างหน้าอีกครั้ง ต่อให้เขารู้ว่าเขาไม่อาจต้านรับการโจมตีระดับนี้ได้มาก เขาก็ไม่เสียใจ มุ่งหน้าด้วยความอาจหาญ!

และไม่เหนือความคาดหมาย เนื้อกายของเขาระเบิดในทันที กลายเป็นหมอกเลือด

“โง่เขลานัก รู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้แต่ยังจะทำ ถือเป็นพฤติกรรมเบาปัญญาที่สุด เจ้าทำเช่นนี้รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้ตัวเองมากขึ้น เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้!”

อสุรกายหัวกิเลนมีสีหน้าเย็นชา “มิสู้เลือกยอมแพ้ ให้ข้าปลิดชีพเจ้าเสีย ปิดฉากความเจ็บปวดของเจ้าไปตลอดกาล!”

หมอกเลือดเคลื่อนไหว เนื้อกายตงฟางเวิ่นหลอมรวมอีกครั้ง

เขามิได้พูดจา พุ่งออกไปโจมตีอีกครั้ง!

อีกด้านหนึ่ง ต้นหลิวและก้อนหินเห็นทุกสิ่ง

“คนผู้นี้ใช้ได้เลย” ต้นหลิวเอ่ย

ตงฟางเวิ่นเอาชนะความกลัวในใจ มองข้ามความเป็นความตาย ไม่เคยยอมแพ้ถอดใจ ไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้

ถึงแม้มันจะรู้สึกว่าตงฟางเวิ่นไม่มีทางตาย และตงฟางเวิ่นก็อาจตระหนักถึงเรื่องนี้ดี กระนั้นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ผู้ใดกล้าฟันธงกันเล่า

เปรียบเสมือนปุถุชนคนหนึ่งต้องกระโดดลงจากผาสูงหมื่นจั้ง เจ้าบอกเขาว่าไม่มีทางตาย และปุถุชนผู้นี้ก็รู้ดีว่าเขาคงไม่ตาย กระนั้นจะมีสักกี่คนเลือกที่จะกระโดดกัน

ทุกเรื่องล้วนมีความเป็นไปได้ ถ้าเกิดตายขึ้นมาเล่า

น่ากลัวว่าคนส่วนมากมิกล้ากระโดด

“แล้วแต่บุญวาสนาจะนำพาเขาแล้วกัน…”

ก้อนหินเอ่ยจากด้านข้าง

พวกมันพอเดาได้ว่านี่คือบททดสอบตงฟางเวิ่นจากท่านเซียน พวกมันจึงล้มเลิกความคิดยื่นมือช่วย

พวกมันมิกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าก้าวก่ายเรื่องของท่านเซียน

พรวด! พรวด! พรวด!

อีกด้าน เนื้อกายที่หล่อหลอมขึ้นใหม่ของตงฟางเวิ่นแหลกเหลวอีกครั้ง เขาไม่ไหวแล้วจริง ๆ ความเร็วในการหล่อหลอมเนื้อกายชะลอลงเรื่อย ๆ พลังปราณก็ต่ำเตี้ยเสียจนดูไม่ได้ เบาบางยิ่งกว่าเปลวเทียนเสียอีก ราวกับแค่ลมโชยชายเบา ๆ ก็สามารถดับได้ทุกเมื่อ

เนื้อกายของเขาไม่เหลือประกายอีกต่อไป ตกขั้นจากเนื้อกายเทียนตี้ ปราศจากความแข็งแกร่งและกำลังวังชาที่เนื้อกายเทียนตี้พึงมี

เขาตระหนักถึงข้อนี้ดี ทว่าเขามิได้ถอย ยังคงย่างกรายไปข้างหน้าทีละก้าว

เรื่องเหนือความคาดหมายไม่เกิดขึ้นเหมือนเดิม

เนื้อกายของเขาระเบิดแหลกลาญอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ เขาไม่ไหวแล้วจริง ๆ ไม่อาจหลอมรวมหมอกเลือดได้อีก วิญญาณของเขาก็เต็มไปด้วยรอยร้าว ทลายอย่างรวดเร็ว

“ใกล้…ตายแล้วหรือ”

เขาส่งเสียงแผ่วเบา รู้สึกถึงความตายที่เข้ามาเยือน เขากำลังจะจบชีวิตลง หายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง

“ข้าคิดผิดไป หรือข้ายังไม่ผ่านบททดสอบของท่านเซียนกันแน่…”

เขาคิดในใจ ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย ตอนนี้ นอกจากรอคอยความตายเขาไม่สามารถทำสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

วิญญาณค่อย ๆ แหลกลาญไปทีละน้อย แม้แต่วิญญาณระดับเทียนตี้ยังต้านทานการโจมตีและการเผาผลาญอันน่าสยดสยองเยี่ยงนี้ไม่ไหว

เขาไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีก ไม่อาจหยุดยั้ง รอจนวิญญาณแหลกเหลวอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะตายไปอย่างสิ้นเชิง

“เจ้านี่ใช้ได้ ความไม่กลัวตายนี้ทำให้ข้าอยากให้โอกาสเจ้าสักครั้ง”

อสุรกายหัวกิเลนกล่าว “ขอเพียงเจ้ายอมศิโรราบต่อข้า ข้าช่วยรักษาชีวิตของเจ้าไว้ และคืนพลังให้เจ้าได้”

พลังของมันแกร่งกล้าน่าพรั่นพรึง ตราบใดที่มันอยาก มันช่วยรักษาสถานภาพวิญญาณที่กำลังแหลกเหลวของตงฟางเวิ่นได้ และยังช่วยฟื้นพลังอีกฝ่ายได้อีกด้วย

“เจ้า…คิดบ้าบออันใดอยู่!”

ชายชราเค้นแรงเฮือกสุดท้ายเอ่ยประโยคนี้ออกมา

หลังจากเขาส่งเสียง วิญญาณของเขาก็แหลกเหลวไวขึ้น ทลายไปแล้วกว่าครึ่ง

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ให้ทางรอดแก่เจ้า เจ้าไม่เอา ดึงดันจะตายให้ได้ เช่นนั้นเจ้าจงตายซะ!”

อสุรกายหัวกิเลนแค่นเสียงเย็น “ข้าจะส่งเจ้าไปสู่ที่ชอบเดี๋ยวนี้!”

มันอ้าปากคายลำแสงออกมา พร้อมด้วยคลื่นพลังอันน่าหวาดหวั่น ถล่มใส่วิญญาณของตงฟางเวิ่นในชั่วพริบตา

เสียงดังตู้ม วิญญาณของตงฟางเวิ่นถูกทำลายราบคาบ ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว

“จะตายแล้วหรือ ฮ่า ๆ ตายเป็นตาย ได้พบเซียนท่านหนึ่งก่อนตาย ซ้ำยังได้เล่นหมากกินข้าวดื่มสุรากับท่านเซียน ข้าพึงใจในชีวิตนี้แล้ว!”

นี่คือสติสุดท้ายของตงฟางเวิ่น

เขาจากไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีความสำนึกเสียใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขาดีใจมาก

ผู้ใดในโลกนี้เคยเห็นเซียนบ้าง?

เขาไม่เพียงแต่ได้เห็น ยังได้สัมผัสท่านเซียนอย่างใกล้ชิด เขาพอใจแล้ว ชีวิตนี้คุ้มค่าอย่างยิ่ง!

วิญญาณระเบิดแหลกลาญ ไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ทั้งสิ้น สติของตงฟางเวิ่นก็หายลับไปด้วย

“คนบ้ากระไร ไว้หน้าแล้วแต่ดันปฏิเสธ สมควรแล้วที่ต้องตาย!”

อสุรกายหัวกิเลนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน เรือนร่างมังกรใหญ่ยักษ์ว่ายไปข้างหน้า

มันคิดจะเข้าเมืองชิงซานไปหาหลิงอิน