ตอนที่ 81 จากไป

“ยึดจังหวัดชิงซาน?” หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แม้นเขาจะไม่เข้าใจและไม่มีความรู้เลยว่าโลกทางนี้บุกตีเมืองกันอย่างไร แต่วิธีการของซางเฉาจงก็นับว่ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่มาถึงก็ใช้กำลังยึดครองอำเภอชางหลู ยามนี้ยังประกาศว่าจะยึดจังหวัดชิงซานอีก มีความทะเยอทะยานนั้นนับเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องมีขอบเขตเช่นกัน มิเช่นนั้นจะสิ้นท่าเอาได้ เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มพลางกล่าวว่า “ต่อให้เป็นเฟิ่งหลิงปอก็ยังไม่กล้าพูดจาส่งเดชเช่นนี้ ท่านอ๋องเพิ่งหยิบยืมไพร่พลเฟิ่งหลิงปอมาได้เพียงไม่กี่พันคน วางแผนเช่นนี้มันมิเกินตัวไปหน่อยหรือ?”

หลานรั่วถิงยิ้มอย่างมีเลศนัย ถอยออกไปด้านข้างสองสามก้าว นิ้วมือชี้ไปยังตำแหน่งแคว้นจ้าวที่อยู่ติดกัน “แคว้นจ้าว! พระพันปีหลวงซางโย่วหลานคืออาหญิงแท้ๆ ของหนิงอ๋อง”

“โอ้! มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าส่งเสียงจุ๊ๆ พลางเอ่ยว่า “เชื้อพระวงศ์ไปอยู่ที่ใดก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ องค์หญิงแคว้นเยี่ยนกลายเป็นพระพันปีหลวงแคว้นจ้าว หรือจะเคยมีการสมรสเชื่อมสัมพันธ์เมื่อในอดีต?”

ซางเฉาจงที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจ “น่าละอายนัก ปีนั้นยามที่พระปัยกาเพิ่งขึ้นครองราชย์ สถานการณ์ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร จำต้องส่งธิดาไปสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ในปีนั้นเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดคิดถึงเช่นกันว่าสุดท้ายย่าเล็กจะกลายเป็นพระอัครมเหสีแคว้นจ้าว เป็นพระพันปีหลวงในปัจจุบันนี้! ว่ากันตามจริงแล้ว ในอดีตก่อนที่ราชวงศ์อู่จะล่มสลาย มีองค์หญิงในสายสกุลซางมากมายที่ออกเรือนไปเพื่อซื้อใจเจ้าศักดินา หากจะว่ากันแล้ว ราชวงศ์ของแคว้นต่างๆ ในปัจจุบันล้วนมีสายเลือดตระกูลซางปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย ซางโย่วหลานเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่คนอื่นๆ ก้าวไปไม่ถึงจุดเดียวกับนางก็เท่านั้น”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ชาติก่อนเนื่องจากความจำเป็นทางหน้าที่การงาน เขาจึงนับว่าแตกฉานสันทัดในตำราประวัติศาสตร์ เข้าใจว่าสถานการณ์น่าจะคล้ายคลึงกัน และด้วยความที่คุ้นเคยกับสถานการณ์จำพวกนี้ เขาจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย “หากว่าเป็นสมัยนั้นที่ซางโย่วหลานเพิ่งออกเรือนไป นางย่อมคำนึงถึงบ้านเกิด อันนี้ข้าเห็นด้วย แต่ซางโย่วหลานในตอนนี้เป็นพระพันปีหลวงผู้สูงศักดิ์ของแคว้นไปอื่นแล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นจ้าวคือโอรสของนาง เกรงว่านางคงจะใคร่ครวญถึงแคว้นของโอรสตนมากกว่า นางต้องเลือกปกป้องแคว้นของโอรสอยู่แล้ว หากเทียบกับแคว้นเยี่ยน ตอนนี้แคว้นจ้าวต่างหากถึงจะเป็นบ้านที่นางลงหลักปักฐานอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นคงไม่สามารถกลายเป็นพระพันปีหลวงแห่งแคว้นจ้าวในปัจจุบันได้ นางคงไม่มีทางส่งทหารของแคว้นจ้าวมาช่วยเหลือท่านอ๋องกระมัง? หรือในอีกแง่หนึ่งแล้ว ราชสำนักแคว้นเยี่ยนคือบ้านฝั่งมารดาของนาง นางคงไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับราชสำนักแคว้นเยี่ยนเพื่อท่านอ๋องกระมัง?”

หลานรั่วถิงโบกมือ “เต้าเหยี่ยกล่าวถูกต้องแล้ว ซางโย่วหลานอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของแคว้นจ้าว ย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องที่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของแคว้นจ้าว แต่ว่าอำนาจของแต่ละแคว้นล้วนมีช่วงขาขึ้นขาลง ภายหลังยามที่แคว้นจ้าวอ่อนแอลง ฮ่องเต้แคว้นจ้าวหรือก็คือพระสวามีของซางโย่วหลานก็เคยส่งพระโอรสและพระธิดาคู่หนึ่งไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเยี่ยน โอรสธิดาคู่นี้ล้วนถือกำเนิดจากซางโย่วหลาน พระโอรสก็คือไห่อู๋จี๋ผู้เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแห่งแคว้นจ้าว ส่วนพระธิดามีนามว่าไห่หรูเยวี่ย ยามนั้นไห่หรูเยวี่ยยังเยาว์วัย ช่วงที่เป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นเยี่ยนก็มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับหนิงอ๋องในเวลานั้น ยามที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากหนิงอ๋อง ภายหลังไห่หรูเยวี่ยกลับไปยังแคว้นจ้าว แต่ก็ยังติดต่อกับหนิงอ๋องมาโดยตลอด ทว่าแต่ละแคว้นย่อมเกิดเหตุการณ์ที่ขุนนางภายในแคว้นตั้งตัวเป็นกองกำลังอิสระอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เซียวหวงผู้ว่าการมณฑลจินโจวแห่งแคว้นจ้าวก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ฮ่องเต้แคว้นจ้าวในยามนั้นต้องการซื้อใจเซียวหวง จึงยกไห่หรูเยวี่ยให้ออกเรือนกับเซียวเปี๋ยซานบุตรชายอมโรคคนนั้นของเซียวหวง หลังจากเซียวหวงจากโลกไป เซียวเปี๋ยซานย่อมสืบทอดการงานของผู้เป็นบิดา จนกระทั่งไห่อู๋จี๋ได้ขึ้นครองราชย์กลายเป็นฮ่องเต้แคว้นจ้าว เขาก็ได้เกิดความคิดอันแน่วแน่ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง คิดจัดการเหล่าเจ้าศักดินาภายในแคว้นจ้าว เซียวเปี๋ยซานตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง และในช่วงเวลานั้นหนิงอ๋องมีกองทัพเรืองนาม สะท้านสะเทือนไปทั่วหล้าแล้ว เมื่อต้องเผชิญกับการบีบคั้นจากพี่ชาย ไห่หรูเยวี่ยจึงติดต่อมาหาหนิงอ๋อง หวังว่าหนิงอ๋องจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตยอมช่วยเหลือสักครา ทางแคว้นเยี่ยนเองก็ไม่อยากเห็นไห่อู๋จี๋กุมอำนาจแคว้นจ้าวไว้อย่างเบ็ดเสร็จเช่นกัน แคว้นจ้าวที่รวมอำนาจเป็นหนึ่งนั้นเป็นภัยคุกคามต่อแคว้นเยี่ยนมากเกินไป ดังนั้นหนิงอ๋องจึงตอบรับคำขอของไห่หรูเยวี่ย เข้าข่มทัพใหญ่แคว้นจ้าว บีบให้ไห่อู๋จี๋จำเป็นต้องถอนกำลังออกไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เซียวเปี๋ยซานและไห่หรูเยวี่ยสองสามีภรรยาผ่านวิกฤตไปได้อย่างราบรื่น” เขาชักมือออกแล้วชี้ไปที่มณฑลจินโจวที่อยู่ตรงข้ามจังหวัดชิงซาน

หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญดู จากนั้นเอ่ยถาม “ความหมายของท่านอ๋องคืออยากหยิบยืมไพร่พลของมณฑลจินโจวเข้ายึดจังหวัดชิงซานหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางเฉาจงพยักหน้า “ครั้งนั้นไห่หรูเยวี่ยสาบานไว้ว่าจะตอบแทนน้ำใจเสด็จพ่อ ขอเพียงเป็นคำขอที่ไม่เกินกำลัง นางย่อมไม่ปฏิเสธ ข้ามีสัญญาเลือดที่ไห่หรูเยวี่ยลงนามไว้ หากนางตระบัดสัตย์ นางก็ต้องชั่งใจดูว่าหากข้าเปิดเผยสัญญาเลือดออกไปจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติยศของนางหรือไม่ ข้าเพียงแต่หวังให้นางแสร้งทำเป็นจะโจมตีร่วมกันกับข้าเท่านั้น มิใช่ว่าจะให้นางทำอะไรมาก คาดว่านางคงไม่ปฏิเสธแน่ และคาดว่าแคว้นจ้าวก็คงจะไม่คัดค้านเช่นกัน แคว้นจ้าวไหนเลยจะไม่อยากเห็นภายในแคว้นเยี่ยนแตกแยกกันเอง ขอเพียงนางยกพลเข้าข่มมณฑลหนานโจว คาดว่ามณฑลหนานโจวจะต้องระดมพลเข้าตอบโต้แน่ และข้าก็จะอาศัยโอกาสอันดีนี้บุกยึดจังหวัดชิงซาน ขอเพียงข้ายึดจังหวัดชิงซานได้ ข้าก็จะให้ไห่หรูเยวี่ยแสดงออกถึงการร่วมมือกันอีกครั้ง ทำให้แคว้นเยี่ยนเข้าใจว่าขอเพียงราชสำนักกล้าโจมตีข้า ไห่หรูเยวี่ยก็จะส่งทหารมาให้ความช่วยเหลือ ราชสำนักย่อมพะวักพะวง ส่วนทางสำนักหยกสวรรค์ก็จะมองว่าข้ามีอิทธิพลต่อทางไห่หรูเยวี่ย ขอเพียงข้ายึดครองพื้นที่จังหวัดชิงซานแห่งนี้ได้ สำนักหยกสวรรค์ไหนเลยจะไม่ให้การสนับสนุนข้า!”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความสงสัย “ไห่หรูเยวี่ยมีอิทธิพลต่อมณฑลจินโจวมากขนาดนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

หลานรั่วถิงเอ่ยยิ้มๆ “เต้าเหยี่ยอาจจะยังไม่ทราบ เซียวเปี๋ยซานอ่อนแออมโรคมาตั้งแต่เล็ก มีชีวิตไม่ยืนยาว ล้มป่วยสิ้นชีพไปเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน เซียวเทียนเจิ้นบุตรชายของเซียวเปี๋ยซานยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยามนี้อำนาจปกครองมณฑลจินโจวอยู่ในมือไห่หรูเยวี่ย ทางฝั่งท่านอ๋องส่งคงไปติดต่ออย่างลับๆ แล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงได้คำตอบ”

หนิวโหย่วเต้ามีสีหน้าสงสัย “พวกท่านมั่นใจจริงๆ หรือว่าสัญญาเลือดเพียงฉบับเดียวจะทำให้ไห่หรูเยวี่ยยอมตกลงช่วยเหลือได้? ข้ารู้สึกว่าควรขอข้าวของที่เป็นประโยชน์จริงๆ จะดีกว่า อย่างเช่นเสบียงอาหารเงินตรา บางทีนางอาจจะยอมตกลงได้ง่ายกว่า” เขาเพียงแค่แสดงความสงสัยออกไป ในโลกที่โกลาหลวุ่นวายมีสงครามระหว่างแว่นแคว้นเช่นนี้ เจ้าตายข้ารอด พันธสัญญาระหว่างแคว้นย่อมถูกฉีกได้ทุกเมื่อ อย่าว่าแต่สัญญาเลือดเลย ต่อให้กรีดเลือดร่วมสาบานก็ยังไม่แน่ว่าจะเชื่อถือได้

หลานรั่วถิงตอบว่า “ลองดูก็ไม่เสียหาย หากนางไม่ยอมให้ความร่วมมือจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงละทิ้งแผนยึดครองจังหวัดชิงซานเสีย ก็เหมือนอย่างที่เต้าเหยี่ยว่ามา ถือสัญญาเลือดไปหานางแล้วแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงเงินตราดดูจะเป็นไปได้มากกว่า ”

หนิวโหย่วเต้าสบตากับหยวนกังแวบหนึ่ง อีกฝ่ายยอมเปิดเผยแผนลับเช่นนี้ต่อพวกเขา ก็นับว่าเปิดใจให้พวกเขาแล้ว

ในเมื่ออีกฝ่ายเตรียมแผนการเอาไว้แล้ว เช่นนี้นับเป็นเรื่องดี หนิวโหย่วเต้ายินดีที่จะรอชมความสำเร็จ

แต่หนิวโหย่วเต้าก็สะท้อนใจกับแผนการนี้อยู่หลายส่วน ไม่ว่าแผนการของอีกฝ่ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่ว่าซางเฉาจงจะตกต่ำแค่ไหน แต่ภูมิหลังชาติกำเนิดก็ยังมีอยู่ อีกทั้งยังนำไพ่ลับอย่างไห่หรูเยวี่ยออกมาได้อีก หากเป็นคนธรรมดาต่อให้ไม่ตกอับก็ยังยากจะมีทรัพยากรเหล่านี้ได้

“เกรงว่าทางเฟิ่งหลิงปอและสำนักหยกสวรรค์คงจะเร่งรัดให้ตามหาสิ่งนั้น ต้องเตรียมแผนถ่วงเวลาให้ดี” หนิวโหย่วเต้ายังคงกล่าวเตือน

หลานรั่วถิงเอ่ยว่า “ที่สำนักหยกสวรรค์ยอมให้พวกเราใช้กำลังยึดครองอำเภอชางหลู เพราะทางเราอ้างว่าต้องควบคุมอำเภอชางหลูให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จถึงจะสะดวกต่อการค้นหา เมื่อเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องจัดระเบียบภายในอำเภอชางหลูก่อน การจัดระเบียบนี้น่าจะถ่วงเวลาออกไปได้ราวๆ สามเดือน ไม่ว่าทางจินโจวจะว่าอย่างไร แต่ระหว่างนี้เราก็น่าจะได้ข้อสรุปแล้ว”

กุนซือผู้นี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน เตรียมหลุมพรางไว้เสร็จสรรพแล้ว หนิวโหย่วเต้าพบว่าเป็นตนเองที่คิดมากไปเสียเอง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมกับเจ้าลิงอาจต้องจากไปสักระยะพ่ะย่ะค่ะ”

พอเขากล่าวเช่นนี้ พวกซางเฉาจงทั้งสามมองหน้ากันด้วยความตะลึง ทางนี้เพิ่งเปิดใจเผยความลับกับเจ้า เจ้าจะจากไปแล้วหรือ?

ซางเฉาจงรีบเอ่ยถาม “ข้าบกพร่องในจุดใดไปหรือเปล่า?”

หนิวโหย่วเต้าทราบว่าอีกฝ่ายเข้าใจความคิดตนผิดไปแล้ว นึกว่าตนจะจากไป จึงโบกมือกล่าวว่า “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว กระหม่อมมีปัญหาด้านการบำเพ็ญเพียรเล็กน้อย ต้องการเสาะหาสถานที่ปลอดภัยสักแห่งเพื่อเก็บตัวบำเพ็ญเพียร เพราะว่าที่นี่ก็มีกองกำลังอื่นอยู่ด้วย เป็นอันตรายต่อการเก็บตัวของกระหม่อมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หวังว่าท่านอ๋องจะช่วยหาโอกาสที่เหมาะสมปกปิดอำพรางให้กระหม่อมได้ออกไป เลี่ยงไม่ให้ถูกคนจับตามองพ่ะย่ะค่ะ”

นี่มิใช่คำลวง สภาวะของเขามาถึงจุดสูงสุดของระดับหลอมปราณนานแล้ว ระหว่างเดินทางก็สัมผัสได้ว่ากำลังภายในปั่นป่วนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงเวลาที่ต้องทะลวงสู่ระดับสร้างฐานแล้ว เขาไม่กล้าหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายในร่างอีก เกรงว่าตนจะควบคุมไม่อยู่ จำเป็นต้องเสาะหาสถานที่ปลอดภัยสักแห่งเพื่อเก็บตัว ซึ่งได้บอกกับหยวนกังเอาไว้แล้ว

หยวนกังทราบดีว่านี่คือเรื่องใหญ่ สำคัญกับเต้าเหยี่ยมาก ย่อมติดตามไปคุ้มกันด้วย

เมื่อเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ทั้งสามยังจะพูดอะไรได้ แต่ก็ยังมีความกังวลว่าคนผู้นี้จะจากไปไม่หวนกลับ หยวนกังยังคุยง่าย แต่ทางนี้มองออกว่าหนิวโหย่วเต้าเป็นคนเฉียบแหลมทรงปัญญา คนประเภทนี้ไม่ยอมถูกชักจูงง่ายๆ ที่ผ่านมาไม่เคยยอมเปิดใจให้พวกเขาเลย

หลังจากทุกคนพูดคุยเสร็จสิ้นก็ออกจากห้องใต้ดิน แยกย้ายกันไป ทว่าผ่านไปไม่นานซางซูชิงก็มาเยือนเรือนเล็กอันเป็นที่พำนักของหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง นำกาน้ำชามาส่งให้ด้วยตัวเอง

มีโต๊ะเล็กจัดวางอยู่กลางสวน ทั้งสามนั่งล้อมวงชมจันทร์ ซางซูชิงรินน้ำชาให้ เอ่ยถามประโยคหนึ่ง “เต้าเหยี่ย พวกเราคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมได้จำนวนหนึ่งแล้ว วิธีรักษาด้วยการเย็บแผลนั่น ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้หยวนเหยี่ยพอจะ…”

หนิวโหย่วเต้าชี้หยวนกังที่อยู่ข้างๆ “จะสอนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา อย่าได้ถามกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงลองหยั่งเชิงอีกครั้ง “พี่สะใภ้ของข้าก็ค่อนข้างสนใจเรื่องนี้ นางเองก็อยากจะส่งคนจำนวนหนึ่งมาเรียนรู้เช่นกัน เผลอๆ อาจจะมาเรียนรู้ด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ ไม่ทราบพอจะสะดวกหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าชูนิ้วโป้งโยกไปทางหยวนกังอีกครั้ง “ไม่เกี่ยวข้องกับกระหม่อมเลย ต้องถามเขาพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ

ซางซูชิงมองไปที่หยวนกัง หยวนกังพยักหน้าให้ก็นับว่าตกลงแล้ว จากนั้นก็ลุกจากไปโดยไม่แตะต้องน้ำชาเลย อันที่จริงหยวนกังมีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง อาหารที่ผู้อื่นจัดส่งให้ล้วนแต่ทำให้เขาเกิดความหวาดระแวง ทันทีที่เต้าเหยี่ยกินเข้าไป เขาจะไม่รีบแตะต้องในทันที น้ำชาก็เช่นเดียวก่อน ต้องผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อนถึงจะยอมกิน

มิใช่ว่าจะใช้หนิวโหย่วเต้าเป็นคนลองพิษ แล้วก็มิใช่ว่าไม่ไว้ใจซางซูชิง หากแต่เป็นเพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น แล้วพวกเขาต่างสิ้นท่าทั้งคู่ พอถึงเวลานั้นจะไม่เหลือใครไว้คอยรับมือ

เหลือเพียงสองคนใต้จันทรา ซางซูชิงอึกอักคล้ายอยากจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง อันที่จริงนางอยากถามยิ่งนักว่าหนิวโหย่วเต้าจะไปเก็บตัวบำเพ็ญเพียรที่ใด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกไป กลับจ้องมองผมหางม้าที่รวบไว้ลวกๆ ของหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามว่า “เหตุใดเต้าเหยี่ยถึงไม่เกล้าผม?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยตอบไป “ไม่เคยเกล้า เกล้าไม่เป็น แล้วก็คร้านจะเกล้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงร้องอ้อคำหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก นั่งอยู่ครู่หนึ่งถึงได้จากไป

ในคืนนั้น หยวนกังมาหาหนิวโหย่วเต้าที่ห้อง แจ้งหนิวโหย่วเต้าที่นั่งสมาธิอยู่ว่า “เฟิ่งรั่วหนานไปค้างคืนที่ห้องซางเฉาจง ข้าวของเครื่องใช้บางส่วนก็ถูกย้ายไปด้วย ดูเหมือนจะยอมอยู่ด้วยกันอย่างเป็นทางการแล้วครับ”

หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้น ส่งเสียงหึๆ เอ่ยว่า “หลานรั่วถิงคนนี้ไร้ยางอายพอดูเลย ใช้แผนนี้จริงๆ ด้วย” ก่อนจะส่ายหน้าส่งเสียงจุ๊ๆ จากนั้นเอ่ยว่า “พรุ่งนี้พวกเราตื่นให้เช้าหน่อยแล้วกัน!”

……………………………………………..