ตอนที่ 341 – เตรียมออกเดินทาง
ในเมื่อตัดสินใจจะไปอวิ๋นจง โม่เทียนเกอในหลายวันนี้จึงยุ่งวุ่นวายขึ้นมา
อันดับแรก อาวุธเวทหลายชิ้นที่ได้รับจากในถ้ำพำนักของโม่เหยาชิงต้องหลอมใหม่ทีละชิ้น เช่นนี้เวลาต่อสู้จึงจะสามารถใช้งานได้ดังใจ อันดับที่สอง ทิ้งโอสถให้ฉินซีและประมุขเต๋าจิ้งเหออย่างเพียงพอ เผื่อใช้ในยามที่จำเป็น สุดท้าย ทำความเข้าใจอวิ๋นจงสุดความสามารถ
ฉินซีหยุดการกักตน เสาะหาบันทึกที่เกี่ยวกับอวิ๋นจงไปทั่วทุกที่ สิ่งที่เหนือคาดคือประมุขเต๋าเจิ้นหยางถึงกับรู้สถานการณ์ของอวิ๋นจง
“เจ้าคิดจะไปอวิ๋นจงหรือ” ประมุขเต๋เจิ้นหยางได้ยินเขาสอบถามสถานการณ์ของอวิ๋นจงก็ค่อนข้างประหลาดใจ
“อันนี้……” ฉินซีชะงักแล้วสารภาพว่า “เป็นเทียนเกอที่คิดจะไปอวิ๋นจงขอรับ”
“อ้อ?” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางไม่เข้าใจ “ไปอวิ๋นจงไม่ได้ง่ายเลย ทะเลใต้อันตรายถึงสิบส่วน อย่าเพิ่งพูดถึงนางที่เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน แม้แต่จิตวิญญาณใหม่ก็ไม่อาจข้ามทะเลใต้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้ซือฟุเจ้าก็ทราบ เหตุใดไม่ห้ามนาง”
ฉินซียิ้มเอ่ยว่า “เทียนเกอหาเส้นทางหนึ่งเจอ เดินทางจากทะเลตะวันออกสามารถไปถึงได้อย่างปลอดภัย”
“ถึงกับเป็นเช่นนี้?” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ่งประหลาดใจ พอครุ่นคิดแล้วก็ดีใจถึงสิบส่วน “นี่เป็นเรื่องดี อวิ๋นจงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของการฝึกเซียน หากสามารถไปท่องเที่ยวที่อวิ๋นจงสักรอบจะต้องมีประโยชน์! จริงสิ หากนางมั่นใจว่าเส้นทางนี้ปลอดภัย ภายหลังพวกเราสามารถให้ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานในโรงเรียนไปหาประสบการณ์สักรอบให้หมด พบปะสื่อสารกับผู้ฝึกเต๋าของอวิ๋นจง ยังมี ว่ากันว่าวัตถุดิบฝึกเซียนของอวิ๋นจงอุดมสมบูรณ์ถึงสิบส่วน หากชิงเวยไปแล้วสามารถแลกเปลี่ยนสมบัติของพวกเขาที่พบเห็นน้อยในคุนอู๋กลับมาบ้าง อืม นี่เป็นช่องทางหาเงิน……”
พูดถึงตอนท้าย ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเริ่มดีดลูกคิดแล้วว่าเส้นทางนี้สามารถทำกำไรได้มากน้อยเท่าไหร่ หากสามารถนำสินค้าเฉพาะบางอย่างของคุนอู๋ไปที่อวิ๋นจงแล้วแลกกับสมบัติที่พบเห็นได้น้อยที่คุนอู๋ เช่นนั้นโรงเรียนเสวียนชิงจะสามารถทำกำไรได้มหาศาล มีวัตถุดิบ เช่นนั้นจะสามารถบ่มเพาะศิษย์กลุ่มหนึ่งออกมาได้อีก
เห็นเขาเป็นอย่างนี้ ฉินซีจนใจถึงสิบส่วน เจิ้นหยางซือเกอผู้นี้ถึงจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย แต่บนตัวแบกรับความรับผิดชอบต่อโรงเรียน สำหรับเรื่องราวเหล่านี้กระตือรือร้นมากอยู่เสมอ……
“เจิ้นหยางซือเกอ ดูท่าท่านจะรู้สถานการณ์ของอวิ๋นจงแล้ว?”
ถูกดึงสมาธิกลับมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางลูบหนวด ยิ้มเอ่ยว่า “ถึงจะมีทะเลใต้ขวางกัน พวกเราเทียนจี๋กับอวิ๋นจงติดต่อกับไม่ได้มาก แต่ว่าบางคราก็จะมีผู้ฝึกตนอวิ๋นจงมาถึงเทียนจี๋อย่างเหนือคาด ข้าก็เคยพบกับผู้ฝึกตนอวิ๋นจงมาหนหนึ่ง ได้ยินสถานการณ์ของอวิ๋นจงจากที่เขาพูดมาบ้าง”
“อ้อ? นี่เป็นเรื่องก่อนหน้านี้นานเท่าไหร่แล้วขอรับ ผู้ฝึกตนคนนี้มีระดับการฝึกตนอะไร เขามาทางทะเลใต้หรือ”
“เอ่อ เป็นห้าหกร้อยปีก่อนแล้ว……” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางนึกทบทวน “เวลานั้นข้ายังแค่จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น บังเอิญพบกับผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้น เขาก็เป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น ฝีมือช่างร้ายกาจ พวกเราสู้กับไปรอบหนึ่ง ผลคือแบ่งแยกแพ้ชนะไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงชื่นชมกันและกัน กลายเป็นสหาย เขาข้ามทะเลใต้มาจริง ๆ จากที่เขาพูด ทะเลใต้อันตรายถึงสิบส่วน อสูรทะเลขั้นสูงเห็นได้ได้ทั่วไป เขายังถือว่าโชคดี หลบหนีสำเร็จได้ทุก ๆ ครั้ง เช่นนี้ก็เลยเสียเวลาไปสองปีจึงมาถึงเทียนจี๋”
“จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นก็สามารถข้ามทะเลใต้?” ฉินซีค่อนข้างตะลึง ไม่ได้บอกว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้แต่ทอดมองทะเลเศร้าโศกกับความไร้สามารถหรอกหรือ
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินซี ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้นึกว่าปกติสามัญมาก อย่างอื่นไม่กล้าพูด แต่ทักษะหลบหนีของคนผู้นี้ล้ำเลิศนัก ข้ากล้าพูดว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายถ้าอยากจะขัดขวางเขาก็ไม่ง่ายดาย แต่ว่าถึงแม้เขาจะมีความสามารถเช่นนี้ก็ยังแทบจะสิ้นชื่ออยู่ในทะเลใต้ ดังนั้นถ้าหากชิงเวยเสาะพบเส้นทางปลอดภัยได้จริง ๆ สำหรับพวกเราทั้งโรงเรียนล้วนเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ยิ่ง”
เรื่องนี้ฉินซีไม่ได้สนใจอะไร เพียงถามว่า “เช่นนั้นเจิ้นหยางซือเกอบอกได้หรือไม่ว่าสรุปแล้วอวิ๋นจงมีสถานการณ์อย่างไร”
“เรื่องนี้……” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางคิดทบทวนพลางกล่าวช้า ๆ พลางว่า “อวิ๋นจงเส้นเลือดวิญญาณกระจายตัวอย่างกว้างขวาง ดังนั้นผู้ฝึกตนมากยิ่งนัก นอกจากผู้ฝึกเต๋ายังมีผู้ฝึกขงจื้อ ผู้ฝึกพุทธ ผู้ฝึกปีศาจ ผู้ฝึกมาร ในนี้เต๋า, พุทธ, ขงจื้อเรียกรวมว่าสายธรรมะ ปีศาจ, มารนั้นเรียกว่าสายอธรรม แน่นอนว่าธรรมะอธรรมที่เรียกกันก็แค่เทียบเท่ากับการแบ่งธรรมะมารของพวกเรา ไม่ใข่ว่าสายธรรมะจะเที่ยงธรรม สายอธรรมจะชั่วร้าย ธรรมะอธรรมของพวกเขาล้วนอยู่ผสมปนเปกันในที่เดียว ยามปกติมีความขัดแย้งน้อย……”
อดทนฟังประมุขเต๋าเจ้นหยางพูดอยู่ครึ่งค่อนวัน ผลคือล้วนเป็นเรื่องที่มีบันทึกบนแผ่นหยกของโม่เหยาชิง ระหว่างที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางทบทวนความทรงจำ ฉินซีเร่งถามว่า “เจิ้นหยางซือเกอ ไปอวิ๋นจงมีอะไรที่ต้องใส่ใจสังเกตไหมขอรับ เรื่องพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย”
“อ้อ เรื่องนี้หรือ” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางคิด ๆ แล้วเอ่ยว่า “ก็ไม่มีอะไรนะ เพียงแต่ว่าให้ชิงเวยสังเกตสนใจจุดหนึ่ง วิธีการต่อสู้ของผู้ฝึกตนอวิ๋นจงกับเทียนจี๋ไม่ค่อยเหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะรู้จักมักคุ้นอย่างได้ลงมือกับผู้อื่นโดยง่ายดาย”
“อ้อ?” ฉินซีเกิดความสนใจแล้ว “ไม่เหมือนกันตรงไหนขอรับ”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกล่าวว่า “อันนี้พูดไปแล้วซับซ้อนอยู่บ้าง หนึ่งคืออาวุธเวทของพวกเขาให้ความสำคัญกับความเร็ว ต้องระมัดระวังให้จงหนักว่าจะถูกผู้อื่นโจมตีก่อนได้เปรียบ สองคือพวกเขามีอาวุธเวทมากมายที่สามารถรบกวนการโคจรพลังวิญญาณของคนอื่น หากไม่สังเกตจะติดกับได้ง่ายมาก……”
นี่กลับเป็นสิ่งที่โม่เหยาชิงไม่ได้อธิบายละเอียด สำหรับโม่เทียนเกอแล้วมีส่วนช่วยเหลือมาก
จนกระทั่งประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูดจบ ก่อนที่จะบอกลา ฉินซีถามอีกว่า “เจิ้นหยางซือเกอ ผู้ฝึกตนอวิ๋นจงที่มาถึงเทียนจี๋คนนั้นสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรขอรับ”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางตะลึงไป ตอบว่า “เขาอยู่ที่เทียนจี๋หลายปี สุดท้ายยังคิดจะกลับไปที่อวิ๋นจง ตั้งแต่ที่เขาไปก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย อาจจะสิ้นชีพที่ทะเลใต้แล้ว แล้วก็อาจจะกลับไปยังอวิ๋นจงได้อย่างปลอดภัย”
“……” ฉินซีเงียบไป ถอนหายใจ ลุกขึ้น “ขอบคุณเจิ้นหยางซือเกอมากที่บอกเล่าเรื่องราวมากมาย ข้าจะไปบอกต่อเทียนเกอ ขอตัวกลับก่อนขอรับ”
“นี่ โส่วจิ้ง!” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางร้องเรียกไล่หลังเขา “จำไว้ว่าให้ชิงเวยสังเกตมาก ๆ หน่อยว่ามีวัตถุวิญญาณพิเศษอะไรที่สามารถแลกเปลี่ยนได้……”
………………………….
โม่เทียนเกอกำลังเก็บกวาดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ถึงแม้ว่ามีกล่องหยกและเครื่องรางวิญญาณต่าง ๆ ที่สามารถผนึกพลังวิญญาณของหญ้าวิญญาณหมื่นปี แต่การจัดเก็บหญ้าวิญญาณไว้นานย่อมจะสูญเสียคุณสมบัติทางวิญญาณไปเสมอ การหลอมเป็นโอสถจะสามารถเก็บได้นานกว่า ในเวลาสิบปีที่ถูกขังในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนกับฉินซีสองคน พวกเขาหลอมโอสถมากมาย โอสถเหล่านี้กว่าครึ่งล้วนสามารถทิ้งเอาไว้
นอกจากนี้ ฉินซีตระเตรียมสิ่งของมากมายให้นาง ถึงแม้ว่าในนั้นส่วนใหญ่ล้วนไม่มีประโยชน์ แต่ว่าถึงอย่างไรก็เป็นน้ำใจของเขา นางเก็บไปจนหมด
อันที่จริงการไปอวิ๋นจงครั้งนี้ นางมีวัตถุประสงค์หนึ่งที่ไม่ได้บอกพวกเขา
โม่เหยาชิงเคยเล่าว่าศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของนางมาจากสำนักตานเสีย ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ในสำนักตานเสียถึงขนาดรวมส่วนที่อยู่จิตวิญญาณใหม่ขึ้นไป หากมีโอกาส นางคิดจะไปหาวิชาส่วนนั้นจากสำนักตานเสีย เอามาเทียบกับของตนเอง ไม่แน่ว่าจะมีแรงบันดาลใจอะไร
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเพียงผลพลอยได้ หากยากที่จะสัมฤทธิ์ผล นางก็จะไม่ฝืน
กำลังจัดเก็บอยู่ก็ได้ยินฉินซีเรียกนางจากภายนอกว่า “เทียนเกอ?”
นางเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ฉินซีเข้ามา คิดถึงโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าโลกใบนี้ของตนเองล้ำลึกสู้จงมู่หลิงไม่ได้ หรือว่าเป็นเพราะระดับชั้นของนางไม่เพียงพอ?
“เป็นอย่างไร ตระเตรียมเรียบร้อยหมดแล้วหรือ” ฉินซีมองขวดและไหที่กองเต็มพื้น “จะทำอะไรกับของพวกนี้”
“ให้ท่านกับซือฟุ” โม่เทียนเกอชี้ไปทีละอัน “พวกนี้ให้ซือฟุ พวกนี้ให้ท่าน พวกนี้ให้เจินจี สำหรับกล่องนี้ล้วนเป็นของกินอสูรวิญญาณ ก็ให้ท่านเถอะ”
ฉินซีมองดูสิ่งของหวกนี้ ตะลึงงันไป “มากขนาดนี้?” ไม่เพียงกองเต็มโต๊ะ แม้แต่บนพื้นยังวางเอาไว้มากมาย โอสถพวกนี้คาดการณ์ว่าให้พวกเขากินไปเป็นร้อยปียังไม่มีปัญหา
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ล้วนเป็นผลผลิตที่พวกเราหลอมโอสถครั้งก่อน โอสถระดับก่อเกิดตานข้าเก็บไปแล้ว ที่เหลือล้วนให้ท่าน”
ฉินซีคิดดู เขากับซือฟุเป็นจิตวิญญาณใหม่ เจินจีเป็นสร้างฐานพลัง คลาดกันพอดี สำหรับตัวนางแล้วไม่มีผลกระทบ จึงเอ่ยว่า “เอาเถิด เดี๋ยวค่อยย้ายของพวกเนี้ออกไปให้หมด จริงสิ เมื่อครู่ข้าไปถามเจิ้นหยางซือเกอ มีเรื่องบางประการเขาให้ข้าบ่งบอกเจ้า……”
พอฟังเรื่องที่ฉินซีเอาคำพูดประมุขเต๋าเจิ้นหยางมาทวนจนเสร็จ นางก็จนใจแล้ว “เจิ้นหยางซือป๋อทำไมถึงได้พูดมากเช่นนี้ ข้าไม่ได้ไปทำการค้าทางนั้นนะ!”
ฉินซีเข้าใจอารมณ์ของนางมาก ยิ้มเอ่ยว่า “เขาเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุด เรื่องที่ครุ่นคิดย่อมไม่เหมือนกับพวกเรา เจ้าฟังที่เขาพูดหน่อยเถอะ”
“อืม” โม่เทียนเกอก็ทราบ เรื่องที่มีผลดีสำหรับโรงเรียนเสวียนชิง นางที่มีฐานะผู้อาวุโสของโรงเรียนย่อมควรครุ่นคิดสักเล็กน้อย
สิ่งของทุกอย่างจัดระเบียบเรียบร้อย นางเอ่ยว่า “เอาล่ะ เก็บสิ่งของออกไปเถอะ”
ทั้งสองคนออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเรียกเยี่ยเจินจีและสุ่ยหลินโปมาทั้งคู่
“ท่านป้า ซือฟุ!”
“น้อมพบโส่วจิ้งซือจู่ ชิงเวยซือซู”
“ไม่ต้องมากพิธี” โม่เทียนเกอเงยหน้ามอง สุ่ยหลินโปยังคงหนักแน่นมีมารยาท คารวะอย่างครบถ้วนเหมือนดั่งศิษย์ทั่วไป ไม่ได้ปล่อยปละขึ้นมาเพราะความเกี่ยวข้องกับเจินจี นางพยักหน้าลับ ๆ หากสุ่ยหลินโปปฏิบัติต่อผู้คนอย่างนี้หมดจะเสริมข้อด้อยของเจินจีได้พอดี ภายหลังให้นางทำธุระก็วางใจได้
“ท่านป้า ซือฟุ เรียกพวกเรามามีเรื่องอะไรหรือขอรับ” เยี่ยเจินจีเห็นพวกเขาสองคนสีหน้าเคร่งขรึม อดไม่ได้ที่จะถามอย่างระแวดระวัง
ฉินซีมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านป้าเจ้าจะออกไปข้างนอกพักหนึ่ง อาจจะต้องให้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นเรียกพวกเจ้ามาพูดคุยเรื่องราวบางประการ”
“เอ๋?” เยี่ยเจินจีมองไปทางโม่เทียนเกอ “ท่านป้าท่านจะออกไปทำธุระหรือขอรับ หรือว่าท่องเที่ยว”
“ออกไปท่องเที่ยว” โม่เทียนเกอเอ่ยยิ้ม ๆ “เจ้าไม่ต้องห่วงเกินไป เพียงแค่ว่าระยะเวลาที่ออกไปครั้งนี้อาจจะค่อนข้างนานเท่านั้น”
“แต่ว่า มิใช่ว่าท่านป้าท่านเพิ่งจะกลับมาหรือขอรับ” เยี่ยเจินจีไม่เข้าใจ “ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้กลับมาสิบปี หลังกลับมาได้สองปีท่านป้าก็ออกไปอีกแล้ว ครั้งนี้เพิ่งกลับมาเดือนเดียว…… ท่านป้า ท่านออกไปข้างนอกบ่อยขนาดนี้มิใช่ว่ามีเรื่องสำคัญอะไรกระมัง”
“……” อันนี้ถ้าจะพูดขึ้นมาก็บอกได้ไม่ชัดเจนในเวลานี้ โม่เทียนเกอไม่ได้อธิบายโดยละเอียด เพียงเอ่ยว่า “มีธุระเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เจินจี ครั้งนี้ป้าอาจจะต้องจากไปหลายปีถึงสิบกว่าปี ในช่วงเวลานี้ ซือฟุเจ้าต้องกักตนปรับระดับให้เสถียร ซือจู่เจ้ากำลังรักษาบาดเจ็บอีกคน ดังนั้น เรื่องการฝึกตนเจ้าต้องพึ่งตนเองแล้ว”
“ท่านป้าโปรดวางใจ” เยี่ยเจินจีเอ่ย “ข้าจะพึ่งตัวเอง หากมีอะไรที่ไม่เข้าใจสามารถไปคุยกับเหล่าซือเกอตี้ หากยังไม่เข้าใจก็จะไปถามหมิงเจินซือป๋อ อืม…… ตอนที่ท่านป้าไม่อยู่ ถ้ำพำนักข้าก็จะดูแลให้ดี ๆ”
“อืม” โม่เทียนเกอยิ้มแย้มพยักหน้า หันไปทางสุ่ยหลินโป “หลินโป ข้ากับโส่วจิ้งซือจู่ของเจ้าปรึกษากันแล้ว หลังจากเจ้าหายจากการบาดเจ็บให้ไปโถงผู้ดูแลเพื่อลงทะเบียนรายชื่อ ภายหลังเข้ามาอยู่ใต้นามยอดเขาชิงฉวนของข้าอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ระหว่างที่โส่วจิ้งซือจู่ของเจ้ากักตน เจ้ามาช่วยเจินจีดูแลถ้ำพำนัก เรื่องนี้เจ้าแจ้งต่อโถงผู้ดูแลให้จัดการก็พอ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สุ่ยหลินโปดีใจจนระงับไม่อยู่ คารวะขอบคุญเสียใหญ่โตอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณชิงเวยซือซูมากเจ้าค่ะ ขอบคุณโส่วจิ้งซือจู่มากเจ้าค่ะ ศิษย์จะต้องจัดการเรื่องราวเป็นอย่างดี”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ สุ่ยหลินโปเป็นคนฉลาด รู้ว่าพวกเขากำลังมอบโอกาสให้นาง ขอเพียงนางคว้าโอกาสนี้ไว้ เป็นแร่ที่หลอมได้จริง ๆ ตนเองก็จะไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม
………………………………………….