ตอนที่ 111 พลุสัญญาณหลิงอวิ๋น (2) ตอนที่ 112 พลุสัญญาณหลิงอวิ๋น (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 111 พลุสัญญาณหลิงอวิ๋น (2)

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นปลุกเมืองหลวงที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นจากนิทรา ผู้คนขยับมาที่หน้าต่าง บ้างออกมายืนที่ลานบ้าน มองดูแสงสีแดงบนท้องฟ้าที่สุกสว่างด้วยความคิดที่ซับซ้อน

เหล่าประชาชนที่ไม่ทราบเบื้องหลังของพลุสัญญาณสีแดงนี้ ต่างก็ชื่นชมและรู้สึกว่ามันเป็นฉากที่สวยงามดี ปลุกให้คนในครอบครัวของพวกเขาที่กำลังหลับอยู่ลุกขึ้นมาเพื่อชื่นชมแสงนั้น

อย่างไรก็ตาม เหล่าขุนนางของราชสำนักกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินไปกับมันด้วย

เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับแสงสีแดงนี้มากจนเกินไป เสียงฟ้าร้องดังสนั่นนั้นยังคงติดอยู่ในหูของพวกเขาไม่จางหาย

ทุกครั้งที่เสียงฟ้าร้องนี้ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับพลุดอกไม้ไฟสีแดงที่วาดระบายแต่งแต้มอยู่บนท้องฟ้า มันมีเพียงความหมายเดียวเท่านั้น นั่นคือพายุโลหิตกำลังใกล้มาถึงแล้ว!

พลุสัญญาณหลิงอวิ๋นดัง กองทัพรุ่ยหลินพร้อมเคลื่อนพล!

คำสั้นๆ ไม่กี่คำนี้ที่ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือน ได้หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของพวกเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งในเวลานี้!

ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสีแล้ว!

เมืองหลวงแห่งนี้กำลังจะเกิดเหตุการณ์สำคัญครั้งใหญ่ขึ้น!

ในวังหลวง ฮ่องเต้ที่กำลังบรรทมอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์สะดุ้งตื่นจากนิทราเมื่อได้ยินเสียงร้องกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้า พระเสโทเย็นๆ ไหลโซมไปทั่วพระวรกาย พระองค์ทรงลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่หน้าต่างอย่างเร็วรี่ ทอดพระเนตรไปที่แสงสีแดงที่คุ้นเคยนั้น พระอุระของพระองค์ก็เต้นเร่าราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกไหม้

พระวรกายของฮ่องเต้ผู้ซึ่งยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือผู้คนทั้งรัฐกำลังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

มันคือใคร! ใครกันที่ปลดปล่อยพลุสัญญาณหลิงอวิ๋น!

ราตรีที่มืดมิดโอบล้อมไปทั้งเมืองหลวง แผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย และเสียงดังของกีบที่กำลังห้อทะยานเข้ามาก็วิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้นทุกขณะ!

ในเมืองหลวง ทหารยามที่ยืนป้องกันประตูเมืองอยู่ ยืนอยู่ท่ามกลางแสงคบเพลิงที่ริบหรี่ พวกเขาเพ่งมองเข้าไปในความมืด และก็ได้เห็นทหารม้าและกองทัพที่สวมชุดเกราะอย่างเต็มรูปแบบพร้อมสัญลักษณ์ของจวนหลินอ๋อง แววตาที่ดุดันมาดร้ายทำให้ทหารยามรู้สึกว่าขาของพวกเขานั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ขณะที่พวกเขาต่างรีบร่นถอยกลับเข้าสู่กำแพงเมือง พวกเขาก็มองไปที่ทัพทหารทั้งหมดที่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ไร้ซึ่งกำลังจะต่อต้าน ทหารยามไม่กี่คนที่ยืนป้องกันประตูเมืองอยู่ได้แต่มองดูทัพทหารเหล่านั้นเคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวงไป

กองทัพรุ่ยหลิน!

มันคือกองทัพรุ่ยหลินของจวนหลินอ๋อง!

ทหารม้าที่ใส่เกราะหนักควบขี่อยู่บนหลังอาชาอย่างอุกอาจ พวกเขาวิ่งไปตามทิศทางของจวนหลินอ๋องราวกับสายลม ในขณะที่พวกเขาวิ่งผ่าน พวกทหารยามซึ่งเฝ้าประตูเมืองหลวงอยู่นั้นก็ยังไม่ตื่นจากฉากที่พวกเขาได้เห็นดี

ค่ำคืนนี้ จะไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงสามารถนอนหลับสนิทได้แม้แต่คนเดียว!

ด้านนอกจวนหลินอ๋อง จวินอู๋เสียยืนนิ่งปะทะกับสายลมยามราตรีที่พัดกระพือเข้ามา อาภรณ์ที่สวมใส่อยู่บนร่างของนาง พลิ้วไหวไปพร้อมกับแรงลมที่โหมซัด แสงไฟจากคบเพลิงที่จุดสว่าง ส่งให้ใบหน้างามล่มเมืองของจวินอู๋เสียยิ่งดูเปี่ยมเสน่ห์มากยิ่งขึ้น กระนั้นความเยือกเย็นในแววตาของนางกลับทำให้บรรยากาศโดยรอบประหนึ่งแดนอเวจีที่พร้อมจะผุดขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ความเงียบสงบของนาง เป็นเพียงความเงียบก่อนที่พายุร้ายจะโหมซัดกวาดทำลายล้างทั้งเมืองหลวงเท่านั้น

เมื่อกองทัพรุ่ยหลินเดินทางมาถึงหน้าจวนหลินอ๋อง พวกเขาก็กระโดดลงจากหลังม้า ทหารในชุดเกราะหนักขัดเงาสีเงินที่มีสัญลักษณ์จวนหลินอ๋องอยู่บนนั้น คุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งต่อหน้าจวินอู๋เสียอย่างพร้อมเพรียง

หลงฉียืนอยู่หน้าสุดของแถว คุกเข่าลงต่อหน้าจวินอู๋เสียด้วยท่าทีเคร่งขรึมแล้วเอ่ยเรียกเด็กสาวไปอย่างสุภาพว่า “คุณหนูใหญ่”

จวินอู๋เสียหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปยังกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรัฐชีตรงหน้า แววตาที่เยือกเย็นเผยความโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองออกมาจนหมด

“อู๋เสีย! นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” จวินชิงที่นั่งอยู่ในห้องโถงเอ่ยถาม ขณะที่เขามองจวินอู๋เสียซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูจวนหลินอ๋องด้วยดวงตาวาบวับ

จวินอู๋เสียหันศีรษะกลับไปมองที่จวินชิง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน

“กบฏ!” ฮ่องเต้สุนัข! ในเมื่อเจ้ากล้าทำมัน ข้าก็จะขอสนองคืนกลับไปบ้าง!

หัวใจของจวินชิงสะท้านเฮือก กบฏรึ! นี่นางเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน!

หลี่หร่านซึ่งกำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ข้างๆ ด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา จากที่ตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังคำสองคำจากปากของจวินอู๋เสีย เขาก็ยิ่งผวาหนัก

นี่นางกำลังคิดจะบังคับให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติเชียวรึ! เขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย

คุณหนูใหญ่แห่งจวนหลินอ๋อง กำลังคิดจะก่อกบฏบีบให้ฮ่องเต้ลงจากราชบัลลังก์!

เหงื่อเย็นไหลท่วมตัวของเขาจนเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ชุ่มโชกไปหมด

“เสี่ยวเฮย” จวินอู๋เสียเรียกสหายของนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา เงาสีดำขนาดมหึมาก็มาปรากฏอยู่ที่บันไดหน้าห้องโถง เขี้ยวของมันยังคงเปื้อนเลือดของศัตรูที่บุกเข้ามาในจวนหลินอ๋องก่อนหน้านี้อยู่เลย

“ปิดปากมันซะ” จวินอู๋เสียหรี่ตาลง

ลางสังหรณ์ร้ายผุดขึ้นในใจของหลี่หร่าน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ใดๆ สัตว์ร้ายสีดำตัวใหญ่ก็กระโจนมาถึงตัวเขาพอดี

เสียงกรีดร้องดังลั่นดังขึ้นช่วงสั้นๆ ก่อนที่มันจะเงียบหายไป เพียงพริบตา หลี่หร่านก็สิ้นลมภายใต้คมเขี้ยวของสัตว์ร้ายสีดำ ร่างของเขาถูกย้อมอาบไปด้วยโลหิต และของเหลวสีแดงก็สาดกระจายไปทั่วพื้นห้องโถง

จวินชิงจ้องไปที่ศพของหลี่หร่านที่ถูกโยนทิ้งลงบนพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า สัตว์ร้ายสีดำเดินอ้อมไปด้านหลังไปหาจวินอู๋เสียที่ยืนรอหน้าประตูหลังจากที่มันทำภารกิจเสร็จแล้ว

ทหารกองทัพรุ่ยหลินที่รอรับคำสั่งอยู่ด้านนอกประตู ล้วนได้เห็นฉากอันน่าสยดสยองนี้กับตา เขารู้ว่าอีกฝ่ายคือท่านแม่ทัพหลี่หร่าน แต่พวกเขาไม่ทราบว่าแม่ทัพหลี่หร่านนั้นคิดจะทำร้ายคุณหนูใหญ่ของพวกเขา และจบลงในสถานการณ์เช่นนี้

พวกเขาทั้งหมดต่างยืนนิ่ง เพียงมองศพของหลี่หร่านอย่างเย็นชา แต่ไม่ถามอะไรกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าแม้สักคำ

กองทัพรุ่ยหลินล้วนแต่เชื่อฟังคำสั่งของคนสกุลจวินอย่างเคร่งครัด พวกเขาจะซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อสกุลจวินอย่างไม่มีเงื่อนไข

ตอนที่ 112 พลุสัญญาณหลิงอวิ๋น (3)

จากช่วงเวลาที่จวินชิงพาจวินอู๋เสียก้าวเข้าไปในค่ายทหารของกองทัพรุ่ยหลินเป็นครั้งแรก บัดนี้จวินอู๋เสียมีอำนาจและกำลังมากเพียงพอที่จะขับเคลื่อนกองทัพรุ่ยหลินแล้ว!

จวินอู๋เสียไม่สนใจที่จะมองร่างของหลี่หร่านอีกต่อไป และหันไปเผชิญหน้ากับกองทัพรุ่ยหลินที่กำลังยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้านางแทน

“โจรชั่วเหิมเกริม ริอาจก่อกบฏคิดคดทรยศต่อฮ่องเต้ และบัดนี้พวกมันก็ได้แทรกซึมเข้ามาในเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว ทหารกล้าแห่งกองทัพรุ่ยหลินเอ๋ย จงทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้เต็มที่! คืนนี้ข้าจะนำพวกเจ้าไปปราบโจรกบฏกัน!”

“รับทราบ!” เหล่าทหารหาญแห่งกองทัพรุ่ยหลินขานรับเสียงดังราวกับฟ้าร้อง

จวินอู๋เสียกระโดดขึ้นไปขี่อยู่บนหลังสัตว์พาหนะสีดำตัวใหญ่ “หลงฉี”

“ข้าน้อยอยู่นี่แล้วขอรับคุณหนูใหญ่!” หลงฉีขานรับ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่จวินอู๋เสียด้วยแววตาหมายมาด กี่ปีแล้วนะที่พลุสัญญาณหลิงอวิ๋นไม่ถูกใช้ เขาเองก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่ในวันนี้เมื่อแสงสีแดงถูกจุดขึ้นอวดศักดาเหนือท้องฟ้ายามราตรี เลือดในตัวของเขาก็เดือดพล่าน เปลวไฟที่ค่อยๆ มอดดับในใจเขาถูกจุดขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กัน

“ไปจับตัวอู๋อ๋องมาให้ข้า”

“รับบัญชา!”

“แม่ทัพนายกองทั้งหลายจงฟัง ต่อให้ต้องพลิกเมืองหลวงแห่งนี้ ก็ต้องลากโจรชั่วพวกนั้นออกมาให้ข้าให้ได้!” จวินอู๋เสียสั่งอย่างแข็งกร้าว

ฮ่องเต้สุนัข!

เจ้ากล้าแตะต้องท่านปู่ของข้าเหรอ!

ได้…

แล้วพวกเราจะได้เห็นดีกัน!

ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าจวนหลินอ๋องของข้าไม่ใช่สถานที่ที่จะเหยียบย่ำกันได้ง่ายๆ!

จวินชิงมองดูจวินอู๋เสียออกคำสั่งด้วยความตกใจเกินจะบรรยาย

โจรกบฏรึ! มันมีโจรกบฏที่ไหนกันเล่า!

จวินอู๋เสียเรียกระดมกองทัพรุ่ยหลินแล้วสั่งให้คนออกค้นหาทั่วเมืองหลวง ไม่ใช่เพื่อค้นหาโจรกบฏดั่งเช่นที่กล่าวอ้างไป แต่เพื่อค้นหาตัวจวินเสี่ยนต่างหาก! นางต้องการทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายภายในเมืองหลวงแห่งนี้ เพื่อตักเตือนฮ่องเต้ว่าอย่าได้ริอาจมาเขย่าถ้ำเสือ!

กองทัพรุ่ยหลินหนึ่งแสนนาย จะเขย่าเมืองหลวงแห่งนี้ให้โกลาหลลุกเป็นไฟ!

ทัพทหารจำนวนหนึ่งแสนนายจากกองทัพรุ่ยหลิน เพียงพอจะโยนฮ่องเต้อย่างเขาลงจากบัลลังก์ได้เช่นกัน!

ในที่สุดจวินชิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจวินอู๋เสียถึงฆ่าหลี่หร่าน

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหลี่หร่านเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่ชักนำจวินเสี่ยนเข้าสู่กับดักหรือไม่ แต่เมื่อนางเพิ่งกล่าวคำว่า ‘กบฏ’ สองคำนี้ออกไปต่อหน้าหลี่หร่าน เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีก และนั่นก็คือจุดสิ้นสุดของชีวิตของเขา

‘กบฏ’ สองคำนี้มีแต่จวินชิงและจวินอู๋เสียสองอาหลานเท่านั้นที่ได้ยิน แม้แต่กองทัพรุ่ยหลินที่ยืนรอฟังคำสั่งของจวินอู๋เสียอยู่ที่หน้าประตูจวนหลินอ๋องก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่า ‘กบฏ’ ที่พวกเขากำลังมองหาไปทั่วทั้งเมืองหลวง ที่แท้ก็ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขานี่เอง

“ท่านอาเล็ก สกุลจวินของพวกเราไม่อาจถอยได้อีกแล้ว” จวินอู๋เสียทิ้งคำพูดที่มีความหมายเหล่านี้ไว้ และนำกองทัพรุ่ยหลินเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงเพื่อตามหาผู้เป็นปู่ของนาง

ทัพทหารจำนวนหนึ่งแสนนาย เดินเต็มท้องถนนรวมทั้งตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ของเมืองหลวง คบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่พวกเขาถืออยู่ในมือ จุดให้ทั้งเมืองหลวงสว่างโร่ราวกับเป็นตอนกลางวัน

กีบม้ากระทบกับพื้นจนเศษฝุ่นฟุ้งกระจาย ทหารในชุดหุ้มเกราะที่ควบขี่อยู่บนหลังอาชาศึกห้อตะบึงไปทั่วดั่งพายุ รีบค้นหา ‘โจรกบฏ’ ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายไว้

ในค่ำคืนนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างถูกปลุกให้ตื่นจากฝันหวาน เมื่อพวกเขามองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ต่างก็ต้องตกใจที่เห็นทหารหุ้มเกราะบนหลังม้าของกองทัพรุ่ยหลินกำลังวิ่งพล่านไปทั่ว!

เป็นเวลาหลายปีแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เห็นความน่าเกรงขามของกองทัพรุ่ยหลิน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขากำลังจะได้เป็นสักขีพยานถึงความกล้าหาญของพวกเขาอีกครั้งภายในเมืองหลวงรัฐชีแห่งนี้!

ในเมืองหลวงอันเป็นที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าข้าราชบริพารขุนนางชั้นสูง บัดนี้จวนของพวกเขาล้วนถูกกองทัพรุ่ยหลินปิดล้อมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว

เหล่าขุนนางที่ปกติเก่งแต่เชิดหน้าดูถูกผู้อื่น เวลานี้ได้แต่ขดตัวซ่อนตัวอยู่แต่ในจวนของพวกเขาด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริก ทุกคนนั้นหวาดกลัวกองทัพรุ่ยหลินเป็นอย่างมาก ยืนกรานไม่ยอมเปิดประตูให้กองทัพรุ่ยหลินเข้ามาภายในที่พักของพวกเขาท่าเดียว

หลงฉีนำกำลังคนส่วนหนึ่งบุกไปที่จวนอู๋อ๋อง อู๋อ๋องที่กำลังกกกอดเล่นหยอกล้ออยู่กับนางสนมของตัวเองอยู่ ก็ถูกลากลงมาจากเตียงนอนแล้วเหวี่ยงโยนลงพื้นราวกับเดรัจฉานตัวหนึ่ง

เสียงกรีดร้องเหมือนหมูดังขึ้น หลงฉีลากตัวอู๋อ๋องในสภาพน่าเวทนาออกไปทันทีโดยปราศจากคำพูดใดๆ!

เด็กสาวผู้มีใบหน้างดงามล่มเมืองขี่อยู่บนหลังสัตว์ร้ายสีดำนำอยู่ด้านหน้าขบวนทัพ กำลังค่อยๆ เคลื่อนพลประชิดกำแพงวังหลวงของฮ่องเต้

ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะตกใจกับเสียงพลุสัญญาณหลิงอวิ๋นไม่หาย เสด็จขึ้นไปบนกำแพงเหนือประตูวังหลวงทันที ในบรรดากลุ่มคนที่มาชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก พระองค์ก้มพระพักตร์ลงและทรงทอดพระเนตรเห็นจวินอู๋เสียยืนอยู่ด้านหน้ากองทัพรุ่ยหลิน

ไม่อยากจะเชื่อ!

คุณหนูใหญ่ที่ครั้งหนึ่งใครๆ ต่างก็เรียกขานนางว่าเป็นสวะ เป็นที่หัวเราะเยาะขบขันของผู้คน แต่บัดนี้กลับกล้านำกองทัพรุ่ยหลินมาปิดล้อมอยู่ที่หน้าประตูวังหลวง ยืนอยู่ด้านหน้ากองทัพนับแสนอย่างองอาจกล้าหาญ!

กวาดสายตามองออกไป เหล่าทหารจากกองทัพรุ่ยหลินที่ถือคบเพลิงเดินตรวจตราค้นทั่วทั้งเมืองหลวง ยามนี้ช่างดูเหมือนมังกรไฟที่โลดแล่นทะยานอยู่ในเมืองหลวงเสียเหลือเกิน!

มั่วเซวี่ยนเฝ่ยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองลงไปที่จวินอู๋เสียจากบนกำแพงวังหลวง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกระคนประหลาดใจ