ถัดจากอินกองก็เป็นคราวของเฟลิซี
“เจ้าหญิงลำดับที่หกโปรดเลือกสถานที่”
อิซเบลกล่าวอย่างยิ้มแย้ม แต่แฝงไปด้วยแรงกดดัน
นางให้พวกเขาเลือกสถานที่โดยมีเวลาไตร่ตรองเพียงชั่วขณะ
เพื่อแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจอย่างฉับพลัน อันเป็นคือหนึ่งในเกณฑ์วัดความสามารถเหล่าทายาท
เฟลิซีจ้องภาพแสดงแล้วหันไปมองซิลวานผู้น่าสงสารตามด้วยอินกอง นางถอนหายใจก่อนกล่าวตอบ
“อย่างที่รู้กันว่าฉันเป็นสายบุ๋นมากกว่าสายบู๊ ฉะนั้นแทนที่จะเลือกบริเวณด้วยตนเอง ฉันขอเลือกสนับสนุนเจ้าชายลำดับที่เก้าที่เอเวียง”
น้ำเสียงของเฟลิซีมั่นคงและผ่อนคลาย ผิดกับหัวใจที่กำลังเต้นระรัวของนาง
จอมมารจ้องมาที่เฟลิซีก่อนพยักหน้าอนุญาต แล้วเฟลิซีก็ก้าวถอยออก
แม้จอมมารจะไม่ได้ขานชื่อเฟลิซีออกมา การที่เขาพยักหน้ารับรู้การตัดสินใจของนางก็มากพอให้นางกุมอกกันมิให้หัวใจหลุดลอย
คริสต์ชำเลืองมองมาที่เฟลิซี ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันชั่วขณะ มากพอที่จะสื่อข้อความบางอย่าง
ท่าที่ของซิลวานในตอนนี้ดูย่ำแย่จนเฟลิซีอยากจะเข้ากอด แต่นางไม่สามารถเมื่อคำนึงถึงสถานที่
อย่างไรเสียซิลวานก็เป็นถึงทายาทของจอมมาร ให้เวลาสติเขาก็ฟื้นกลับมา เฟลิซีจึงผันไปครุ่นคิดเรื่องอื่น
เฟลิซีมิได้เลือกเอเวียงเพียงเพราะต้องการติดตามฉัตร
จริงอยู่ว่านั่นอาจเป็นหนึ่งในเหตุผล แต่ก็มิใช่ประการหลัก
การกลับมาของพวกเขาและคำประกาศจากปราชญ์ดาบบ่งบอกว่าฉัตรเป็นแกนนำกลุ่ม
เขาย่อมต้องการผู้สนับสนุน มิใช่ในด้านกำลังแต่เป็นความคิด
ความสามารถของคริสต์เน้นไปทางด้านการรบ การที่คริสต์ตามสนับสนุนฉัตรเป็นการเปลืองทรัพยากรบุคคล ทางวังหลวงย่อมไม่อนุมัติ
เฟลิซีไม่รับรู้เหตุผลประกอบการตัดสินใจเลือกเอเวียง ทว่านางเลือกเชื่อมั่นในตัวฉัตร เพราะพวกเขาผ่านสมรภูมิมาด้วยกันตั้งแต่ครั้งปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด
แน่นอนว่าการติดสินใจครั้งนี้ย้ำเตือนเหล่าสายตาที่จับจ้องว่า เผ่าเอลฟ์รัตติกาลสนับสนุนเจ้าชายลำดับที่เก้าฉัตร อิกษณา
“ต่อจากนี้การเลือกสถานที่จะเรียงตามความสำเร็จที่บันทึกในกระทรวงเกียรติยศ เจ้าชายลำดับที่สองโปรดเลือกสถานที่”
อิซเบลส่งสายตาให้แซเฟียร์ เขาจ้องมองเอเวียงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปยังทางเหนือ
“ฮาราก”
ผู้ชมพยักหน้าให้กับการตัดสินใจของแซเฟียร์
ฮารากเป็นบริเวณที่ติดเขตชายแดนทางทิศเหนือ ระดับความอันตรายของสถานที่แห่งนี้สูงกว่าเอเวียงมากโข
แน่นอนว่าสถานที่เหล่านี้อาจไม่ถูกโจมตีตามที่วังหลวงคาดเดา จำนวนศัตรูก็อาจคลาดเคลื่อนและฮารากก็มิใช่ดินแดนอุดมสมบูรณ์แต่อย่างใด ทว่าภายใต้ดินแดนนี้เต็มไปด้วยสายแร่มากมาย
ฮารากคือเกราะป้องกันอุตสาหกรรมของโลกมาร
นั่นทำให้การตัดสินใจของเจ้าชายแซเฟียร์เป็นที่ยอมรับ หากมีการจู่โจมเกิดขึ้นจริง นี่คือบริเวณที่สามารถสร้างความดีความชอบได้มาก
‘ถัดจากเอเวียง ฮารากก็ดีที่สุด’
ตั้งแต่ที่จู-อินกองลืมตาขึ้นในกระโจมค่ายทหารบนเขาจิชก้า การอ่านสีหน้าเป็นความสามารถที่เขามั่นใจว่าพัฒนาขึ้นมากที่สุด ถึงจะไม่มีข้อความยืนยันการเรียนรู้ทักษะก็ตาม
อาจยากจะสังเกต แต่สีหน้าของแซเฟียร์เปลี่ยนไปในตอนที่อินกองเลือกเอเวียง
ชัดเจนว่าแซเฟียร์ก็เล็งเอเวียงไว้เช่นกัน
เมื่อมองว่าเอเวียงมิใช่ตัวเลือกที่ดีจากภาพรวม จะมีเหตุผลอื่นใด?
‘พลเอกแวนเดล’
ชื่อที่ลอยขึ้นมา เหตุผลที่ทำให้อินกองมั่นใจได้
ดูเหมือนแซเฟียร์ก็ตั้งใจจะทาบทามแวนเดลเช่นกัน
อ้างอิงจากเกมบทกวีแห่งผู้กล้า แซเฟียร์สามารถเอาชนะแวนเดลได้ในท้ายปีที่สอง หรือก็คือปี 514
ทว่าแซเฟียร์ที่อินกองเห็นตอนนี้ดูแข็งแกร่งกว่าในเกมมากนัก มากพอสามารถเอาชนะแวนเดลในตอนนี้ได้เลยทีเดียว
แซเฟียร์บรรลุนิติภาวะแล้วจึงสามารถเลือกรับภารกิจได้ตามต้องการ แต่นั่นก็มิใช่เหตุผลให้สามารถพบปะกับผู้มีตำแหน่งทางทหารเมื่อไรก็ได้
บางทีแซเฟียร์อาจคิดใช้โอกาสนี้ในการพบปะกับแวนเดลเช่นเดียวกับอินกอง
‘ถ้าเป็นอย่างนั้น หรือว่าเราต้องรีบหาตัวนาตาช่ากับเซคตั้มแล้ว?’
สามตัวละครสุดโปรดของอินกองจากเกมบทกวีแห่งผู้กล้า
ซัคคุบัสสอดแนมนาตาช่า สัมภเวสีคุมวิญญาณเซคตั้ม นักรบโอเกอร์แวนเดล
‘เราต้องรีบไปเยี่ยมตลาดมืดค้าทาสให้เร็วที่สุด ยิ่งคิดเหตุผลยังไงนาตาช่าก็สำคัญกว่าเซคตั้ม’
เหตุผลที่เรียกว่านม ( ಠ ͜ʖ ಠ) อ้างอิงจากตอนที่ 2
ความลับเรื่องชาติกำเนิดของเคทลินเป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าไลแคนโทรป
ผู้ที่ช่วยให้แซเฟียร์พบความลับนี้ก็คือนาตาช่า ถึงเหตุการณ์ทุกอย่างจะมิได้ดำเนินตามรอยเกม แต่อินกองก็เลือกที่จะป้องกันไว้ก่อน
ระหว่างที่อินกองใช้ความคิดอยู่ ไบคาลก็ได้เลือกสถานที่เสร็จสิ้นไปแล้ว
ถัดต่อด้วยอนาสทาเชีย ตามด้วยวิคเตอร์ผู้ซึ่งเลือกสนับสนุนอนาสทาเชีย
จนถึงตอนนี้ ทั้งสี่ขั้วอำนาจต่างเลือกพื้นที่กระจายตัวกันออกไป หลงเหลืออยู่สองบริเวณที่ยังไม่ถูกเลือก
“เจ้าชายลำดับที่ห้าโปรดเลือกสถานที่”
ซิลวานสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกก่อนจะเลือกหนึ่งในสองบริเวณที่เหลือ
ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งบริเวณและสองพี่น้องไลแคนโทรป
นี่ทำให้ผู้ชมทั้งหมดต่างคาดเดาได้ไม่ยาก พวกเขาจึงไม่ได้สนใจคริสต์และเคทลินเท่าไร
คริสต์จะเลือกบริเวณสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ ส่วนเคทลินก็จะเลือกสนับสนุนคริสต์
เป็นทางเลือกที่ไม่เลวและสมเหตุสมผล
ทว่าคริสต์กลับหัวเราะหันชำเลืองมองเคทลิน
“เราเลือกคาทูว”
คริสต์เลือกบริเวณสุดท้ายที่หลงเหลือตามคาด
จบการเลือกบริเวณลงโดยดุษฎี อิซเบลหันไปถามเคทลินตามพิธีการ
“เจ้าหญิงลำดับที่แปดโปรดเลือดสถานที่”
“ฉันเลือกไปที่เอเวียง”
“ทราบแล้ว เอเวียงสิน… หืม?”
อิซเบลส่งเสียงประหลาดใจออกมา กาลาฮัดจ้องมองลงมาจากบริเวณของห้าแม่ทัพอย่างแปลกใจเช่นกัน
เคทลินพูดต่ออย่างใจเย็น
“เจ้าชายลำดับที่เก้าฉัตร อิกษณายังเยาว์นัก แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหญิงลำดับที่หก ทว่านางก็เป็นนักปราชญ์เสียกว่านักรบ ตัวฉันเองก็เป็นนักรบที่ยังขาดประสบการณ์ ฉันคิดว่าการร่วมกับเจ้าหญิงลำดับที่หกและเจ้าชายลำดับที่เก้าจะดูสมดุลดี”
คำพูดของนางมีเหตุผล
เจ้าชายฉัตรเพิ่งจะเป็นที่โดดเด่นเพียงไม่กี่เดือน
ทางวังหลวงเองก็ยังไม่รับรู้ความสามารถที่แท้จริงของฉัตร และด้วยช่วงอายุทำให้พวกเขาไม่คิดว่าฉัตรจะเก่งกาจกว่าเคทลินไปได้
ด้านอิซเบลที่คาดการณ์ไว้ว่าเคทลินจะเข้าสนับสนุนคริสต์เงยหน้ามองจอมมารอย่างตื่นเต้น แน่นอนว่าจอมมารพยักหน้าอนุญาต
ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจอย่างสมผล ยิ่งเมื่อทางวังหลวงต่างคิดว่าคริสต์เก่งกาจกว่าฉัตรอยู่มากโข ในเมื่อพวกเขาอนุญาตให้เคทลินตามสนับสนุนคริสต์ได้ พวกเขาจึงไม่มีทางอื่นนอกจากอนุญาตให้เคทลินตามสนับสนุนฉัตรได้เช่นกัน
“การเลือกบริเวณได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย ในเวลาห้าวันหลังจากนี้ เหล่าทายาททั้งหมดจะเริ่มออกเดินทางไปยังบริเวณที่รับมอบหมาย ระหว่างนี้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มไอพลังสีม่วงจะถูกส่งไปยังที่พักของพวกท่าน”
สิ้นสุดวาระการประชุม ตามด้วยราชพิธีการปิดท้าย
อินกองสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วมองรอบตัว ปราชญ์ดาบดูครื้นเครงด้วยเหตุผลบางประการ จอมมารยังคงสีหน้าเดิมราวกับรูปปั้น
กาลาฮัดจ้องไปที่เคทลินอย่างห่วงใย เยอคาเตอริน่าจ้องมาที่อินกองอย่างยั่วยวน
ส่วนริชาร์ด…
หนึ่งในหัวหน้าแม่ทัพองครักษ์ แกนนำของเผ่ามังกร
พันธมิตรที่พึ่งพาได้ในยามที่อินกองเล่นเป็นแซเฟียร์ในเกม ทว่าริชาร์ดในตอนนี้จ้องมองมายังอินกองในร่างของฉัตรด้วยรอยยิ้มอันแยบคาย อินกองเลือกที่จะเมินรอยยิ้มอันท้าทายนั้นพลางหันไปทางแซเฟียร์
เขาพบกับสายตาที่จดจ้องมองรอคอยอยู่แล้ว สายตาของแซเฟียร์ แร็กนารอส
&
“เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อยที่สุดเลยยยยยยยยยยยยยย”
เฟลิซีทิ้งตัวลงบนเบาะที่นั่งแล้วกรีดร้องออกมาในทันทีที่พวกเขากลับมายังห้องรับรอง
อาจเรียกได้ว่าดูไร้มารยาท แต่สมาชิกทั้งหมดในห้องรับรองนี้ต่างไม่ถือสา
เฟลิซีโบกไม้โบกมือพลางถอนหายใจ
“ปู่จะทำอะไรบ้าบอแบบนี้ทำไมไม่บอกกล่าวกันก่อน โอย ใจฉันจะหล่นไปตาตุ่มอยู่แล้ว”
ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น คณะอินกองต่างก็มาถึงวังหลวงได้ชั่วคราว เป็นเวลามากพอที่สามารถส่งข้อความแจ้งล่วงหน้าได้ ถึงกระนั้นปราชญ์ดาบก็เลือกนิ่งเงียบ สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขา
“ป ปรา ปราชญ์ดาบ”
ซิลวานทิ้งตัวลงนั่งแข็งทื่อข้างเฟลิซี นางหันไปกอดเขาอย่างแนบแน่น
“โถ่ ซิลวานผู้น่าสงสาร”
ตำแหน่งศิษย์ของปราชญ์ดาบคือความใฝ่ฝันของซิลวาน
ระหว่างที่เฟลิซีลูบหลังปลอนโยนพี่ชายของนาง คริสต์ส่งสายตามาทางอินกองแล้วพูดอย่างร่าเริง
“เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็เรียกได้ว่าปราชญ์ดาบช่วยพวกเรา จะเรียกว่าเขาประกาศสนับสนุนฉัตรท่ามกลางที่ประชุมก็ว่าได้ ถึงงั้นก็เถอะนี่มันแปลกมาก แปลกสุดๆ เอ็งเอาใจปราชญ์ดาบมาได้ยังไง? มีเคล็ดลับอะไรมั้ย? เราก็อยากมีคนแบบนั้นหนุนหลังเหมือนกัน”
คำพูดของคริสต์ทำให้ตาของซิลวานลุกเป็นประกาย แน่นอนว่าถ้ามีเคล็ดลับจริง ซิลวานย่อมต้องไม่พลาด อินกองได้แต่ยิ้มแหยะแล้วตอบกลับ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ทั้งหมดเริ่มจากความสนใจของจอมมารและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของอินกอง นั่นทำให้ทายาทตนอื่นไม่สามารถเลียนแบบได้
เฟลิซีที่ยังคงกอดซิลวานอยู่พูดแทรกขึ้นถามคริสต์
“นี่คริสต์ ไม่ให้เคทลินไปด้วยจะไม่เป็นไรแน่นะ?”
แม้แต่เฟลิซีก็ประหลาดใจเมื่อเคทลินประกาศว่าจะติดตามมากับอินกอง คริสต์ยักไหล่ตอบกลับ
“ถึงจะขมขื่นนิดๆ แต่ให้เคทตามฉัตรไปจะเป็นประโยชน์มากกว่าอยู่กับเรา และเหมือนพันธะระหว่างแก่นทั้งสองจะทรงพลังกว่าตามตำนานเสียอีก”
เวลาผ่านมาเพียงราวสิบวัน ทว่าการเติบโตของอินกองกับเคทลินสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะลมปราณของทั้งคู่ การประสานของแก่นทั้งสองส่งผลอันน่าทึ่งออกมา
คริสต์เดินไปลูบหัวถามเคทลิน
“เคท ภารกิจครั้งนี้นานกว่าครั้งป่าแมงมุม ไม่เป็นอะไรนะ?”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
ต่างจากที่คฤหาสน์ไลแคนโทรป เคทลินตอบด้วยรอยยิ้ม
“ช่างน่าขมขื่นจริงๆ”
คริสต์บ่นอย่างไหล่ตก นั่นทำให้เฟลิซีหัวเราะออกมา
“อย่างน้อยวันนี้ก็จบลงละนะ เรื่องไอพลังสีม่วง เรื่องปราชญ์ดาบ ถึงจะยังเหลือเรื่องให้คิดอีกเยอะ แต่วันนี้ฉันขอพักก่อน เห็นด้วยมั้ยซิลวาน?”
“หืม… ปร… ปราชญ์ดาบ… ”
ซิลวานผงกหัวอย่างว่าง่ายและทันใดนั้นเอง
“หืม? เรียกข้าทำไมรึ?”
เสียงของผู้อาวุโสดังขึ้น เฟลิซีสะดุ้งกระโดดลุกจากเบาะหันหลังมองไปยังต้นตอของเสียง
“ปราชญ์ดาบ?”
ปราชญ์ดาบตัวจริงเสียงจริงหัวเราะพิงประตูอยู่ ก่อนจะเดินเข้ามาหยิกแก้มเฟลิซี
“ยังเด็กไม่เปลี่ยนเลย หุหุ น่ารักเสียจริง”
เฟลิซีหน้าแดงก่ำ ซิลวานตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม ปราชญ์ดาบเดินเข้าหาเคทลิน
“โฮ่ หญิงแปดตัวโตขึ้นเยอะเลยนะ ไหนมาให้อุ้มหน่อยซิ”
ไม่มีเวลาให้ตอบอะไร เช่นเดียวกับในปราสาทธันเดอร์ดูม ปราชญ์ดาบคว้าตัวเคทลินเอาไว้แล้วโยนนางขึ้น
“เอาอีก! เอาอีก!”
ภาพคุณปู่เลี้ยงหลาน เขาโยนเคทลินหมุนตัวลอยขึ้น ลอยขึ้น
ในปราสาทธันเดอร์ดูม เฟลิซีส่งเสียงกรีดร้องพยายามให้อิชย์ปล่อยตัวนาง ผิดกับเคทลินที่ประหลาดใจเล็กน้อยก่อนส่งเสียงร้องชอบอกชอบใจ
“ท่าทางจะชอบมากเลยนิ น่ารักจริงๆ”
เป็นคำที่อธิบายได้ตรงลักษณะของเคทลิน นางหัวเราะคิกคักส่งสายตาระยิบระยับ
หลังจากทักทายเฟลิซีกับเคทลินแล้ว อิชย์ก็หันไปทางอินกอง อินกองรีบจัดชุดของเขาให้เข้าที่แล้วกล่าวทักทาย
“เจ้าชายฉัตรน้อมบังคมรับปราชญ์ดาบ”
“ไม่ต้องทักทายให้เป็นพิธีการหรอก องค์ชายห้าองค์ชายเจ็ดก็เหมือนกัน ยินดีที่ได้พบ”
“เป็นเกียรติที่ได้พบ”
“ส สวัสดี?”
คริสต์และซิลวานกล่าวทักทายปราชญ์ดาบเช่นกัน คริสต์ยังคงสงวนท่าทีอย่างระแวง ซิลวานตื่นเต้นจนตะกุกตะกัก
ทว่าผู้ที่เปิดประเด็นสนทนากลับไม่ใช่พวกเขา
“เอาละ มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”
เจ้าออร์คคารัคผู้ไม่กลัวเกรงพูดโพล่งขึ้น
ซิลวานตกตะลึง แม้แต่คริสต์ก็อึ้งกิมกี่
คารัคเพิ่งจะกล่าวสบถถามปราชญ์ดาบ
เฟลิซีคุ้นเคยกับบุคลิคของเจ้าออร์คเป็นที่เรียบร้อย เหล่าองครักษ์ที่เหลือ เซร่า เดเลีย ซีพิร่าต่างมองอย่างชื่นชม
ปราชญ์ดาบหัวเราะชอบพอเจ้าออร์คก่อนจะตอบคำถามไปทางอินกอง
“ข้ามาคุยกับองค์ชายเก้า มีทั้งเรื่องเล่าและก็คำขอ”
“คำขอ?”
“ถูกต้องแล้ว คำขอที่มีเพียงองค์ชายเก้าเท่านั้น”
ปราชญ์ดาบตอบพลางหัวเราะ มีความขี้เล่นแฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้น ดวงตาในลักษณะเดียวกับในยามที่เขาอุ้มเจ้าหญิงทั้งสอง
“องค์ชายพอจะชวนข้าเข้าชมคฤหาสน์ได้ไหม? ข้าอยากจะพบเจ้านั่น”