ตอนที่ 82 เจ้านี่โง่จริงๆ เลย!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 82 เจ้านี่โง่จริงๆ เลย!

เขาไม่ได้อธิบายว่าทำไมต้องตื่นเช้า จนกระทั่งรุ่งเช้าวันต่อมา หยวนกังถึงทราบว่าเขาจะทำอะไร

หยวนกังทนรับนิสัยชั่วร้ายของคนผู้นี้ไม่ได้อยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าจะพาเขามาดักรอตรงเรือนของซางเฉาจง

ราวกับเดาออกว่าเฟิ่งรั่วหนานต้องลุกออกมาแต่เช้าตรู่แน่ แว่วเสียงเปิดประตูดังเอี๊ยดอ๊าด เฟิ่งรั่วหนานรีบเดินออกมา เมื่อเดินมาถึงปากประตูเรือนเล็ก ก็ถูกหนิวโหย่วเต้าที่เดินลอยชายออกมาขวางอยู่ตรงประตูเรือน

“เอ๊ะ!” หนิวโหย่วเต้าแสร้งทำเป็นตกใจ มองพินิจเฟิ่งรั่วหนานตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง จากนั้นก็ชำเลืองมองเข้าไปในเรือน ประสานมือพลางเอ่ยหยอกเย้า “เมื่อคืนพระชายาพักผ่อนสำราญดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

เฟิ่งรั่วหนานมีท่าทางเหนียมอายอย่างที่เห็นได้ยากในเวลาปกติ ใบหน้าพลันแดงก่ำราวก้นลิง ทว่าฝืนทำเป็นมั่นใจ ถลึงตาใส่พร้อมกล่าวว่า “เกี่ยวอันใดกับเจ้า?”

ซางเฉาจงที่อยู่ในเรือนได้ยินเสียงจึงโผล่ออกมา เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงปากประตู พลันมีสีหน้าอับอาย รีบหันหลังกลับเข้าไปทันที

ความจริงหนิวโหย่วเต้ามองเห็นแล้ว แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เฮ้อ กระหม่อมกลัวว่าพระองค์จะทุบตีท่านอ๋องของพวกเราอีก ถึงได้มาเฝ้าอยู่ที่นี่” ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดคือต้องการบอกอีกฝ่ายว่าข้ารู้เรื่องที่เมื่อวานเจ้ามาค้างคืนอยู่ที่นี่แล้ว

เฟิ่งรั่วหนานแค้นใจจนกัดฟันกรอด ตวาดขึ้นว่า “ต่ำช้าไร้ยางอาย!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พระชายา กระหม่อมรับประกันได้ว่าครั้งนี้ไม่มีผู้ใดวางยาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

เขาเอ่ยเรื่องที่ไม่สมควรเอ่ยออกมา เฟิ่งรั่วหนานกุมด้ามกระบี่ทันที อยากจะชักกระบี่ฟันเขาให้ตายใจแทบขาด

“ดูเหมือนพระชายาจะมีอคติกับกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าหมุนตัวกลับพลางกวักมือเรียกหยวนกัง “ไปเถอะ ดูเหมือนข้าคงไม่จำเป็นต้องมาคุยเรื่องการเย็บแผลรักษาแล้ว”

เฟิ่งรั่วหนานเบิกตากว้าง นึกอยากสับเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้นยิ่งนัก สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันแล้วกล่าวไปว่า “หยุดก่อน!”

สุดท้ายนางก็ยอมอ่อนข้อให้ เป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษ!

หนิวโหย่วเต้าจากไปด้วยความพอใจ

หยวนกังที่ติดตามอยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง “คุณทำแบบนี้ เธอจะยิ่งเกลียดคุณเอานะ”

“เกลียดก็เกลียดไปสิ ทำไมพวกเราต้องเปลืองแรงให้ท่านอ๋องคนนั้นได้สบายล่ะ? ด่าฉันไว้ตั้งหลายครั้ง ฉันเอาคืนบ้างไม่ได้เหรอไง?” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเอ่ยล้อเล่น จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “ขัดขวางไม่สู้คล้อยตาม เปิดเผยกันไปให้ชัดเจนเลยดีกว่า ทะเลาะบ้างก็ดี ให้เธอรู้ว่าฉันเป็นคนแบบไหน เดี๋ยวพอชินก็กลายเป็นเรื่องปกติไปเอง แต่ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายเก็บความเกลียดชังเอาไว้ในใจจริงๆ แบบนั้นสิถึงจะยุ่ง สิงโตร้ายกัดโดยไม่ส่งเสียง! อีกอย่าง ถ้ากระทั่งเธอฉันยังจัดการไม่ได้ อย่างนั้นฉันก็ไม่มีน้ำยาแล้ว!”

เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า หนิวโหย่วเต้าพบว่ามีคนร่วมโต๊ะเพิ่มเข้ามาสองคน เฟิ่งรั่วหนานเริ่มมากินข้าวร่วมกับทางนี้แล้ว แล้วก็มีไป๋เหยาด้วยอีกคนหนึ่ง

ศัตรูคู่แค้นพบหน้าย่อมต้องมีท่าทางคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

เมื่อเช้าหยอกล้อเฟิ่งรั่วหนานไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงเปลี่ยนเป้าหมาย พุ่งเป้าไปที่ซางเฉาจง เปิดปากถามว่า “ท่านอ๋อง เมื่อคืนคงมิได้ถูกทุบตีใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน หลานรั่วถิงยกมือปิดปากกลั้นขำ ซางซูชิงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ มุมปากไป๋เหยายกโค้งขึ้นเล็กน้อย

เฟิ่งรั่วหนานทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น คว้าขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดกินอย่างดุดัน อดไม่ได้ที่จะเตะขาซางเฉาจงใต้โต๊ะไปทีหนึ่ง

ขณะที่ซางเฉาจงกำลังอึดอัดอยู่ ด้านนอกพลันมีคนเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง ด้านนอกมีคนชื่อเว่ยตัวมาหาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่ามาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ต้องการขอพบฝ่าซือ”

ทุกคนมองไปทางหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเอ่ยทวน “เว่ยตัว?” จากนั้นนึกขึ้นมาได้ คนที่รู้จักเขาในโลกนี้ แถมยังชื่อเว่ยตัว เกรงว่าคงมีเพียงศิษย์เอกของถังมู่คนนั้น

เขาเคยได้ยินถูฮั่นเอ่ยถึงศิษย์ของถังมู่คนนี้ ได้ยินว่าติดอ่าง นิสัยสัตย์ซื่อ เคารพเชื่อฟังอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง

สำหรับเว่ยตัวคนนี้ เขาไม่มีความทรงจำอันใดเลย ถึงจะบอกว่าเคยพบหน้ากัน แต่ก็แค่ได้พบกันตอนที่ไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วเกือบสิ้นชีพใต้ฝ่ามือของถังซู่ซู่ หลังจากนั้นก็ไม่เคยพบหน้ากันอีก ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายวิ่งแจ้นมาหาตนถึงที่นี่ด้วยเจตนาใด

“ไม่พบ! บอกเขาไป ข้าตัดขาดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก” หนิวโหย่วเต้าตอบกลับไป

เมื่อเขาว่ามาแบบนี้ ซางเฉาจงย่อมส่งสัญญาณให้ไปจัดการตามนั้น

หลังจากคนที่มาแจ้งข่าวออกไป จู่ๆ ไป๋เหยาก็เปิดปากเอ่ยว่า “เกิดเรื่องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เล็กน้อย”

สายตาของทุกคนหันมองไปทางเขาทันที หนิวโหย่วเต้าสอบถาม “ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น?”

คำถามนี้เป็นการแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว จากที่เขาคาดการณ์ไว้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์น่าจะถูกทำลายล้างแล้ว กำลังสงสัยว่าเว่ยตัวคนนี้ใช่ผู้โชคดีที่หนีรอดมาได้หรือไม่

ไป๋เหยาเล่าว่า “เพิ่งได้รับข่าวเมื่อไม่นานนี้ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ป่าวประกาศต่อโลกบำเพ็ญเพียร ระบุนามศิษย์ทรยศล้มครูล้างสำนักจำนวนหนึ่ง ซ่งซูบุตรชายของเสนาบดียุติธรรมซ่งจิ่วหมิงก็อยู่ในรายชื่อนี้ด้วย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์บอกว่าบุตรชายของซ่งซูลอบทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ซ้ำยังกล่าวว่าซ่งซูสมคบกับสำนักเซียนสถิตเข้าลอบโจมตีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เรื่องนี้สร้างความปั่นป่วนขึ้นในโลกบำเพ็ญเพียรไม่น้อย ซ่งซูผู้นั้นนับว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้ว ซ้ำยังมีข่าวลืออีกว่าขณะที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เกือบจะถูกทำลายล้าง จ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมารซึ่งเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ถูกขับออกจากสำนักไปแล้วผู้นั้นได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาคับขัน ข่มขวัญสำนักเซียนสถิตจนล่าถอยไป ถึงทำให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์พ้นเคราะห์ไปได้ ตอนนี้ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกันว่าสถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอย่างไร”

พ้นเคราะห์ไปได้? สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิได้ถูกทำลายล้างหรือ? หนิวโหย่วเต้าตะลึงไปเล็กน้อย เขาเองก็เคยได้ยินถูฮั่นเอ่ยถึงจ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมารเช่นกัน ทั้งยังบอกด้วยว่าหากพบปัญหาให้ไปหาจ้าวสยงเกอเพื่อลี้ภัย หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิได้ถูกทำลายล้าง แล้วเว่ยตัวผู้นี้มาหาตนทำไม?

เฟิ่งรั่วหนานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “จ้าวสยงเกอผู้ครองลำดับที่เก้าแห่งทำเนียบโอสถคนนั้นน่ะหรือ?”

ไป๋เหยาเคี้ยวขนมเปี๊ยะช้าๆ “เขานั่นแหละ”

เฟิ่งรั่วหนานถามด้วยความอยากรู้ “จ้าวสยงเกอเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ? ยอดฝีมือเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับออกจากสำนักเล่า?”

ไป๋เหยากล่าวตอบ “ได้ยินว่าคนผู้นี้มีหวังจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มากที่สุด แต่ภายหลังไปผูกสมัครรักใคร่กับเทพีแห่งนิกายมารเข้า จึงก่อเรื่องวุ่นวายบางอย่างขึ้น สำนักทนรับไม่ไหว ถึงได้ขับไล่เขาออกไปจากสำนัก ส่วนรายละเอียดข้าเองก็ไม่ทราบชัดเจนนัก ข่าวลือเลื่อนลอยต่างๆ นานาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง”

ขณะที่คุยกันอยู่ คนจากด้านนอกเข้ามารายงานอีกครั้ง “ท่านอ๋อง เว่ยตัวผู้นั้นกล่าวว่าหากไม่ได้พบฝ่าซือก็จะไม่ไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”

“วุ่นวายนัก ให้เขาเข้ามา” หนิวโหย่วเต้าแสร้งพูดเหมือนหงุดหงิด แต่อันที่จริงหลังจากที่รู้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังไม่ถูกทำลายล้าง เขาก็อยากเห็นเช่นกันว่าเว่ยตัวผู้นี้มาหาตนด้วยเรื่องใดกันแน่

ไม่นานนัก คนด้านนอกเข้ามารายงาน บอกว่าพาคนมาแล้ว กำลังคอยอยู่ด้านนอก

หนิวโหย่วเต้าโยนขนมเปี๊ยะในมือกลับลงไปบนโต๊ะ ลุกออกจากโต๊ะ คนที่เหลือก็พากันลุกจากโต๊ะเช่นกัน ด้วยอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่

ในสวนนอกเรือน ชายคนหนึ่งยืนประสานมือไว้ด้านหน้า รูปร่างสมส่วน มองหน้าแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนประเภทสัตย์ซื่อจริงใจ เป็นเว่ยตัวที่สอบถามข่าวคราวของเขามาตลอดทาง

หนิวโหย่วเต้าเดินออกมา เมื่อพบหน้าเว่ยตัว ต่างฝ่ายต่างก็กวาดตามองดูอีกฝ่าย ทั้งสองล้วนเคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเป็นเวลาหลายปี หนิวโหย่วเต้าเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เด็กหนุ่มเมื่อเติบโตขึ้นจะเหลือเค้าโครงเดิมเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเว่ยตัวไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไร หนิวโหย่วเต้ามองแวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นคนที่เคยพบกันในปีนั้น น่าจะไม่มีผิดตัวแน่

หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ค้ำพื้น ถามอย่างเฉยชา “มาหาข้าด้วยเรื่องใด?”

เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นเขา เว่ยตัวมีท่าทางตื่นเต้นลนลานขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ประสานมือค้อมคำนับพลางกล่าวว่า “ศิษย์ คา…คารวะ…เจ้าสำนัก! ศิษย์มา…มาช้า…เจ้าสำนัก…ปะ…โปรดอภัยด้วย!” ว่าจบก็คุกเข่าลงเสียงดังตุบ ตาแดงเรื่อ ท่าทางเหมือนจะร้องไห้

การคารวะเช่นนี้ทำให้หนิวโหย่วเต้าตกใจ นี่มันอะไรกัน?

นอกเหนือจากพวกซางเฉาจงแล้ว ไป๋เหยาและเฟิ่งรั่วหนานเองก็มองหนิวโหย่วเต้าด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เจ้าสำนักหรือ? เจ้าสำนักไหน?

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าจะบอกอะไรให้นะพี่ชาย ข้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ท่านแสดงความเคารพเช่นนี้ ข้ารับไม่ไหว เอาล่ะ หากท่านมีธุระก็ว่ามา ถ้าไม่มีก็ไปซะ ข้ายังมีธุระต้องทำอีก ไม่มีเวลามาคุยหยุมหยิมกับท่าน”

“เจ้าสำนักดะ…ได้รับความอยุติธรรมแล้ว…พวกเขาไม่…ไม่ควร…ทำเช่นนั้น…ข้าคัด…คัดค้านมาตลอด…ถูกลงโทษให้หันหน้าเข้ากำแพงอยู่หลังเขา…มะ…ไม่ทราบว่าพวกเขาทำเช่นนั้นต่อ…ต่อเจ้าสำนัก…” เว่ยตัวพูดจาตะกุกตะกักไม่จบสักที

หนิวโหย่วเต้าฟังแล้วเงยหน้ามองฟ้า จากนั้นก็มองเขา เหตุใดฟังคนผู้นี้พูดแล้วถึงได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้?

คนอื่นๆ ก็ฟังจนเหนื่อยเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ได้ฟังจนรู้เรื่อง ไป๋เหยากับเฟิ่งรั่วหนานถึงได้เข้าใจ ที่แท้หนิวโหย่วเต้าควรได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ถูกคนอื่นวางแผนชิงตำแหน่งไป ซ้ำยังถูกลอบสังหารระหว่างทาง ชะตากรรมเช่นนี้ชวนให้รู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจที่ท่านพูดแล้ว ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน แต่ข้าตัดขาดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกันอีก ท่านช่วยกลับไปจะได้ไหม?” หนิวโหย่วเต้าโบกมือ คล้ายสื่อว่ากลับดีๆ ล่ะ ข้าไม่ส่งนะ

เว่ยตัวคล้ายจะกระวนกระวายขึ้นมา “พวกเรากลับ…ไปด้วยกัน….ข้าจะทวงความเป็นธรรม…ให้เจ้าสำนักให้ได้!”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือไล่ต่อไป “ไม่ต้องแล้ว น้ำใจของท่านข้ารับไว้แล้ว ท่านกลับไปเถอะ!” เขายอมกลับไปก็บ้าแล้ว ถูกกักบริเวณตั้งหลายปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลุดพ้นออกมาได้ จะกลับไปรนหาที่ตายทำไม?

เว่ยตัวตอบอย่างมุ่งมั่น “เช่นนั้นข้าจะอยู่ปก…ปกป้อง…เจ้าสำนัก!”

ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย หนิวโหย่วเต้าจะเก็บคนที่น่าสงสัยไว้ข้างกายได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ได้ส่งซ่งเหยี่ยนชิงคนที่สองมา เขาตวาดใส่ “ไสหัวไป!”

เว่ยตัวส่ายหน้า “ไม่ไป!”

หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้ว เอ่ยขู่ว่า “ที่นี่มิใช่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เจ้าไม่มีสิทธิ์มากระทำตัวไร้เหตุผล เชื่อหรือไม่ว่าข้าสังหารเจ้าได้?”

เว่ยตัวส่ายหน้า “ศิษย์ของอาจารย์…อาจารย์ตงกัว…ไม่มีทางทำเช่นนี้กับ…กับข้า!”

หนิวโหย่วเต้าไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเขาเลย แล้วก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ อีกทั้งไม่คิดจะเกรงใจเขาด้วย แต่กลับถูกนาม ‘ตงกัวเฮ่าหราน’ คำนี้กลับสะกิดเอาไว้เล็กน้อย จึงกวักมือด้วยความหงุดหงิดทันที “ใครก็ได้ ลากตัวเขาออกไปที!”

องครักษ์หลายคนเข้ามาขับไล่ เว่ยตัวยังคงไม่ยอมจากไป ผลคือถูกหามออกไป เขาเองก็ไม่กล้าใช้กำลังต่อต้าน ได้แต่ตะโกนเรียกเจ้าสำนักๆ ไปตลอดทาง

“ประสาท!” หนิวโหย่วเต้าสะบัดแขนเสื้อ สาวเท้าเดินกลับไปที่เรือนพำนักของตน

ทว่าต่อมาก็มีคนมารายงานว่า “ฝ่าซือ คนผู้นั้นคุกเข่าอยู่นอกประตูใหญ่ของคฤหาสน์ขอรับ บอกว่าหากฝ่าซือไม่ยอมตกลง เขาไม่มีวันลุกขึ้น”

เจ้านี่โง่จริงๆ เลย! หนิวโหย่วเต้ากล่าวอย่างหงุดหงิดและขบขัน “เขาอยากคุกเข่าก็ปล่อยเขาคุกเข่าไป เดี๋ยวเหนื่อยแล้วเขาก็ไปเอง

เช้าวันต่อมา เมื่อเปิดประตูห้อง เขาพบเงาร่างอรชรร่างหนึ่งยืนอยู่นอกประตู

ร่างอรชรหันกลับมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เต้าเหยี่ย อรุณสวัสดิ์!”

หนิวโหย่วเต้าย่างเท้าออกจากประตู เอ่ยถามว่า “ท่านหญิงมาคอยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้า มีเรื่องใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงเอ่ยตอบ “วันก่อนได้ยินว่าเต้าเหยี่ยเกล้าผมไม่เป็น ข้าทำเป็น หากเต้าเหยี่ยไม่รังเกียจ ข้ายินดีทำให้อย่างเต็มที่”

หนิวโหย่วเต้าอมยิ้ม กล่าวว่า “จะอาจเอื้อมให้ท่านหญิงมาเกล้าผมให้กระหม่อมได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงหันหลังก้าวจากไป เมื่อกลับมาอีกครั้ง นางย้ายเก้าอี้มาวางไว้ใต้ชายคา แสดงท่าทางเชิญให้นั่งลง

คำโบราณกล่าวไว้ว่าไม่มีผู้ใดทำดีโดยไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง! หนิวโหย่วเต้าบ่นอยู่ในใจ ใคร่ครวญว่าสตรีนางนี้ต้องมีเรื่องใดอยู่แน่ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางมาเกล้าผมให้เขาโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเดินเข้าไปนั่ง ด้วยอยากเห็นว่าสตรีนางนี้มีลูกไม้อันใด

ซางซูชิงเดินไปยังด้านหลังเก้าอี้ ช่วยแก้มัดผมหางม้าให้เขา นำหวีที่พกมาด้วยช่วยหวีให้เขาอย่างระมัดระวัง

หยวนกังขยับเข้ามาใกล้ จ้องมองดูอย่างเงียบๆ

……………………………………….