อินกองแกะซองจดหมายสีแดง เขานำเอาจดหมายที่พับอยู่ด้านในออกมา

 

 เขาเคาะตัวจดหมายและดมกลิ่นตรวจสอบบางอย่าง

 

 ดูเหมือนว่าตัวจดหมายมิได้ชุบยาพิษเอาไว้

 

 อันที่จริงฟลอร่าได้ตรวจสอบเบื้องต้นเรียบร้อย ฉะนั้นหากมีความผิดปกตินางย่อมแจ้งให้เขาทราบ ทว่าอินกองเลือกที่จะไม่ประมาทและตรวจสอบเพิ่มด้วยตนเอง ทั้งนี้เพราะเขามีทักษะที่สามารถต้านทานพิษได้

 

 หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ อินกองก็เริ่มอ่านข้อความบนจดหมาย ตัวอักษรที่เขียนอย่างงดงามเป็นข้อความ

 

‘ฉัตร อิกษณาน้องรัก

ด้วยเหตุผลบางประการทำให้พวกเราพี่น้องต่างมารวมตัวกันที่วังจอมมาร

แม้พวกเราไม่อาจจะสนทนาพูดคุย ณ ที่ประชุมได้ กระนั้นการที่ได้พบเห็นใบหน้าทุกคนถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

ฉัตร อย่างที่น้องรู้พวกเราต่างได้รับมอบหมายภารกิจเดียวกันในครั้งนี้ ซึ่งเวลาออกเดินทางจะมาถึงภายในหนึ่งสัปดาห์

ภารกิจนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภยันตรายของโลกมาร แต่ในทางเดียวกันก็เป็นนิมิตหมายอันดี นั่นเพราะการที่พวกเราพี่น้องมารวมตัวกันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นนานครั้ง

ก่อนที่จะแยกย้ายทำภารกิจของตน เราจึงคิดจัดงานสังสรรค์ระหว่างพวกเราพี่น้อง จะน่ายินดีขนาดไหนหากพวกเราได้สนทนาอย่างเป็นกันเอง?

ยามเที่ยงสองวันก่อนการเดินทาง เราจะจัดงานเลี้ยงน้ำชา

เราจึงถือโอกาสนี้เชิญน้องมาร่วมงานเลี้ยงด้วย

รักและคิดถึง
ไบคาล แร็กนารอส’

 

 ข้อความในจดหมายเรียกได้ว่าเรียบง่ายและสนิทสนมต่างจากจดหมายของเหล่าราชวงศ์ แต่วัฒนธรรมของโลกมนุษย์กับโลกมารก็ต่างกันจึงไม่สามารถใช้บรรทัดฐานเดียวกันได้

 

หลังจากที่อ่านข้อความเสร็จ อินกองก็ส่งทอดจดหมายให้กับคริสต์และเฟลิซีที่มีสีหน้าอยากรู้

 

“ไบคาลออราเบียวนิ”

 

เฟลิซีกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วแล้วหันไปถามฟลอร่าเพิ่ม

 

“ฟลอร่า มีอะไรส่งมานอกเหนือจากจดหมายนี้ไหม?”

 

“ข้าพระพุทธเจ้ารับรู้มาว่า สาสน์ในลักษณะเดียวกันถูกส่งมอบไปยังคฤหาสน์ของพระองค์เจ้าทุกพระองค์เพคะ”

 

 จดหมายชวนเชิญทายาททั้งหมดร่วมงานเลี้ยงน้ำชา คริสต์แสยะยิ้มพลางหรี่ตาลง

 

“งานเลี้ยงน้ำชาของเหล่าทายาทงั้นรึ เรียกว่าเป็นครั้งแรกเลย”

 

 นั่นเพราะการที่เหล่าทายาทมารวมตัวกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยครั้ง

 

 เคทลินผู้ที่ต้องการสนิทสนมกับพี่น้องอยู่แล้วเห็นดีงามด้วยกับความคิดจัดงานเลี้ยงนี้

 

 เฟลิซีชำเลืองมองคริสต์กับเคทลินก่อนจะยักไหล่

 

“อย่างที่ออราเบียวนิบอกในจดหมาย การรวมตัวของพวกเราเช่นนี้นานครั้งจะเกิดขึ้น และถึงจะรวมตัวกัน พวกเราต่างก็แยกย้ายกันในเวลาไม่นานอยู่ดี ถึงอย่างนั้นดูเหมือนไบคาลออราเบียวนิจะมีเวลาว่างมากกว่าที่คิด?”

 

 นอกเหนือจากการเป็นทายาทผู้อาวุโสที่สุด ไบคาลยังเป็นแม่ทัพในการรบ

 

 ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาจะอยู่ในการศึกแนวหน้า เรียกว่าเป็นทายาทที่ใช้เวลาในวังจอมมารน้อยที่สุดก็เป็นได้

 

 งานเลี้ยงน้ำชาที่จัดเพื่อรวมตัวเหล่าทายาทมา ณ สถานที่เดียวกัน

 

 สีหน้าของคริสต์แสดงถึงความสับสน

 

“เราไม่ค่อยจะชอบใจซักเท่าไร”

 

 ถ้อยคำที่สมกับเป็นคริสต์

 

 น้อยครั้งที่สองพี่น้องไลแคนโทรปเข้าร่วมงานพิธีการ เมื่อเป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่จัดขึ้นสังสรรค์เล็กน้อยจึงไม่เป็นที่แปลกใจที่ทั้งสองจะปฏิเสธ

 

‘จะว่าไป ในเกมทั้งสองก็ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยง’

 

 อ้างอิงจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ไบคาลจัดงานเลี้ยงน้ำชาขึ้นหลายครั้ง ทั้งหมดเพื่อรวมตัวเหล่าทายาทพบปะสังสรรค์ สมาชิกที่เข้าร่วมแต่ละครั้งก็ต่างออกไป และมีบางทายาทที่ไม่เข้าร่วมเลยสักครั้ง

 

 สีหน้าคาดหวังของเคทลินหมองลงในทันทีที่นางได้ยินคำพูดพึมพำของคริสต์ แววตาของนางราวกับจะถามว่า ‘ครั้งนี้เราก็จะไม่เข้าร่วมอีกแล้วหรือคะ?’

 

 คริสต์สังเกตเห็นแววตาของน้องสาว หยิกแก้มของนางก่อนหัวเราะและหันไปทางอินกอง

 

“แต่ครั้งนี้พวกเราไม่ได้อยู่ลำพัง ฉะนั้นถือเป็นมติของกลุ่มแล้วกัน”

 

 เคทลินตาโตอย่างมีความหวังอีกครั้ง นางรีบหันไปมองอินกองและเฟลิซีด้วยสายตาระยิบระยับเป็นประกาย เฟลิซีถอนหายใจเล็กน้อย

 

“จุดประสงค์ดูไม่เลว และฉันก็ไม่คิดว่าไบคาลออราเบียวนิจะวางแผนอะไรลับหลังพวกเรา แค่การพบหน้าแซเฟียร์อปป้ากับอนาสทาเชียออนนี่ในตอนนี้ออกจะดู… ลำบากใจเล็กน้อย”

 

 สรุปก็คือนางเห็นด้วยหรืออะไร?

 

 เฟลิซีรู้สึกถึงความตื่นเต้นจากเคทลินก่อนจะหัวเราะในที่สุด

 

“เอาเป็นว่าฉันจะเข้าร่วมงาน”

 

“ตามแต่ลิซซี่เลย”

 

 ซิลวานตอบตกลงในทันที เหลือเพียงแค่อินกอง

 

“ฉัตร?”

 

 น้ำเสียงของเคทลินแสดงถึงความลุกลน แทนที่จะตอบออกมาอินกองวางท่าใช้มือลูบคางคิดอย่างจริงจัง ทำให้ทั้งเฟลิซีและคริสต์แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

 

 เพราะมันเป็นเพียงการแสดง อินกองตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

 

“ผมเข้าร่วมแน่นอนครับ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ”

 

 เคทลินยิ้มแก้มแทบปริในทันที

 

“พี่น้องสนิทสนมกัน ไม่เลวเลย ไม่เลว”

 

“ปราชญ์ดาบ”

 

 คุณปู่ปราชญ์ดาบพูดแทรกขึ้นพลางหัวเราะ

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวก่อน แน่นอนว่าในครั้งนี้ข้าจะออกทาง ‘ประตู’ ไม่ต้องห่วง”

 

 ปราชญ์ดาบแวะมาเยือนที่คฤหาสน์ของเจ้าชายฉัตร

 

 การกระทำนี้มีผลกระทบหลากหลาย เป็นไปไม่ได้ที่ตัวปราชญ์ดาบจะไม่เข้าใจถึงผลที่จะตามมา

 

“ขอบคุณในความกรุณาครับ”

 

 อินกองโค้งคำนับให้กับปราชญ์ดาบ

 

“ข้าไม่มั่นใจว่าเรื่องแค่นี้ต้องได้รับการขอบคุณหรืออะไร แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก่อนจะแยกย้ายทำภารกิจ ข้าอยากทดสอบเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรว่ามีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง

 

“รับทราบครับ ขอขอบคุณในความกรุณาอีกครั้งครับ”

 

 การสนทนาทำให้ซิลวานตาโต ท่าทางของเขาดูไม่ต่างจากท่าทางของเคทลินเมื่อสักครู่

 

 ทว่าซิลวานไม่สามารถจะเอ่ยถ้อยคำใดออกไปได้ เพราะมีเสียงพูดดังขึ้นก่อน

 

“งั้นก็รีบชิ่วๆไปได้แล้วฮะ มัวรออะไรอยู่ฮะ?”

 

 เสียงหางทุบพื่นดังขึ้น ปราชญ์ดาบหัวเราะพลางหันมาส่งยิ้มให้อมิตาภา

 

“เจ้าช่างน่ารักเสียจริง”

 

“ใครน่ารักฮะ? อมิตาภาเปล่าน่ารักเลยฮะ!”

 

 คำเถียงที่ไม่สามารถโน้มน้าวใครได้

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปละ”

 

 ปราชญ์ดาบเอ่ยอีกครั้งพลางก้าวเท้าออกจากห้อง ตามด้วยฟลอร่าที่รีบชักเท้าเดินติดตาม

 

 อมิตาภามองตามปราชญ์ดาบที่เดินออกไปก่อนจะหันมาทางอินกอง

 

“อมิตาภาเหนื่อยแล้วฮะ องค์ชายช่วยส่งพสุธากัมปนาทกับโล่ชีวาตม์มาเลยได้มั้ยฮะ? อมิตาภาจะรีบปรับแต่งให้เสร็จฮะ”

 

 อินกองไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันที่ช่างฝีมืออย่างอมิตาภาจะมาเป็นช่างประจำตัวของเขา นับจากนี้ก่อนถึงเวลาแยกย้ายทำภารกิจ ในหัวของเจ้าแรคคูนจะมีแต่แบบแปลนโครงสร้างนานับประการ

 

 เฟลิซีรีบพูดแทรกขึ้น

 

“อมิตาภา แล้วดาบของซิลวานละ?”

 

“อย่างเร่งฮะ ห้ามเร่งเด็ดขาดฮะ”

 

 เจ้าแรคคูนพูดตัดบทพลางเงยหน้าจ้องอินกอง ก่อนเขาจะพยักหน้าพลางนำของวิเศษทั้งสองออกจากช่องเก็บของส่งมอบให้

 

“ขอบคุณมากครับ”

 

“ฮะ”

 

 ทั้งคริสต์ เคทลิน และเฟลิซีต่างคุ้นเคยกับช่องเก็บของของอินกอง ทั้งสามจึงไม่มีอาการอะไร เว้นเสียแต่ซิลวานผู้เห็นเป็นครั้งแรก

 

 ทว่าไม่มีผู้ใดคิดจะอธิบายข้อสงสัยให้กับซิลวาน แม้แต่อมิตาภาก็เลือกที่จะมองข้าม

 

 อมิตาภาใช้เวทมนตร์บางอย่างทำให้ของวิเศษทั้งสองลอยโคจรอยู่รอบตัว ก่อนหันไปทางดาฟเน่

 

“ดาฟเน่ฮะ เดี๋ยวอมิตาภาจะไปถักต่อในโรงงานนะฮะ”

โรงงานนรก

 

“อื้ม”

 

 ดาฟเน่เก็บรวบรวมอุปกรณ์ถักทอแล้วเดินตามอมิตาภาออกจากห้อง ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงเหล่าทายาทและบรรดาองครักษ์

 

 เฟลิซีทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วพูดเปรยขึ้น

 

“ใจจริงฉันก็อยากจะพักผ่อน แต่ว่าพวกเรามาคุยเรื่องกำหนดการก่อนเถอะ”

 

 พวกเขาจะออกจากวังจอมมารเพื่อทำภารกิจในเวลาหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างนั้นก็มีหลายสิ่งที่ต้องเตรียมการ

 

“ผิวเผินนี่ก็เป็นแค่งานน้ำชา แต่ถ้ามองลึกกว่านั้นก็เป็นงานเรียกรวมตัวเหล่าผู้ติดตามด้วย นี่เป็นโอกาสที่พวกเราจะชักจูงเหล่าลูกนางกำนัลให้มาเข้าร่วมฝ่ายของพวกเรา”

 

 เมื่อพวกเขาตั้งตัวเป็นอีกหนึ่งขั้วอำนาจ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการรวบรวมสมาชิก

 

 คริสต์พูดเสริมขึ้นเช่นกัน

 

“เวลาที่เหลือก็น้อยเกินกว่าจะพบปะกับเหล่าขุนนางในวัง ถ้าทำได้การพูดคุยกับเหล่าเอลฟ์รัตติกาลก็ถือว่าไม่เลว”

 

 พวกเขาได้รับการสนับสนุนของเผ่าไลแคนโทรปผ่านทางราชินีเอเลน แต่ในกรณีของเผ่าเอลฟ์รัตติกาลทั้งหมดยังไม่เป็นที่แน่ชัด ถึงแม้เฟลิซีกับซิลวานจะสนับสนุนพวกเขา แต่นั่นก็ยังไม่มีคำยืนยันจากราชินีของเผ่าองค์ปัจจุบัน

 

 อินกองได้พบกับราชินีลำดับที่สี่เอเลน ไม่นานนักเขาจำต้องพบกับราชินีลำดับที่สามซิลเวีย

 

 เขานึกถึงภาพรวมของวังจอมมารก่อนจะยักไหล่

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาล่าตัวบุคลากรกันเถอะ”

 

 สำหรับเหตุการแบบนี้ในเกม อินกองจะมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของนาตาช่า แต่ในกรณีนี้เขาจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมืออาชีพอย่างคริสต์และเฟลิซี

 

 เฟลิซีหรี่ตาใช้ความคิด

 

“สำหรับบรรดาลูกๆนางกำนัล วันถัดจากงานเลี้ยงน้ำชาถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ข่าวเรื่องงานเลี้ยงที่แพร่กระจายออกไปจะทำให้เด็กๆพวกนั้นหาข้อมูล และพยายามแกล้งถามว่าพวกเราคุยเรื่องอะไรกันบ้าง”

 

 คริสต์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

 คารัคเป็นตัวแทนกลุ่มที่คิดตามไม่ทันยกมือขึ้นถาม

 

“เอ่อ…  องค์หญิง ไม่ใช่ว่ามันเป็นแค่งานเลี้ยงน้ำชาหรอกเหรอ?”

 

 ทำไมถึงได้มีคำอย่าง ‘หาข้อมูล’ กับ ‘ถาม’ ปะปนมาในหัวข้อเกี่ยวกับงานเลี้ยงน้ำชา?

 

 เฟลิซีถอนหายใจก่อนอธิบายราวกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

 

“เพียงแค่ผิวเผินก็ใช่ แต่ลึกๆแล้วมันไม่ใช่แค่นั้น”

 

 

 ถึงพวกเขาจะไม่รู้แน่ชัดถึงเจตนาของไบคาล แต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ผู้เข้าร่วมอย่างแซเฟียร์กับอนาสทาเชีย โดยเฉพาะอนาสทาเชียที่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่

 

 คำตอบจากเฟลิซีทำให้เคทลินสีหน้าหมองลงในทันที นี่มันต่างไปจากงานเลี้ยงระหว่างพี่น้องที่นางรอคอย

 

 คริสต์เห็นสีหน้าของเคทลินจึงพยายามพูดเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 

“จะว่าไปแล้วฉัตร ทำไมเอ็งถึงเลือกเอเวียง? หรือจะเพราะพลเอกแวนเดล?”

 

 นี่เป็นข้อสงสัยที่อยู่ในใจเฟลิซีเช่นกัน หากมองในภาพรวมแล้ว อย่างไรเสียเอเวียงก็เป็นตัวเลือกที่แย่ที่สุด

 

 อินกองตอบกลับมาทันควัน

 

“ใช่แล้วครับ พวกเราพบกันในภารกิจปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด ผมก็แค่อยากจะสานสัมพันธ์กับผู้ที่เคยเจอกันมาแล้ว”

 

 อินกองเลือกไม่พูดเรื่องการประลองตัวต่อตัวเพื่อชักจูงให้แม่ทัพแวนเดลมาเข้าร่วมกับพวกเขา

 

 ถึงกระนั้นคำว่า ‘สานสัมพันธ์’ ก็ไม่อาจเล็ดลอดหูของคริสต์ไปได้

 

“พลเอกแวนเดล… เรียกได้ว่าโดดเด่นทีเดียว ถึงการผูกสัมพันธ์กับหนึ่งในห้าแม่ทัพองครักษ์จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่แวนเดลก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”

 

 แม้คริสต์เลือกจะสนับสนุนอินกอง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะหน้ามืดตามัว เขาต้องการเหตุผลที่สามารถอธิบายถึงการกระทำได้

 

“ไม่ใช่ว่ามีเหตุผลอื่นหรอกหรือ?”

 

 คารัคพูดโพล่งขึ้นพลางเกาหัว ดูเหมือนว่ามันจะหลุดพูดออกมาโดยไม่ทันตริตรอง

 

 และจากคำพูดของคารัคทำให้อินกองต้องตอบออกมาอย่างเลี่ยงมิได้

 

“ผมอยากจะแวะไปเยี่ยมสถานที่บางอย่างด้วยครับ”

 

“สถานที่แบบไหนกันหละ?”

 

 เฟลิซีถามอย่างสงสัย อินกองนึกถึงนาตาช่าขึ้นมาแล้วตอบ

 

“เอ่อ นูนะพอจะรู้จักตลาดค้าทาสเมืองทาก้า… สีหน้าแบบนั้นมันยังไงกันครับ?”

 

 เฟลิซีหรี่ตา ซิลวานทำตาโต ส่วนคริสต์ก็ระเบิดหัวเราะออกมาในทันที

 

 มีเพียงเคทลินที่ยังคงงงงวย

 

“ฉัตร เอ็งรู้ใช่มั้ยว่าเมืองทาก้า กับตลาดทาสของที่นั้นคืออะไร?”

 

“เอ่อ?”

 

 อินกองพยายามนึกถึงภาพลักษณ์ของตลาดค้าทาสเมืองทาก้าจากในเกม

 

 ทาก้า เมืองแห่งความบันเทิงเริงรมย์

 

 หรือก็คือถนนโคมแดงของโลกมาร…

 

 และตลาดค้าทาสก็เปรียบเสมือนสวนดอกไม้ของเมือง เป็นสถานที่ที่มีการแสดงเรือนร่างมากที่สุดในโลกมาร

 

“หืม ฉันเข้าใจแล้วววว ฉัตรเลือกเอเวียงเพราะอยากจะแวะไปทาก้าสินะ โดยเฉพาะตลาดทาสสินะ อยากจะไปซื้อบางอย่างที่นั่นสินะ”

 

 เฟลิซีพูดด้วยดวงตาอันเย็นชา

 

“อ่า ไม่ใช่ครับ คือว่า… ”

 

 อินกองพยายามคิดหาข้อแก้ตัว แต่ก็ไม่สามารถคิดถึงอะไรที่สามารถฟังขึ้น

 

 เขาไม่สามารถบอกไปตามตรงว่า เขาไปตลาดค้าทาสเพื่อหาซื้อทาส และมิใช่ทาสทั่วไปแต่เป็นทาสเผ่าแมร์

 

‘อ่า คือ ก็แค่อยากได้นาตาช่ากลับมาเท่านั้นเอง’

 

 การที่อินกองไม่สามารถพูดหาข้ออ้างอะไรออกมาทำให้สีหน้าของเฟลิซีเย็นชามากขึ้น มากขึ้น ส่วนซิลวานก็กระดกลิ้นก่อนจะตบไหล่อินกอง

 

“ก็นะ พอเริ่มอายุเท่านี้จะเริ่มสนใจเรื่องแบบนั้นก็ไม่แปลก เราเข้าใจ เราเข้าใจ”

 

 ซิลวานพูดพลางขยิบตา แน่นอนว่าตาข้างหนึ่งถูกปิดอยู่ทำให้ดูเหมือนซิลวานหลับตาพูด

 

“ทาก้าเป็นที่แบบไหนหรือคะออนนี่?”

 

 เคทลินถาม เฟลิซีจึงกระซิบบอกบางอย่างกับนาง และนั่นทำให้นางหน้าแดงก่ำขึ้นในทันที

 

“ฉัตรแย่มาก!”

 

 สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

 

 ในระหว่างที่สายตาบรรดาสุภาพสตรีเย็นชามากขึ้นเรื่อยเรื่อย คริสตตบไหล่อินกองก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับสมาชิกตนอื่น เหลือเพียงแค่อินกองกับเจ้าออร์คอยู่ในห้อง

 

 อินกองถอนหายใจออกมา เจ้าออร์คมองดูด้วยสายตาอันอบอุ่น

 

“องค์ชายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไม่แปลกหรอก”

 

 อินกองถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนกรีนวินด์ปรากฏกายออกมากอดปลอบเขา

 

&

 

 เช้าตรู่วันถัดมา อินกองเข้าเยี่ยมหอสมุด

 

 และเป็นอย่างที่คาดคิด ระดับเกียรติยศของเขาพอเพียงเข้าชมส่วนต้นเท่านั้น

 

 เขาพยายามค้นหาเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลของสี่ฑูตโลกาวินาศ หรือชนเผ่าที่สาบสูญ แต่ก็ว่างเปล่า

 

 นับว่าโชคดีที่พอมีเอกสารเกี่ยวกับมังกรบรรพกาลอยู่บ้าง อินกองจึงเริ่มค้นหาจากจุดนั้น

 

‘ดูเหมือนถ้าอยากได้รายละเอียดมากกว่านี้ เราต้องหาในส่วนที่ลึกกว่านี้’

 

 ดูเหมือนเขาไม่สามารถทำอะไรลัดขั้นตอนไปมากกว่านี้ได้

 

 อินกองใช้เวลาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับมังกรบรรพกาลจากหอสมุด ฝึกฝีมือกับเคทลิน แวะไปหาอมิตาภาที่โรงเหล็ก

 

 หลังจากผ่านไปสี่วันก็ถึงวันที่นัดหมาย

 

 งานเลี้ยงน้ำชาของเจ้าชายไบคาล