ตอนที่ 342 – หาทางภูเขาไฟ
หลายวันให้หลัง แสงหลบหนีสองสายยกตัวขึ้นจากยอดเขาชิงฉวน หลังจากหยุดอยู่ชั่วครู่ แสงสายสีขาววาดผ่านอากาศเหนือเขาไท่คัง หายลับไปในขอบฟ้า สายสีแดงที่เหลือหยุดอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อนเนิ่นนาน
ผ่านไปพักใหญ่ ฉินซีถอนหายใจเบา ๆ ทอดมองขอบฟ้าที่ไร้ผู้คนตั้งนานแล้ว สะบัดแขนเสื้อทิ้งตัวลงมา
เทียนเกอไปแล้ว เขาก็ควรจะกักตนต่อแล้ว
เขาทราบชัดมากว่าในฐานะผู้ฝึกตน การแยกจากประเภทนี้ปกติเสียยิ่งกว่าปกติ ดังนั้นเขาเพียงระงับความไม่เต็มใจบางเบาในใจ กลับไปที่ถ้ำพำนักอย่างสงบนิ่ง
“ซือฟุ” ผู้ที่ต้อนรับเขาคือเยี่ยเจินจี
ฉินซียิ้มบาง ๆ “ไปฝึกตนเถิด ท่านป้าเจ้าไม่อยู่ยิ่งต้องจริงจัง รู้ไหม”
“อืม” เยี่ยเจินจีเผยรอยยิ้ม “ซือฟุ ท่านวางใจเถอะ ข้ามิใช่เด็กน้อยแล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเข้าใจ”
ฉินซีตะลึงไป คิดถึงการแสดงออกของเด็กคนนี้ในสามปีมานี้แล้วก็ยิ้มขึ้นมา “ถึงอย่างไรก็ผ่านประสบการณ์มาแล้ว ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้าห้องกักตนของตัวเอง สั่งการว่า “สิบปีนี้ซือฟุจะไม่ออกจากการกักตน ถ้ำพำนักจะมอบให้เจ้าแล้ว หากไม่มีธุระเร่งด่วนห้ามมารบกวน”
“ทราบแล้วขอรับ ซือฟุ”
เดินทางอย่างไม่รีบไม่ช้ามาตลอดทาง ครึ่งเดือนให้หลัง โม่เทียนเกอมาปรากฏตัวที่หลินไห่อีกแล้ว
ครั้งนี้นางมีเป้าหมายแล้ว ดังนั้นเพียงทักทายเว่ยเฮ่าหลาน ออกทะเลไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยแล้ว
พอถึงในทะเล เสี่ยวฝานกลายเป็นตื่นเต้นดีใจไม่หยุด แหวกว่ายอยู่ในทะเลอย่างร่าเริง ถึงในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็มีน้ำ แต่ลำธารน้อยถึงอย่างไรมิใช่มหาสมุทร ส่วนมันกลับเป็นอสูรทะเลที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรตั้งแต่เล็ก
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ มองดูมันว่ายน้ำวนเป็นวงแล้ววงเล่า สุดท้ายกลับมายังข้างกาย ยกหัวขึ้นพูดว่า “เจ้านาย พวกเราจะไปที่ไหน”
“ไปที่ที่ท่านปู่ของเจ้าพูด” นางพูด “แต่ว่า ที่นี่เจ้าไม่คุ้นเคย ยังคงกลับมาก่อนเถิด ข้าจะพาเจ้าบิน”
“ไม่ต้องขอรับ” เสี่ยวฝานสะบัดหาง กระโดดจากผิวน้ำอย่างคล่องแคล่ว วาดเป็นเส้นโค้งอันสวยงามหนึ่งเส้น “ที่นี่คือมหาสมุทร พวกเราชางหลงจะสูดกลิ่นของมหาสมุทร อยู่ในทะเลจะไม่หลงทาง”
“หืม?” โม่เทียนเกอตะลึงงัน “เจ้าไม่เคยมาที่นี่ ห่างจากสถานที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ไกลขนาดนั้นก็สามารถว่ายกลับไปหรือ”
“อืม” เสี่ยวฝานผงกหัวอย่างจริงจัง “เจ้านายท่านวางใจเถอะ นี่เป็นสัญชาตญาณของพวกเราชางหลง” ว่าแล้วก็จ้องมองนางอย่างน่าสงสาร “เจ้านาย ท่านมานั่งบนตัวข้า ข้าพาท่านว่ายไปถึงที่หมายดีหรือไม่ขอรับ ข้าอยากว่ายน้ำ……”
เผชิญกับสายตาอ้อนวอนอย่างนี้ โม่เทียนเกอยังสามารถพูดอะไรได้ ก้มหน้าลงมอง บาดแผลของมันหายดีแล้ว หางแข็งแรงคล่องแคล่ว พลังที่สะบัดไปเมื่อครู่นี้เกรงว่าก้อนหินยังจะถูกทุบแตก นางนั่งไปย่อมจะไม่มีปัญหา
“เอาเถิด ถ้าเจ้าเหนื่อยแล้วก็พูดสักคำ”
“อืม” เสี่ยวฝานกระโดดอย่างดีใจ ตกลงในน้ำเสียงดัง “ตูม” เอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “เจ้านายท่านรีบขึ้นมา พวกเราไปกันเลย”
เมื่อเห็นท่าทางอดรนทนไม่อยู่นี้ของมัน โม่เทียนเกอยิ้มออกมา ร่ายศาสตร์กันน้ำอย่างง่าย นั่งลงบนหลังเสี่ยวฝาน ให้มันนำทาง
ร่างกายเสี่ยวฝานยาวจ้างกว่า หางปราดเปรียว ครีบทั้งคู่มีพลัง อยู่ในมหาสมุทรประดุจลูกศรพุ่งจากแล่ง ถึงความเร็วจะไม่เท่ากับแสงหลบหนีของนาง แต่ก็ไม่ได้ช้ากว่ามากนัก
เริ่มแรกโม่เทียนเกอยังตรวจสอบแผนที่เส้นทางที่ปรับปรุงแล้วของตนเองดูว่าว่ายไปถูกทิศทางหรือไม่ ภายหลังพบว่าเสี่ยวฝานเป็นอย่างที่มันพูดจริง ๆ คือประสาทสัมผัสด้านทิศทางในทะเลแม่ยยำยิ่งก็ไม่ไปสนใจอีก ทว่าใช้เวลาที่เดินทางศึกษาประสบการณ์ฝึกตนของโม่เหยาชิง
หนึ่งคนหนึ่งอสูรก็เลยว่ายน้ำอยู่ในส่วนลึกของทะเลตะวันออกไปตามสบายอย่างนี้เอง
ที่ใกล้ฝั่งมีเพียงอสูรทะเลขั้นต่ำจำนวนหนึ่ง อสูรทะเลเหล่านั้นเห็นเสี่ยวฝานที่อยู่ขั้นห้าก็ย่อมไม่กล้าก้าวมาข้างหน้า หลังจากที่เข้าสู่ส่วนลึกของทะเลตะวันออกไปเรื่อย ๆ ถึงจะมีอสูรทะเลขั้นสูงปรากฎตัวเป็นครั้งคราว แต่เพราะพลังคุกคามอันกล้าแกร่งบนตัวโม่เทียนเกอก็เลยไม่กล้าเข้าใกล้ คนที่อยู่ขั้นหกหนึ่งคนกับชางหลงที่อยู่ขั้นห้าหนึ่งตัวมิใช่สิ่งที่อสูรทะเลสามัญจะตอแยได้
จนกระทั่งสองเดือนให้หลัง โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของอสูรทะเลขั้นเจ็ดจึงเก็บเสี่ยวฝานที่ไม่เต็มใจเข้ากระเป๋าอสูรวิญญาณ เหยียบยืนบนเมฆ ก้าวบนรองเท้าย่ำเมฆาบินขึ้นสูง
ยิ่งเข้าสู่ส่วนลึก ระดับชั้นของอสูรทะเลยิ่งสูง ครั้งนี้นางมีเป้าหมายชัดเจน ยังคงหลีกเลี่ยงอสูรทะเลเหล่านี้จึงจะดี
รอจนลมหายใจของอสูรทะเลขั้นเจ็ดหายไป โม่เทียนเกอปล่อยเสี่ยวฝานออกมา ถามว่า “เสี่ยวฝาน ไม่อยู่ในมหาสมุทรแล้วเจ้าสามารถชี้เส้นทางได้ไหม”
เสี่ยวฝานลอยอยู่กลางอากาศ ผงกหัว “ได้ขอรับ แต่ว่าจะช้าหน่อย”
“อืม เช่นนั้นก็ดี” ช้าหน่อยไม่เป็นไร สิ่งสำคัญที่สุดคือปลอดภัย หากยังให้เสี่ยวฝานว่ายน้ำไปในทะเล เช่นนั้นลมหายใจของผู้ฝึกตนมนุษย์จะต้องทำให้อสูรปีศาจขั้นสูงเหล่านี้แตกตื่นเสียแปดส่วน ถึงเวลาจะเลี่ยงการต่อสู้ดุเดือดไม่ได้ ทว่าหากบินไปในอากาศ ขอเพียงสูงพอ อสูรปีศาจเหล่านั้นสัมผัสได้ไม่แม่นยำ โดยทั่วไปก็จะไม่กระทำการอย่างหุนหัน
การเดินทางอันน่าเบื่อหน่ายดำเนินไปสี่เดือน – หนึ่งเดือนที่ชางหลงเฒ่าพูดนั่นเป็นความเร็วของโม่เหยาชิง ตอนที่มาถึงเทียนจี๋ โม่เหยาชิงเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว ถึงแม้จะเดินทางตามสบาย ความเร็วก็ยังเร็วกว่าโม่เทียนเกอมากมาย
สี่เดือนให้หลัง มองเห็นว่าอสูรทะเลขั้นสูงรอบบริเวณยิ่งมายิ่งมาก ในที่สุดโม่เทียนเกอค้นพบเกาะใหญ่ที่มีภูเขาไฟแห่งนั้นแล้ว นางถอนหายใจโล่งอก หากยังหาไม่เจอนางก็จะใคร่ครวญถึงการกลับไปก่อนแล้ว ที่นี่พบเห็นอสูรทะเลขั้นเจ็ดไม่น้อยแล้ว ไม่แน่ว่าเวลาใดจะปรากฎอสูรทะเลขั้นแปดสักตัว ถึงเวลาก็จะอันตรายแล้ว
“เจ้านาย อยู่ที่นั่น” เสียงของเสี่ยวฝานดังขึ้นในสมอง
โม่เทียนเกอก้มหน้าทอดมอง เห็นว่าเกาะใหญ่แห่งนี้รัศมีหลายร้อยลี้ เทียบกับเกาะเล็กที่โม่เหยาชิงละสังขารใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า อีกทั้งภูมิประเทศไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
บนเกาะเป็นหินภูเขาเสียมาก หุบเหวกระจายไปทั่ว หินทรายผสมปนเป มีพื้นดินน้อย ดังนั้นพืชพรรณก็พบเห็นน้อยมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือบนเกาะไร้พลังวิญญาณแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นบริเวณใกล้เคียงแม้แต่อสูรปีศาจยังไม่มี
นี่สำหรับโม่เทียนเกอแล้วเป็นข่าวดี เกาะแห่งนี้ไม่มีเส้นเลือดวิญญาณก็จะดึงดูดอสูรปีศาจไม่ได้ เช่นนี้แล้ว นางก็จะไม่ต้องต่อกรกับอสูรปีศาจที่ไม่รู้จักอะไรสักตัว
ตรงกลางเกาะมีภูเขาไฟที่ยกตัวขึ้นมา ไม่มีร่องรอยการปะทุใด ๆ เย็บเยียบ ความร้อนสักนิดก็ไม่มี โม่เทียนเกอบินไปถึงด้านบนของภูเขาไฟ ก้มหน้าลงมอง เห็นเพียงด้านในมืดสนิท มองอะไรไม่ชัดเจนทั้งนั้น ใช้จิตหยั่งรู้กวาดผ่านหนึ่งรอบ ไม่ค้นพบอันตรายอะไร ทิ้งตัวลงบนปากปล่องภูเขาไฟช้า ๆ
ต่ำลงไปทุกที โม่เทียนเกอค่อย ๆ เห็นสิ่งของข้างในภูเขาไฟชัดขึ้น ไม่มีลาวา ไม่มีความร้อน มีเพียงปล่องภูเขาไฟอันเย็นเยียบ ด้านในมืดมาก มองเห็นไม่ชัดเจน
โม่เทียนเกอกางมือ ใจกลางฝ่ามือปรากฏแสงควบแน่น พัดแห่งสวรรค์และโลกาปรากฏในมือ จี้ห้อยพัดส่องแสงสีขาวอ่อนจาง
ตอนที่สำรวจถ้ำพำนักของโม่เหยาชิงครั้งที่แล้วรู้สึกว่าเอาราชินีศิลาแสงจันทร์ออกมาส่องแสงทุกครั้งไม่สะดวกมาก จึงได้ขัดเกลาราชินีศิลาแสงจันทร์นี้ให้กลายเป็นจี้ห้อยพัด แขวนอยู่บนพัดแห่งสวรรค์และโลกา เช่นนี้หยิบมาไว้ในมือก็จะสะดวกมากแล้ว
“ท่านปู่พูดว่าด้านล่างมีน้ำ ให้ข้าลงไปก่อนนะขอรับ” เสี่ยวฝานที่ทิ้งตัวลงมาข้างหลังพร้อม ๆ นางส่งเสียงออกมา
โม่เทียนเกอชะงักไปแล้วพยักหน้า “อืม”
เสี่ยวฝานทิ้งตัวลงไปไม่นาน โม่เทียนเกอก้ได้ยินเสียงน้ำตามคาด จากนั้นเสียงของเสี่ยวฝานดังขึ้นมาว่า “เจ้านาย ลงมาเถอะ น้ำไม่ลึกมาก”
โม่เทียนเกอกำพัดแห่งสวรรค์และโลกาทิ้งตัวลงไปที่ก้นบึ้งของภูเขาไฟอย่างระมัดระวัง นางเงยหน้ามองทุกทิศ ตกตะลึงอยู่บ้าง “ที่นี่มีเส้นทางหรือ”
ก้นบึ้งของภูเขาไฟนี้มีสายน้ำตื้น ๆ แต่รอบด้านกลับไม่เห็นว่ามีเส้นทาง
“อยู่ในน้ำขอรับ” เสี่ยวฝานพูด “เจ้านาย นั่งหลังข้า”
หลังจากใคร่ครวญสั้น ๆ โม่เทียนเกอร่ายศาสตร์กันน้ำแล้วนั่งลงบนหลังของเสี่ยวฝาน เสี่ยวฝานสะบัดหางหนึ่งที แล้วดำลงใต้น้ำอย่างฉับพลัน
ราชินีศิลาแสงจันทร์ส่องแสงอันอ่อนจาง เพียงส่องเห็นพื้นที่เล็ก ๆ โดยรอบ โม่เทียนเกอขยายจิตหยั่งรู้ ค้นพบตามคาดว่าในน้ำมีอุโมงค์แห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่านำไปสู่ที่ใด
พอลงน้ำ เสี่ยวฝานคึกคักไร้ที่เปรียบ ว่ายไปพักหนึ่ง ความเร็วก็เร็วขึ้นมา โม่เทียนเกอเพียงรู้สึกว่ามันยิ่งดำยิ่งลึก บนเกราะป้องกันพลังวิญญาณของศาสตร์กันน้ำ แรงกดดันก็ยิ่งมายิ่งมาก
แน่นอนว่านางในปัจจุบันนี้เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว แรงกดดันของใต้น้ำสำหรับนางไม่นับว่าเป็นอันใด เพียงฉงนอยู่ในใจ น้ำไหลลงต่ำ เสี่ยวฝานดำลงใต้น้ำ หรือว่าเส้นทางนี้เป็นทางน้ำ? ตามบันทึกประปรายบนแผ่นหยกของโม่เหยาชิง นางมาถึงเทียนจี๋เสียเวลาไปไม่น้อย หรือว่าต้องดำอยู่ใต้น้ำหลายเดือน?
โชคดีที่นางไม่ต้องสงสัยนานเกินไป หลังจากดำน้ำอยู่ครึ่งวัน เสี่ยวฝานเริ่มลอยขึ้นแล้ว
ความเร็วในการลอยขึ้นยิ่งมายิ่งเร็ว จู่ ๆ เกิดเสียง “ซ่า” หนึ่งคนหนึ่งอสูรผุดขึ้นจากน้ำ
หยดน้ำนับไม่ถ้วนเกาะอยู่บนเกราะป้องกันพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอโบกมือถอนศาสตร์กันน้ำ ขยายจิตหยั่งรู้
นี่เป็นทางแม่น้ำใต้ดินเส้นหนึ่ง โค้งคดเคี้ยว นำไปสู่สถานที่อันห่างไกลยิ่ง จิตหยั่งรู้ของนางก็สัมผัสไม่ได้ถึงจุดสิ้นสุด ส่วนกำแพงหินรอบด้านมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำอย่างสิ้นเชิง
เสี่ยวฝานแบกนางว่ายไปข้างหน้าช้า ๆ แม่น้ำหนาวมาก ถึงแม้มันจะเป็นอสูรปีศาจก็รู้สึกไม่สบายตัวนัก
“เสี่ยวฝาน อย่างไรให้ข้าพาเจ้าบินเถอะนะ”
เสี่ยวฝานส่ายหัว ปฏิเสธว่า “ไม่ต้องขอรับ เจ้านาย ข้าชอบความรู้สึกที่ว่ายอยู่ในน้ำ”
“แต่ว่า น้ำนี้……”
“ไม่เป็นไรขอรับ” เสี่ยวฝานตีหาง ในพริบตานั้นบนเกล็ดของมันปรากฏปราณสีเขียวเคลือบอยู่หนึ่งชั้น ครอบคลุมทั่วทั้งร่างของมัน “อย่างนี้ก็ไม่รู้สึกอึดอัดแล้ว”
โม่เทียนเกอมองโดยละเอียด พบว่านี่ก็เป็นพลังวิญญาณคุ้มครองร่างชนิดหนึ่ง พยักหน้า “ก็ได้”
ไม่รู้ว่าว่ายในทางแม่น้ำอันมืดมิดนานเท่าใด รอบด้านมีเพียงเสียงน้ำครืน ๆ กับเสียงว่ายน้ำของเสี่ยวฝาน โม่เทียนเกอกำพัดแห่งสวรรค์และโลกา จิตหยั่งรู้ของตนเองแผ่ขยายออกไปตลอดเวลา
ทางแม่น้ำสายนี้ไม่มีเส้นเลือดวิญญาณ ดังนั้นถึงแม้ในน้ำจะมีปลาก็เป็นเพียงปลาธรรมดา ไม่กล้าเข้าใกล้นางกับเสี่ยวฝานเลย
หลายวันให้หลัง โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณ
จากนั้น เสี่ยวฝานก็หยุดลง “เจ้านาย ข้างหน้ามีเส้นเลือดวิญญาณ”
“อืม” โม่เทียนเกอใช้จิตหยั่งรู้สังเกตสักครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไปต่อเถอะ”
เสี่ยวฝานตอบรับคำหนึ่ง ว่ายไปข้างหน้าต่อ
พลังวิญญาณยิ่งมายิ่งหนาแน่น โม่เทียนเกอมองไปทางผนังหินรอบด้าน ค้นพบว่าถึงกับเป็นเหมืองศิลาวิญญาณ แต่ว่าคุณภาพของศิลาวิญญาณไม่ได้สูงมาก ดูท่าเป็นเพียงเส้นเลือดขนาดเล็ก
หนึ่งคนหนึ่งอสูรว่ายผ่านไปในเหมืองศิลาวิญญาณ โม่เทียนเกอสายตาแหลมคม ค้นพบว่าบนศิลาวิญญาณบางก้อนคล้านจะมีสิ่งของอะไรงอกเงยขึ้นมา รีบเอ่ยว่า “รอเดี๋ยว”
เสี่ยวฝานหยุดลง “ทำไมหรือขอรับ”
โม่เทียนเกอขุดหินหยกที่ส่องประกายแสงสีขาวอยู่ภายในออกมาหนึ่งก้อนจากบนผนังหิน อย่างระมัดระวัง มองดูโดยละเอียดหนึ่งรอบ
เสี่ยวฝานได้ยินน้ำเสียงนี้ก็อยากรู้ขึ้นมา “เจ้านาย ศิลารวบรวมวิญญาณคืออะไรขอรับ”
พอยืนยันแล้วว่าสิ่งของในมือเป็นศิลารวบรวมวิญญาณแน่ ๆ โม่เทียนเกอก็เก็บเข้ากระเป๋าเอกภพ เอ่ยว่า “ศิลารวบรวมวิญญาณเป็นหินหยกที่ปรากฏขึ้นในเหมืองศิลาวิญญาณเป็นครั้งคราวชนิดหนึ่ง ดูแล้วคล้ายกับศิลาวิญญาณ แต่ว่า มันกลับมีประสิทธิภาพประการหนึ่ง สามารถทำให้พลังวิญญาณเข้มข้นอย่างยิ่งยวด ในกระบวนการหลอมโอสถหลอมอาวุธ จะทำให้พลังวิญญาณเข้มข้นขึ้นมาเพื่อผนึกลงในโอสถอาวุธเวทอย่างไรเป็นกระบวนการที่ยากที่สุด เมื่อมีศิลารวบรวมวิญญาณแล้วจะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการหลอมโอสถหลอมอุปกรณ์ให้สูงขึ้น”
“อ้อ……” อสูรปีศาจไม่เข้าใจการหลอมโอสถหลอมอุปกรณ์ ด้วยเหตุนี้เสี่ยวฝานก็เลยตอบรับอย่างกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ
โม่เทียนเกอไม่คาดว่าในสายแร่เหมืองขนาดเล็กนี้จะถึงกับปรากฏศิลารวบรวมวิญญาณขึ้นมา แต่ก็เป็นความประหลาดใจแกมยินดี สั่งเสี่ยวฝานว่า “ว่ายอยู่แถว ๆ นี้อีกหลาย ๆ รอบหน่อย พวกเราลองหา ๆ ดู”
………………………………….