ตอนที่ 94 วิสัยทัศน์แคบ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 94 วิสัยทัศน์แคบ

เมื่อรู้ว่าบิดาจะส่งคนไปเมืองหลวง คุณหนูสาม เยียนอวิ๋นจือก็นั่งไม่ติด

นางไปหาเฉินฮูหยินรองอย่างร้อนใจ “ท่านแม่ ข้าจะไปเมืองหลวง”

เฉินฮูหยินรองถลึงตา “ไปเมืองหลวงอันใด! ใกล้จะปีใหม่แล้ว เจ้าอยู่เฉยๆ ในจวน ไม่ต้องไปที่ใดทั้งนั้น”

“ไม่ ข้าจะไปเมืองหลวงด้วย ข้าได้ยินว่าเยียนอวิ๋นเพ่ยก็อยู่เมืองหลวง สมศักดิ์ศรีอย่างมาก พี่รองสมรสกับองค์ชายยิ่งสมศัดิ์ศรี ท่านแม่ ท่านให้ข้าไปเถิด ให้ข้าไปเปิดหูเปิดตา อีกทั้งพี่ใหญ่ก็อยู่เมืองหลวง มีพี่ใหญ่อยู่ ท่านมีอันใดไม่ไว้วางใจ ท่านพี่ย่อมต้องปกป้องข้า”

เฉินฮูหยินรองส่งเสียงไม่พอใจ “พี่ใหญ่เจ้ายังเคว้งคว้างเรื่องของตนเอง จะดูแลเจ้าได้อย่างไร เจ้าอยู่อย่างสงบ อย่ามัวแต่นึกถึงเมืองหลวง”

“ข้าจะไปเมืองหลวง! ท่านไม่ยอม ข้าจะไปขอท่านพ่อ”

พูดจบ เยียนอวิ๋นจือก็วิ่งออกไป เฉินฮูหยินรองรั้งไม่อยู่แม้แต่น้อย

นางแทบจะโมโหตาย “เจ้าเด็กหัวรั้น! ท่านโหวย่อมไม่รับปากเจ้า”

เยียนโส่วจ้านปฏิเสธเยียนอวิ๋นจืออย่างเข้มงวด บอกให้นางกลับห้องไปสำนึกผด

ตู้ซินแสไปทำงานจริงจังในเมืองหลวง

นางเป็นสตรี ไม่ศึกษาให้ดี มัวแต่คิดเรื่องเดินทางไปเมืองหลวงทั้งวัน เหมาะสมหรือไม่

เยียนอวิ๋นจือน้อยใจอย่างมาก

นางวิ่งกลับห้อง หมกตัวอยู่ในผ้าห่ม ร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียใจอยู่หลายวัน

เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้หมดหวังแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะปรากฏเหตุการณ์พลิกผัน

เดิมทีสองสามีภรรยาบ้านรองรู้ว่าเยียนโส่วจ้านจะส่งคนไปเมืองหลวง พวกเขาจึงมีความคิดที่จะไปเมืองหลวง

เหตุผลของพวกเขาสมเหตุสมผลอย่างมาก

“อวิ๋นเพ่ยอยู่ในเมืองหลวง นางออกเรือนสองปี ไม่รู้เวลานี้เป็นอย่างไร พวกเราอยากไปหาอวิ๋นเพ่ยที่เมืองหลวง ขอพี่ใหญ่โปรดอนุญาต”

นาบท่านรองตระกูลเยียนไว้หนวด รูปหน้ามีเล่ห์เหลี่ยม เหมือนตัวร้าย

อันที่จริงสมองของเขาธณรมดา เหมาะกับการดูแลเรื่องจิปาถะในจวน

ถามว่าเขามีปัญญามากน้อยเพียงใด ไม่มี

แต่เขามีแผนการและความฉลาดเพียงเล็กน้อย

เขาเป็นพี่น้องต่างมารดากับเยียนโส่วจ้าน

บิดาของเยียนโส่วจ้าน หรือท่านปู่ของเยียนอวิ๋นเกอ ท่านผู้เฒ่าตระกูลเยียนจากไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว

ชีวิตของท่านผู้เฒ่าเยียน โดยเฉพาะด้านแต่งงาน เรียกได้ว่าตำนาน

ท่านผู้เฒ่าทั้งชีวิตมีภรรยาทั้งหมดสี่ท่าน ทิ้งชื่อเสียขัดภรรยาเอาไว้ มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในรัฐโยวโจว และแคว้นซ่างกู่

ภรรยาหลวงของท่านผู้เฒ่าให้กำเนิดบุตรเพียงหนึ่งคน ซึ่งก็คือเยียนโส่วจ้าน จากนั้นสองปีตายจากไปเพราะป่วย

จากนั้น ท่านผู้เฒ่าก็แต่งงานกับภรรยาคนที่สอง หรือเรียกว่าหญิงที่แต่งเป็นภรรยาของพ่อม่ายเมียตายคนแรก

หญิงผู้นี้ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายก็คือนายท่านรองตระกูลเยียน

ไม่กี่ปีหญิงผู้นี้ก็ป่วยตายไปเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้น ท่านผู้เฒ่าตระกูลเยียนแต่งงานกับเรียกว่าหญิงที่แต่งเป็นภรรยาของพ่อม่ายเมียตายอีกสองคนตามลำดับ

ภรรยาคนที่สาม หรือหญิงที่แต่งเป็นภรรยาของพ่อม่ายเมียตายคนที่สอง ทิ้งไว้เพียงบุตรชายสองคน บุตรสาวหนึ่งคน ก่อนจะตายไป!

ภรรยาคนที่สี่ หรือหญิงที่แต่งเป็นภรรยาของพ่อม่ายเมียตายคนที่สาม ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน นางอยู่จนท่านผู้เฒ่าตาย

เมื่อท่านผู้เฒ่าตาย ท่านผู้เฒ่าหญิงนี้มีความรู้การณ์อย่างมาก นางไม่อยู่ให้เกะกะตาของเยียนโส่วจ้านในจวนโหว พักเข้าไปในวัดประจำตระกูลบนเขาด้วยตนเอง

หมูไปไก่มา เยียนโส่วจ้านสร้างจวนอีกแห่งบนภูขาให้ท่านผู้เฒ่าหญิงโดยเฉพาะ อีกทั้งส่งคนที่ไว้ใจได้ไปปรนนิบัติ

บุตรสาวของท่านผู้เฒ่าหญิง เยียนโส่วจ้านเลียงดูจนเติบใหญ่ ส่งออกเรือนตามหน้าที่ของพี่ชาย

เยียนโส่วจ้านในฐานะบุตรชายของภรรยาหลวง ไม่สนิทกับพี่น้องคนอื่นแม้แต่น้อย

อีกทั้งเขาอารมร์ร้อน มีความเด็ดขาด พี่น้องต่างเกรงกลัวเขา

ครานี้ เห็นเขาไม่พูด นายท่านรองตระกูลเยียนก็กังวลขึ้นมา ขาทั้งสองข้างสั่นเทาเล็กน้อย

“ข้าๆ ข้าแค่อยากไปเยี่ยมอวิ๋นเพ่ยที่เมืองหลวง ข้ากับแม่ของนางกังวลว่านางจะได้รับความไม่เป็นธรรมในตระกูลหลิง นางออกเรือนสองปี ท้องยังไม่มีการเคลื่อนไหว พวกเราไม่วางใจ!”

เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ “อวิ๋นเพ่ยอยู่ในตระกูลหลิงอย่างดี! มีฮูหยินดูอยู่ในเมืองหลวง จะเกิดเรื่องใดขึ้นได้”

เนื่องจากมีเซียวฮูหยินดูอยู่ นายท่านรองตระกูลเยียนกับภรรยาจึงไม่วางใจ

ทั้งสองกังวลว่าเยียนอวิ๋นเพ่ยจะตกอยู่ในมือของเซียวฮูหยิน หากไม่ป่วยตายก็ตายด้วยวิธีอื่น…

เซียวฮูหยินไม่ใช่คนดี

ถึงแม้หลายปีนี้ เซียวฮูหยินไม่เคยทำเรื่องชั่วร้ายใดๆ

แต่บางเวลา มุมมองต่อคนผู้หนึ่ง ไม่ได้มาจากการดูสิ่งที่นางทำ

เพียงแค่การพูดคุยไม่กี่ครั้ง ย่อมมีความทรงจำที่ตายตัว

ซุนฮูหยินมั่นใจว่าเซียวฮูหยินเป็นคนโหดเหี้ยม นายท่านรองตระกูลเยียนได้รับผลกระทบจากภรรยา เขาก็คิดเช่นเดียวกัน

ทั้งสองคนกังวลทั้งวันทั้งคืน เมื่อมีโอกาสได้ไปเมืองหลวง ย่อมต้องไขว่คว้าเอาไว้

นายท่านรองตระกูลเยียนพยายามเข้มแข็ง อยากจะแสดงออกถึงท่าทางที่แข็งกร้าว แต่น้ำเสียงของเขากำลังสั่น “พี่ใหญ่เห็นใจข้าที่เป็นพ่อแม่คนเสียบ้าง พวกเราแค่ไปเยี่ยมที่เมืองหลวง ก่อนการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงย่อมกลับมา”

เยียนโส่วจ้านยิ้มเย็น “กลับไปรอข่าว!”

นายท่านรองตระกูลเยียนหวาดกลัว ก่อนจะดีใจ “ขอบคุณพี่ใหญ่ ขอบคุณพี่ใหญ่! ข้าไปบัดนี้ พี่ใหญ่วางใจ ข้ารับรองไม่ทำให้การเดินทางล่าช้า ไม่ก่อเรื่องอย่างแน่นอน”

ข่าวที่สองสามีภรรยาของบ้านรองจะไปเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วจวนโหวในทันที

เฉินฮูหยินรองหาโอกาส ซักถามเยียนโส่วจ้าน “ท่านโหวจะให้สองคนในบ้านรองไปเมืองหลวงจริงหรือ สองคนนั้นมีกลอุบายมาก ไม่ใช่คนธรรมดา ท่านโหวไม่กลัวพวกเขาจะทำให้เรื่องสำคัญล่าช้า?”

เยียนโส่วจ้านกวาดตามองนาง “เจ้าอยากพูดสิ่งใด”

เฉินฮูหยินรองยิ้มเก้อ “เจ้าใหญ่ไปเมืองหลวงเกือบหนึ่งปี เรื่องงานยังไม่ลงตัว ไม่รู้ว่าเขาอยู่ดีหรือไม่ ถึงแม้ทุกครั้งที่เขาเขียนจดหมายกลับมามักบอกว่าทุกสิ่งล้วนดี แต่ข้ารู้ว่าเขาเพียงแค่ต้องการให้ข้าวางใจ ทางฮูหยินย่อมีความแสลงใจ ข้าก็กังวล…”

กังวลเรื่องใด

ย่อมต้องกังวลเซียวฮูหยินถ่วง หรือขัดหา สร้างปัญหาให้เยียนอวิ๋นฉวน

เยียนโส่วจ้านยิ้มอย่างกระจ่าง “ทางฮูหยินเจ้าวางใจได้ นางไม่ใช่คนใจแคบ”

“ข้าย่อมรู้ว่าฮูหยินใจกว้าง ข้าไม่ได้บอกว่าฮูหยินใจแคบ” เฉินฮูหยินรองรีบอธิบาย เกรงว่าเยียนโส่วจ้านจะเข้าใจนางผิด

“ข้าแค่กังวล อย่างไรแล้วเจ้าใหญ่ไม่ได้ออกมาจากท้องของฮูหยิน ฮูหยินอาจปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจได้ยาก เจ้าใหญ่ไม่ราบรื่นทุกเรื่องในเมืองหลวง งานยังเคว้งคว้าง ท่านโหวไม่กังวลหรือ”

เยียนโส่วจ้านทำหน้าบึ้ง “เจ้าอย่าได้คิดจะไปเมืองหลวง รากฐานของตระกูลเยียนอยู่ใยรัฐโยวโจว อยู่ในแคว้นซ่างกู่ ทางเมืองหลวง แม้เจ้าใหญ่จะไม่ได้งานก็ไม่มีผลกระทบ”

“แต่หากเจ้าใหญ่ได้งานย่อมเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าอาจช่วยท่านโหวได้ในอนาคต”

เยียนโส่วจ้านมองนาง “เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไร หรือว่าเจ้าก็อยากไปเมืองหลวง?”

เฉินฮูหยินรองส่ายหัวระรัว

ไปเมืองหลวง?

ล้อเล่นหรือ

ความมั่งคั่งร่ำรวยของนางในวันนี้ล้วนมาจากเยียนโส่วจ้าน นางย่อมต้องเฝ้าอยู่ข้างกายเยียนโส่วจ้านอย่างแน่วแน่ เพื่อป้องกันหญิงอื่นฉวนโอกาส

สถานที่อย่างเมืองหลวง ผู้อื่นอาจรู้สึกดี แต่นางไม่สนใจแม้แต่น้อย

สถานที่ดีเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่ของนาง

นางครุ่นคิดก่อนจะพูด “ข้าไม่อยากจากท่านโหวไป ย่อมไม่มีทางไปเมืองหลวง ข้าหมายความว่า ท่านส่งพี่ใหญ่ข้าเดินทางไปเมืองหลวงช่วยเจ้าใหญ่ได้หรือไม่”

เยียนโส่วจ้านหัวเราะอย่างเย็นยะเยือก “เจ้าให้พี่ใหญ่เจ้าไปเมืองหลวง เขารู้จักผู้ใดในเมืองหลวง หรือมีคนที่ข้าไม่รู้หรือ เขาไปเมืองหลวง เหลวไหลสิ้นดี! เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองหลวงอยู่ทิศทางใด ประตูเมืองเปิดไปทางใด เขาไปเมืองหลวงทำได้เพียงสร้างปัญหา”

เฉินฮูหยินรองยังคงไม่ยอม

“แต่…”

“ไม่มีแต่!”

เยียนโส่วจ้านตำหนิเสียงดัง “ความคิดที่จะไปเมืองหลวง ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดเอง หรือเป็นความคิดของพี่ใหญ่เจ้า ล้วนสิ้นสุดตรงนี้ เจ้าบอกพี่ใหญ่เจ้า ทำงานให้ดี อย่าคิดเหลวไหล ข้าย่อมไม่มีทางปฏิบัติอย่างอยุติธรรมกับเขา หากเขายั่วยุให้เจ้าเหลวไหล อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

“ไม่ใช่ความคิดของพี่ใหญ่ ล้วนเป็นความคิดของข้า ท่านโหวเข้าใจผิดแล้ว”

เฉินฮูหยินรองร้อนใจ เกรงว่าจะทำให้พี่ใหญ่ของตนเองเดือดร้อน

เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ

เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของเฉินฮูหยิน น้ำเสียงของเขาอ่อนลง พูด “เจ้าใหญ่อยู่ในเมืองหลวง ย่อมมีคนวางแผนแทนเขา เจ้าไม่ต้องกังวล ฮูหยินไม่ใช่แบบที่เจ้าคิด ฮูหยินมีชาติกำเนิดจากราชวงศ์ อย่าได้ใช้ความคิดของเขาคาดเดาความคิดของนาง”

เฉินฮูหยินรองพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางหมดหนทาง

เยียนโส่วจ้านรู้สึกสงสารทันที เขาโอบนาง “มีข้าอยู่ เจ้ามีสิ่งใดต้องกังวลอีก”

เฉินฮูหยินรองสะอื้นสองที “ข้ารู้ว่าท่านโหวดีต่อข้า ข้าไม่มีเจตนาสร้างปัญหาให้ท่านโหว เพียงแต่ เจ้าอวิ๋นจือบอกว่าอยากไปเปิดหูเปิดตาในเมืองหลวง เดิมทีนางอยู่อบ่างสงบแล้ว แต่เนื่องจากบ้านรอง สองวันนี้นางก็ตามตื๊อข้าเรื่องนี้อีก ท่านโหว เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ ท่านตัดสินใจเถิด”

เยียนโส่วจ้านขมวดคิ้ว “อวิ๋นจือโวยวายว่าจะไปเมืองหลวงตั้งแต่ปีก่อน เห็นว่านางเติบใหญ่แล้ว ออกไปเปิดหูเปิดตาย่อมได้ รอนางกลับจากเมืองหลวง ข้าจะหาสามีให้นาง”

เฉินฮูหยินรองได้ยิน รีบถาม “ไม่รู้ท่านโหวโปรดปรานชายตระกูลใด ข้าสามารถดูตัวแทนอวิ๋นจือได้หรือไม่”

เยียนโส่วจ้านพูด “เจ้ามีเวลาก็ดูตัวไว้หลายตระกูล หมั้นหมายอวิ๋นจือให้ชายตระกูลใด ถึงเวลาค่อยหารือกัน”

“ข้าฟังท่านโหว”

เยียนอวิ๋นจือรู้ว่าตนเองสามารถเดินทางไปเมืองหลวงได้แล้ว ดีใจจนตะโกนโหวกเหวกในห้อง

เฉินฮูหยินรองรำคาญเสียงโหวกเหวกของนาง ตำหนินาง “เป็นหญิงเป็นสาวแล้ว อย่าได้ลืมกฎระเบียบ โดยเฉพาะเมื่อถึงเมืองหลวง เจ้าจำไว้ ทุกเรื่องต้องอยู่ในระเบียบ อย่าให้ผู้อื่นดูถูกเจ้า อย่าได้เลียนแบบเยียนอวิ๋นเพ่ย ขาดความคิด”

เยียนอวิ๋นจือไม่ค่อยเข้าใจ “แต่เยียนอวิ๋นเพ่ยได้แต่งงานกับหลิงฉางเฟิง แต่งได้ดีเพียงนั้น…”

“ดีอันใดกัน!” เฉินฮูหยินรองตำหนิ ทำให้เยียนอวิ๋นจือตกใจ

เมื่อเห็นบุตรสาวตกใจ เฉินฮูหยินกระแอมไอเสียงเบา น้ำเสียงผ่อนคลายลง “เจ้าเห็นเพียงเยียนอวิ๋นเพ่ยแต่งเข้าไปในตระกูลหลิง เหตุใดเจ้าไม่ลองคิดดูว่านางมีชีวิตอย่างไรในตระกูลหลิง ผ่านไปสองปี ท้องยังไม่มีการเคลื่อนไหว ปีที่แล้วทั้งปี ส่งเพียงจดหมายฉบับเดียวกลับมา

ชื่อเสียงของนางเช่นนั้น ตระกูลหลิงมีกฎมาก แม่สามีและสะใภ้จะยอมให้นางอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไร คาดว่าชีวิตนางคงถูกกลั่นแกล้งทั้งวันในตระกูลหลิง ไม่แน่ว่าวันใด คนก็จากไป เมื่อถึงเวลาหลิงฉางเฟิงแต่งอีกครั้ง เป็นเจ้าบ่าวอีกครั้ง”

เยียนอวิ๋นจือมีความคิดที่แตกต่างกัน “เวลานี้เยียนอวิ๋นเพ่ยใช้ชีวิตในเมืองหลวง ห่างจากแม่สามีและสะใภ้ ชีวิตย่อมดี”

เฉินฮูหยินรองหัวเราะเยาะที่บุตรสาววิสัยทัศน์แคบ คิดถึงจิตใจของผู้คนง่ายดายเกินไป

นางพูด “เมื่อเจ้าไปเมืองหลวง เจ้าลองดูเยียนอวิ๋นเพ่ย ดูว่านางมีชีวิตดีหรือไม่”