“หยุดก่อน หยุดเลย! ห้ามเข้ามานะฮะ! ห้ามพูดอะไรด้วยฮะ! องค์ชายพาพวกนี้เข้ามาทำไมฮะ? คุยกันไว้ว่าเป็นความลับนิฮะ! แบบนี้นอกเหนือข้อตกลงนี่ฮะ!”
อมิตาภาใช้หางทุบพื้นอย่างเกรี้ยวกราด
เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ถึงกระนั้นสมาชิกทั้งหมดก็เมินเฉยต่อการกระทำของเจ้าแรคคูนเช่นเคย
“แรคคูนใส่แว่นน่ารักที่สุดเลยย!”
เคทลินพูดพลางยิ้มแก้มแทบปริ
ภาพตรงหน้าทำให้นางตาโตเป็นประกาย
นอกเหนือจากแว่นวงกลมที่อมิตาภาใส่อยู่แล้ว เจ้าแรคคูนยังนั่งบนพื้นถักลวดลายลงบนผืนผ้าที่ดาฟเน่ถืออยู่
“เจ้าแรคคูน นี่แกกำลังทำอะไรอยู่?”
คารัคถามคำถามที่สมาชิกทั้งหมดสงสัยอยู่ออกมา นั่นเรียกเสียงทุบพื้นจากอมิตาภาได้อีกครั้ง
“เห็นแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรอฮะ? อมิตาภากำลังถักลายอยู่ไงฮะ!”
เส้นด้ายหลากสีสนเข็ม ผืนผ้าสีเขียวที่ดูเข้ากับดาฟเน่ ทว่ามีเพียงเฟลิซีเท่านั้นที่แสดงอาการประหลาดใจออกมา
นั่นเพราะลวดลายเหล่านี้มิได้มีเพื่อความสวยงามแต่เป็นอาคมซับซ้อนระดับสูง
ทว่าว่าสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือมือแรคคูนน้อยที่กำลังจับเข็ม
“น่ารักที่สุดดดด!”
เคทลินร้องขึ้นอีกครั้ง ทั้งเดเลียและเซร่าต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“อิชย์! องค์ชายพาเจ้านี้มาทำไมฮะ?! ส่วนแก! ห้ามยิ้มห้ามหัวเราะทั้งนั้น! สีหน้าแบบนั้นมันน่าหงุดหงิดชะมัด!”
อมิตาภาร้องอย่างไม่พอใจพลางชูมือที่ถือเข็มชี้ไปยังปราชญ์ดาบ คุณลุงผู้ที่กำลังหัวเราะชี้มาทางเจ้าแรคคูนเช่นกัน
“อมิตาภาใส่สร้อยที่ดูแปลกตาเสียจริง เจ้าเปลี่ยนอาชีพเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วหรือกระไร?”
ปลอกคอแสดงให้เห็นว่าสัตว์ที่สวมมันอยู่มีเจ้าของ แม้อมิตาภาจะสวมมันเพื่อตบตามิให้เป็นที่สังเกต อย่างไรเสียปลอกคอก็คือปลอกคอ
“ไม่! นี่มันเป็นแฟชั่น! แฟชั่น!”
อมิตาภากระโดดขึ้นกล่าวอ้าง นั่นทำให้ปราชญ์ดาบหัวเราะยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดาฟเน่เข้ากอดเจ้าแรคคูน
“ไม่เป็นไรหรอกอมิตาภา มันเข้ากับเธอมาก”
“โอ้… ”
ถ้อยคำปลอบโยนที่กลับมิได้ปลอบโยน อมิตาภาไหล่ตกหลังจากได้ยินว่าปลอกคอดูเหมาะสมกับตัว เจ้าแรคคูนส่งเสียงตอบกลับมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“แล้วตกลงพาตาลุงนี่เข้ามาทำไมฮะ? อมิตาภาคุยให้เก็บเป็นความลับแล้วนิฮะ”
เมื่อหมดข้อโต้แย้ง อมิตาภาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อินกอง แต่ปราชญ์ดาบก็พูดตอบแทรกขึ้น
“ข้าขอให้เจ้าชายชวนเอง เมื่อได้ข่าวว่าเจ้าชายฉัตรกลับมาพร้อมกับสัตว์เลี้ยงแรคคูน ข้าก็คิดว่าบางทีอาจะเป็นอมิตาภา”
คณะของอินกองไม่มีสัตว์เลี้ยงดังกล่าวเมื่อตอนปราสาทธันเดอร์ดูม นั่นทำให้ปราชญ์ดาบค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นอมิตาภาอย่างมิผิดเพี้ยน
“ยังไงเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ถึงข้าจะบอกสถานที่ของเจ้าไป แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะยอมรับคำขอ และถึงขั้นตามกลับมายังวังหลวง”
“เรื่องมันยาวนะ ค่อนข้างยาว… ”
อมิตาภาถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ในที่สุด
เฟลิซีมองชำเลืองไปยังผ้าที่อมิตาภากำลังถักลวดลายก่อนจะถามขึ้นอย่างระวัง
“นี่อมิตาภา เธอทำไปถึงไหนแล้ว?”
“ฮะ? อย่าถามฮะ! ที่อมิตาภาเกลียดที่สุดก็คือพวกชอบเร่งงานฮะ!”
อมิตาภาส่ายแขนขาตีโพยตีพายภายใต้อ้อมกอดของดาฟเน่ ทำให้เฟลิซีรีบพูดอธิบาย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดเร่ง แค่สัปดาห์นี้ซิลวานต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างไปจากพวกเรา ฉันอยากให้เขาได้อาวุธใหม่ก่อนหน้านั้น”
“ลิซซี่”
ซิลวานหันมองน้องสาวอย่างน้ำตาคลอ เฟลิซีพลักเขาให้ออกห่างแล้วถามอมิตาภาต่อ
“พอจะทันไหม?”
สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง อมิตาภายอมจำนนก่อนจะส่ายหน้า
“อมิตาภาวาดแบบร่างเสร็จเรียบร้อยฮะ แต่ยังไม่ได้เริ่มสร้างจริงจังฮะ ท่าเร่งตีดาบก็พอได้ แต่ว่า… ”
อมิตาภาชำเลืองมองสองพี่น้องก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง นั่นเพราะคำพูดของเฟลิซีทำให้ซิลวานแสดงท่าทีคาดหวังออกมา
“ยังไงซะอมิตาภาก็เบื่องานชุดป้องกันฮะ แต่รูปร่างภายนอกอาจจะเรียบง่ายหน่อยฮะ คงคล้ายๆดาบของอิชย์ฮะ”
อมิตาภาตอบพลางมองไปยังดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวของปราชญ์ดาบ
“เรียบง่ายนี่หละเจ๋งที่สุด”
อินกองได้เห็นปราชญ์ดาบแสดงฝีมือที่ปราสาทธันเดอร์ดูม ตัวดาบไร้ซึ่งการประดับตกแต่งใดใด ด้ามจับเป็นเพียงแผ่นไม้ประกบ ฝักดาบก็มีต่างกัน
นั่นกลับทำให้ซิลวานพอใจมาก
“ขอบคุณมาก เราจะรอคอยอย่างจดจ่อ”
คล้ายกับดาบของปราชญ์ดาบคือเหตุผลที่ทำให้ซิลวานตื้นตัน ไม่มีข้อเสนอใดจะดีไปมากกว่านี้
หลังจากอมิตาภารับคำ เฟลิซีก็หันไปทางเคทลินกับอินกองพลางก้มหัวขอคมา
“ฉัตร เคทลิน ฉันต้องขอโทษด้วย แต่ว่า… ”
“ไม่เป็นไรครับนูนะ ผมเข้าใจ”
“เช่นกันค่ะออนนี่”
ทั้งสองต่างตอบกลับอย่างไม่เป็นปัญหา
เคทลินชื่นชอบจิตใจอันงดงามของพี่สาว ส่วนอินกอง… หลายรายการเป็นของอินกอง
‘แล้วก็… ยังไงซะเราก็จะพาอมิตาภาไปด้วย’
จุดหมายปลายทางของซิลวานต่างออกไป การเร่งทำอุปกรณ์ของซิลวานก่อนจึงดูสมเหตุสมผล
“เอ่อ ทำไมจู่ๆอมิตาภาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาฮะ”
ราวกับได้ยินความคิดของอินกอง เจ้าแรคคูนทาสสั่นเทาขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“จะว่าไปแล้ว นี่จะเดินทางกันอีกครั้งในสัปดาห์นี่หรอฮะ?”
“ใช่แล้ว มีภารกิจมอบหมายใหม่มา”
เฟลิซีตอบคำถาม อมิตาภาหรี่ตาลงก่อนหันไปทางอินกอง
“เอ่อ… องค์ชายส่งพสุธากัมปนาทกับโล่ชีวาตม์มาหน่อยฮะ อมิตาภาจะรีบปรับแต่งสองอย่างนี้ฮะ อมิตาภาต้องเร่งมือแล้วฮะ”
“จะเสร็จทันหรือ?”
“อมิตาภาต้องดูก่อนฮะ เพราะนี่ไม่ได้สร้างใหม่แต่เป็นแค่การปรับแต่งฮะ”
ทั้งพสุธากัมปนาทและโล่ไวท์อีเกิ้ลต่างเรียกได้ว่าเป็นอาวุธหลักของอินกอง ช่วงเวลาที่ไม่สามารถใช้ของวิเศษทั้งสองได้ย่อมเป็นข้อเสียเปรียบ การปรับแต่งของวิเศษทั้งสองจึงควรเป็นในระหว่างที่พวกเขามีเวลาและอยู่ในที่ปลอดภัย
“หืม เป็นเรื่องดีที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง ข้าคงไม่ได้แวะมาวังหลวงบ่อยนัก ไว้มาคราวหน้าข้าจะแวะมาเยี่ยม”
ปราชญ์ดาบกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ อมิตาภารีบโบกปัดอย่างไม่ชอบใจ
“แกมาก็ก่อกวนอมิตาภา ไม่ต้องมาเลย ห้ามมา! ห้ามหัวเราะด้วย!”
“อมิตาภา”
ดาฟเน่พูดปลอบเจ้าแรคคูนอย่างอ่อนโยน ปฏิกิริยาของเจ้าแรคคูนบ่งบอกว่ามันได้ผลอย่างมาก
ดาฟเน่ used ปลอบประโลม
It’s super effective!
“จะว่าไปแล้ว อมิตาภามีบางอย่างให้ดูฮะ เพิ่งทำเสร็จไม่กี่วันเองฮะ ทำรายการเสร็จนี่มันรู้สึกดีมากฮะ”
“โอ้ มันคืออะไร?”
คารัคถามอมิตาภาตามบรรยากาศ
“โล่ของแก เป็นรายการขององค์ชายก็จริง แต่คนที่ใช้คือแก!”
“โอ้ว!”
“ตามมาที่เตาหลอมเลย”
อมิตาภากระโดดออกจากอ้อมอกของดาฟเน่เดินออกจากห้อง คารัคหันมามองอินกองขออนุญาตก่อนเขาจะผงกหัว
จากนั้นคารัคก็เดินตามอมิตาภาไป ปราชญ์ดาบที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยร้อยยิ้มพูดขึ้นอีกครั้ง
“แบบนี้อมิตาภาก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นสินะ องค์ชายทำได้ดีมาก”
“ทั้งหมดเป็นเพราะความกรุณาของปราชญ์ดาบ”
“ไม่ว่าใครก็สามารถได้รับจดหมายแนะนำได้ แต่มิใช่ทุกคนที่อมิตาภาจะยอมรับ อย่าถ่อมตัวไปเลย”
คุณลุงผู้อาวุโสกล่าวขึ้น เฟลิซียกมือขึ้นพูดถาม
“ฮาราบอจี่ เรื่องวันนี้มันยังไงกันแน่? พอจะมีข้อมูลศัตรูเพิ่มเติมไหมคะ?”
“ข้าได้ยินมามากและบรรยากาศในวังหลวงก็ไม่เป็นมิตรเสียเลย ถึงจอมมารจะไม่ว่าที่ทายาทแข่งขันกันเอง แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นทำร้ายกัน เอาเป็นว่าการที่ข้าพบองค์ชายเก้าก่อนถือเป็นเรื่องดี”
อย่างที่เฟลิซีคาดการณ์ไว้ ปราชญ์ดาบทำทั้งหมดไปเพื่อปกป้องฉัตร
ที่สำคัญคือคำพูดของปราชญ์ดาบทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
กระทั่งในเกมก็ไม่มีเหตุการณ์ที่ทายาททำร้ายกันเองแต่อย่างใด นั่นเพราะจอมมารเกลียดชังเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดที่ข้ามเส้นจุดยืนนี้ไปจะพบกับความพิโรธของจอมมารมิตร
จากนั้นปราชญ์ดาบก็ตอบคำถามของเฟลิซีต่อ
“ส่วนพวกศัตรู… แจกจ่ายข้อมูลเหล่านั้นเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกียรติยศ ไม่มีข้อยกเว้นอย่างข้อมูลลับอะไรทั้งสิ้น”
หลังจากกลับจากที่ประชุมสภา คณะของอินกองก็เดินทางกลับมายังคฤหาสน์ทันที พวกเขายังมิได้แวะไปตรวจสอบข้อมูลของศัตรู
ปราชญ์ดาบกล่าวเสริม
“ข้าจะบอกแค่ว่า มีศัตรูในระดับมือหอกที่ปราสาทธันเดอร์ดูม แต่ยังไม่พบข้อมูลของศัตรูในระดับนั้น”
วังจอมมารได้มอบหมายแจกจ่ายภารกิจให้เหล่าทายาท
ทั้งหมดทำเพื่อกระจายกำลังเข้าป้องกันแต่ละท้องที่
แต่เมื่อลองถอยมาสักก้าวแล้วมองภาพรวมอีกครั้ง อินกองก็พบว่านั่นมิใช่ความจริงทั้งหมด ทางวังมอบหมายกระจายเหล่าทายาทเพราะรู้ว่าศัตรูกลุ่มไอพลังสีม่วงอาจเข้าโจมตี
การกระจายเหล่าทายาทไปตามจุดทำให้บริเวณเหล่านั้นมั่นคงขึ้น เป็นการทำลายความคิดเข้าจู่โจมบริเวณที่ว่า
แน่นอนว่าบริเวณที่เหล่าทายาทถูกส่งตัวล้วนเป็นพื้นที่สำคัญ
แผนการก็คือให้เหล่าทายาทคุ้มกันพื้นที่เหล่านี้ พลางสืบเสาะเบาะแสไอพลังสีม่วงไปในตัว
คำอธิบายจากปราชญ์ดาบทำให้อินกองหวนนึกถึงสีหน้าของแซเฟียร์
บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องไปการไปยังเอเวียง
เป้าหมายในตอนนี้ของอินกองคือการต่อกรอาชาแห่งทุพภิกขภัยกับอาชาแห่งอาสัญ ทว่าเมื่อกล่าวถึงเป้าหมายหลักแล้ว ศัตรูที่แท้จริงย่อมเป็นแซเฟียร์
‘เราต้องเร่งมือแล้ว’
เขาต้องรีบเกณฑ์ตัวนาตาช่า และสั่งสมอิทธิพลเพื่อขึ้นสู่บัลลังค์จอมมาร
‘เราต้องเข้าหอสมุด ระดับเกียรติยศของเราตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีข้อมูลเลย’
นี่เป็นอีกหนึ่งการเตรียมการต่อกรอาชาแห่งอาสัญ
ข้อมูลของอาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย และอาสัญที่เข้าปะทะกับเหล่ามังกรบรรพกาล
ข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าสาบสูญ
จุดประสงค์แท้จริงที่อาชาแห่งอาสัญบุกทำลายผู้พิทักษ์
ที่มาของแรงเกลียดชังอันมหาศาลจากทุพภิกขภัยและอาสัญที่มีต่ออาณัติ
การตายของพยานอันเคลเมื่อราวหนึ่งพันปีที่แล้ว…
มีข้อมูลมากมายกระจายตัว มันต้องมีบางอย่างที่ช่วยให้เขาสามารถเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ได้
ระหว่างที่อินกองยังคงใช้ความคิด อมิตาภาและคารัคก็กลับมา
“ดูนี่สิองค์ชาย ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”
คารัคโอ้อวดโล่อย่างตื่นเต้น โล่ทรงเพชรสีดำ สร้างจากเกล็ดและหนังมังกรเป็นหลัก
“อาจให้ความรู้สึกหยาบไปนิดนะฮะ แต่มั่นใจได้เลยว่าทนทานแน่นอนฮะ”
อมิตาภากล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิ
อินกองถามคารัค
“ขอผมลองถือมันซักหน่อยสิ?”
“เอ้านี่”
คารัคส่งมอบโล่ให้อินกอง นอกจากรูปร่างที่ดูหยาบกระด้างแล้ว มันยังเรียกได้ว่าค่อนข้างหนักพอสมควร
ระหว่างที่อินกองมองสำรวจโล่ที่ว่า ข้อความแสดงสถานะของโล่ก็ผุดขึ้นมาให้เห็น
[พละกำลังเพิ้มขึ้น 5]
[ความทนทานเพิ่มขึ้น 5]
[ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 5]
[คุณได้เรียนรู้ทักษะพิเศษ รวมร่าง]
“ฮะ? รวมร่าง?”
อินกองพึมพำขึ้น นั่นทำให้อมิตาภาตาลุกโชน
“สายตาไม่เลวเลยฮะ องค์ชายเห็นสินะฮะ?”
“หา? คืออะไรกัน? รวมร่าง?”
คารัคถามตาโต สีหน้าของมันทำให้อมิตาภาหัวเราะออกมา
“ยังมีชิ้นส่วนเพิ่มเติมอีกฮะ ชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถเข้าประกอบกับโล่นี่ได้ฮะ”
“ชิ้นส่วนเพิ่มเติม?”
“องค์ชายส่งโล่คืนให้เจ้าออร์คก่อนฮะ ออร์คระหัสคือ ‘คาลโตส’ ”
อินกองส่งโล่คืนให้คารัคตามที่อมิตาภาบอก เจ้าออร์คมองดูโล่ในมือขวาอย่างลังเลก่อนจะพูดระหัสคำออกมา
“คาลโตส!”
ทันทีที่สิ้นคำ มีเสียงดังขึ้นจากอีกห้องหนึ่ง เสียงราวกับบางอย่างพยายามดิ้น
อินกอง ซิลวาน และคริสต์ต่างหันไปยังต้นตอของเสียง ปราชญ์ดาบยกมือขึ้นห้ามทั้งสามเอาไว้ ไม่นานนักที่มาของเสียงก็เผยตัวขึ้น
“โอ้! โอ้ววว!”
ชิ้นส่วนเพิ่มเติมต่างลอยเข้ามาประกอบเข้ากับโล่ที่คารัคถืออยู่
เมื่อนับรวมชิ้นส่วนเหล่านี้แล้ว ขนาดของโล่เรียกได้ว่าใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ราวกับบานประตูของปราสาท
“โล่นี่ลงอาคมสะท้อนเวทเอาไว้และยังเพิ่มพลังป้องกันขึ้นด้วยฮะ ถ้าคำนึงถึงพลังป้องกันเพียงอย่างเดียว โล่นี้มีมากกว่าโล่ชีวาตม์อีกฮะ ส่วนวิธีพกพาชิ้นส่วนอมิตาภาก็คิดไว้แล้วฮะ อย่าห่วงฮะ”
อมิตาภาเชิดคางขึ้นอย่างมั่นใจ ก่อนเสียงโอดครวญของกรีนวินด์จะดังขึ้นข้างหูของอินกอง
‘ไม่นะ บทบาทของข้า… ’
อินกองหัวเราะพลางถามอมิตาภา
“แล้วพอจะปรับแต่งไวท์อีเกิ้ลได้ไหม?”
“เป็นการท้าทายที่น่าสนใจมากฮะ”
อุปกรณ์วิเศษจากพญามังกร
กรีนวินด์ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่อมิตาภาตอบถึงความเป็นไปได้ นอกจากนี้โล่ตรงหน้ายังเพิ่มความคาดหวังให้กับสมาชิกตนอื่น
ณ เวลานั้นเอง…
มีเสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับฟลอร่าที่ก้าวเข้ามา ใบหน้าตื่นเต้นของสมาชิกทั้งหมดสร้างความประหลาดใจให้นางเล็กน้อย แต่นางก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาได้อย่างรวดเร็วสมเป็นมืออาชีพ
“มีสาส์นจากพระองค์เจ้าไบคาลมอบถึงใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
“จากไบคาลออราเบียวนิ?”
ฟลอร่าเมินเฉยต่อคำถามจากเฟลิซีพลางยื่นมอบจดหมายให้กับอินกอง
ทุกสายตาจดจ้องยังจดหมายปริศนาจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไบคาล แร็กนารอส