หวังซีไม่กลัวการถูกคนจ้องมอง
ครอบครัวของนางเป็นพ่อค้ามีชื่อของภาคตะวันตกเฉียงใต้ สมาชิกในตระกูลอุ่นหนาฝาคั่ง อีกทั้งเติบโตขึ้นมาจากอ้อมอกของบรรดาผู้อาวุโส ไปไหนล้วนแล้วแต่ถูกคนกลุ่มใหญ่จับจ้องทั้งสิ้น
ท่านปู่ของนางกล่าวว่า คนไร้ความมั่นใจถึงหวาดกลัวการถูกคนจ้องมอง
คุณหนูหกตระกูลปั๋วจ้องมองนาง นอกจากนางจะไม่หลบเลี่ยงหรือขัดเขินแล้ว ยังส่งรอยยิ้มกลับไปให้นางอย่างเปิดเผยด้วย เป็นคนกล่าวทักทายนางก่อนความกระตือรือร้นอีกด้วย “คราก่อนข้าเคยเห็นเจ้ามาก่อนแล้วที่งานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ เพียงแต่ว่าอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่จวนเจียงชวนป๋อ พวกเราช่างมีวาสนาต่อกันยิ่งแล้ว”
คุณหนูหกปั๋วประหลาดใจกับการเข้าหาก่อนของนางเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีวาสนาต่อกันมากจริงๆ ข้ามาจากจวนชิ่งอวิ๋นโหว เป็นลำดับที่หกในบรรดาพี่สาวน้องสาวในบ้าน ข้าอายุมากกว่าซือจูสองสามวัน เนื่องจากเจ้าเป็นญาติผู้น้องของซือจู เช่นนั้นย่อมอายุน้อยกว่าข้า หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็เรียกข้าว่าหกเจี่ยเอ๋อร์เหมือนคุณหนูรองอู๋ก็ได้”
นี่คงเป็นชื่อเล่นที่เรียกขานกันในบ้าน
คุณหนูหกท่านนี้ช่างใจกว้างยิ่งนัก
หวังซียิ้มพลางขานเสียงหนึ่งว่า พี่สาวหก
คุณหนูหกปั๋วตอบรับอย่างร่าเริง ชวนหวังซีไปนั่งที่ศาลาข้างๆ ด้วยความกระตือรือร้น ยังกล่าวด้วยว่า “ข้าเอาขนมกุ้ยฮวาและขนมพิชิตชัย[1]มาด้วยเล็กน้อย น้องสาวหวังลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่”
ปั๋วหมิงเย่ว์เห็นแล้วก็พึมพำกล่าวอยู่ด้านข้างเบาๆ ว่า “นี่ช่างเป็นตัวอย่างของผู้ปกครองวางเพลิงได้แต่ประชาชนจุดตะเกียงไม่ได้นั่นจริงๆ พูดราวกับว่านางมาเพื่อมอบความยุติธรรมให้ประชาชน มิใช่มาดูเรื่องน่าขายหน้าของข้า”
คุณหนูหกปั๋วได้ยินแล้วถลึงตาใส่ปั๋วหมิงเย่ว์ครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้เล็กน้อย หันมากล่าวกับหวังซีด้วยดวงหน้าเต็มไปด้วยแววขออภัยว่า “พี่ชายเจ็ดของข้านิสัยเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้มีจิตใจร้ายกาจ หากเขามีตรงไหนที่กระทำผิดต่อเจ้า ข้าขอโทษเจ้าแทนเขาด้วย เจ้าคิดเสียว่าเห็นแก่ที่เขาถูกเฉินลั่วต่อยมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่าลดตัวลงไปถกเถียงกับเขาเลย”
หวังซีรู้สึกว่าความแค้นระหว่างนางกับปั๋วหมิงเย่ว์ได้รับการชำระไปนานแล้ว เฉินลั่วช่วยออกหน้าแทนนาง นางได้รับกำไรแล้ว ไหนเลยจะไปถกเถียงกับปั๋วหมิงเย่ว์มากมายอีก
นางได้ยินแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าเขากล่าวขอโทษข้าไปแล้วหรอกหรือ”
ท่าทางใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง
คุณหนูหกปั๋วลอบพยักหน้า กล่าวขอบคุณหวังซีซ้ำๆ ยังไล่ให้ปั๋วหมิงเย่ว์ไปดื่มชาที่อื่นอีกด้วย
ปั๋วหมิงเย่ว์มองหวังซีอย่างปิดซ่อนความขมขื่นเอาไว้ ท่าทางเสมือนยังติดใจที่หวังซีไม่ตอบคำถามของเขา เป็นเหตุให้หวังซีหัวเราะอยู่ในใจไม่หยุด
ความจริงแล้ววันนี้เพื่อแสดงความขอบคุณจวนชิงผิงโหวที่ส่งน้ำแข็งก้อนจากฤดูหนาวมาให้สองหลุม จวนเจียงชวนป๋อจึงจัดงานเลี้ยงเพื่อสร้างความเพลิดเพลินแก่สตรีของจวนชิงผิงโหว คุณหนูหกของจวนชิ่งอวิ๋นโหวทราบเรื่องแล้ว ขอใช้นามของจวนเจียงชวนป๋อชวนหวังซีมาเป็นแขก เพื่อกล่าวขอโทษหวังซีเป็นการเฉพาะ
มิใช่ว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่โดดเด่นที่สุดในรัชสมัยปัจจุบันหรอกหรือ คนตระกูลพวกเขาถ่อมเนื้อถ่อมตัวเพียงนี้เชียว?
หวังซีคลางแคลงใจเล็กน้อยว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉินลั่ว
น่าเสียดายที่นางไม่มีหลักฐานพิสูจน์
นอกจากนี้มีหลักฐานไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
จวนชิ่งอวิ๋นโหวกล่าวขอโทษนาง นางคงไม่อาจไม่ยอมรับไว้หรอกกระมัง หรือไม่ก็คงไม่อาจป่าวร้องว่าตัวเองไม่ยอมรับการปกป้องจากเฉินลั่วหรอกกระมัง
เช่นนั้นจะต่างอะไรกับคนที่ได้รับประโยชน์แล้วยังไม่สำนึกเหล่านั้น
วันนี้คุณหนูรองอู๋แต่งกายธรรมดาสามัญยิ่งกว่าวันที่ไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่เสียอีก นอกจากเสื้อผ้าเครื่องประดับจะเรียบง่ายแล้ว ยังทาริมฝีปากด้วยชาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่แป้งผัดหน้าก็ไม่ทาเลย ทว่ากลับดูสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ
นางดูไม่สบายใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ความจริงควรเชิญคุณหนูสามฉังมานั่งเล่นด้วย เสียดายที่ก่อนหน้าพวกข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะมาด้วย ทำผิดต่อนางแล้ว เจ้ากลับไป ควรอธิบายให้นางฟังสักครั้ง”
นี่มีอะไรให้ต้องตำหนิ
ไม่แน่ว่าตัวนางเองก็อาจจะถูกคุณหนูหกปั๋วเรียกมาอย่างกะทันหันก็เป็นได้
หวังซียิ้มตาหยีพยักหน้า เอ่ยถึงฉังเคอและคนอื่นๆ ขึ้นมา “ไปกล่าวอวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลพ่อภรรยาของคุณชายสามฉัง ต่อให้รู้ว่าพวกเจ้าเชิญนาง คาดว่านางก็คงมาไม่ได้” จากนั้นนางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามถึงเรื่องน้ำแข็งก้อนจากฤดูหนาวขึ้นมา “ทำไมหรือ น้ำแข็งก้อนจากฤดูหนาวของจิงเฉิงเตรียมเอาไว้ไม่พอหรือ”
เมื่อถึงฤดูร้อนอากาศร้อนแผดเผา ตระกูลมั่งคั่งต่างนำน้ำแข็งก้อนมาบรรเทาความร้อน น้ำแข็งก้อนเหล่านี้มักจะเอามาจากช่วงที่หนาวเย็นที่สุดของฤดูหนาว จากนั้นเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดิน รอจนถึงเดือนหกก็นำออกมาใช้
เนื่องจากต้องเก็บสะสมเอาไว้ในปีก่อน แล้วค่อยนำออกมาใช้ในอีกปีถัดมา ด้วยเหตุนี้ห้องเก็บน้ำแข็งแต่ละแห่งจึงต้องสั่งจองเอาไว้ล่วงหน้า หาไม่เมื่อถึงเวลาต่อให้เจ้ามีเงินก็หาซื้อไม่ได้
จวนเจียงชวนป๋อมิใช่ตระกูลไร้คุณงามความดี หากแม้แต่ตระกูลของพวกเขายังขาดแคลนน้ำแข็ง หวังซีสงสัยว่าด้วยความสามารถของจวนหย่งเฉิงโหวแล้ว คาดว่าฤดูร้อนนี้ตนก็คงจะต้องลำบากตามคนตระกูลฉังไปด้วย
นางไม่อยากเป็นเหมือนเข่งไม้ไผ่ที่ถูกนึ่งทุกวันในฤดูร้อนอันอบอ้าว
ลู่หลิงรีบกล่าว “ถูกต้อง ห้องเก็บน้ำแข็งของจิงเฉิงมีเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ก็เปลี่ยนพระทัยกะทันหัน ตรัสว่าฤดูร้อนปีนี้จะประทับที่พระตำหนักเฉียนชิง พระสนมสูงศักดิ์ทั้งหลายในวังหลวงย่อมไม่อาจออกจากวังหลังเช่นกัน น้ำแข็งที่พวกเราเคยจองเอาไว้ต้องลดปริมาณลงกึ่งหนึ่ง น้ำแข็งก้อนจึงไม่พอใช้”
กล่าวจบ นางยังย่นหัวคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่เพียงพวกข้า แม้แต่บรรดาไท่เฟยเหนียงเหนียงที่พระตำหนักฉือหนิง คาดว่าปีนี้ก็ต้องลดปริมาณน้ำแข็งสำหรับฤดูร้อนลงกึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฤดูร้อนปีนี้จะเย็นสบายกว่าปีก่อน หาไม่จะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร!”
แต่จวนชิงผิงโหวกลับส่งน้ำแข็งก้อนจากฤดูหนาวมาให้จวนเจียงชวนป๋อสองหลุมได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเวลาไหน ล้วนแล้วแต่มีคนและเรื่องพิเศษที่เป็นข้อยกเว้นเสมอ
หวังซีคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าตระกูลหวังของพวกเขาก็อาจจะยืมประโยชน์จากลมบูรพานี้ได้ ส่วนจะยืมมาใช้อย่างไรนั้น ตอนนี้นางยังไม่แน่ใจนัก ตั้งใจว่าจะเดินไปดูไปทีละก้าว ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที
เพียงแต่ว่าพอได้เปิดหัวข้อสนทนานี้แล้ว ทุกคนต่างอดไม่ได้พูดเรื่องจะทำอย่างไรดีกับฤดูร้อนของปีนี้ขึ้นมา แต่เดิมพวกนางล้วนติดตามพระสนมชั้นสูงในวังหลวงไปหลบร้อนยังนอกเมือง แต่บัดนี้ฮ่องเต้จะทรงทนร้อนอยู่ที่จิงเฉิง แล้วพวกนางจะออกจากเมืองได้อย่างไร
หวังซีกลับคิดไปไกลกว่านั้น
เหตุใดฮ่องเต้ถึงไม่เสด็จออกจากเมืองหลวง มันจะเกี่ยวข้องกับอาการพระทัยสั่นของพระองค์หรือไม่ เฉินลั่วกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่รีบเรียกหาท่านหมอที่พึ่งพาได้มาถวายการรักษาฮ่องเต้ กลับไปสนใจเรื่องเครื่องเทศต่างๆ ขึ้นมาแทน เป็นการแก้ปัญหาผิดจุดหรือว่ามีความลับอื่นกันแน่นะ?
น่าเสียดายที่ตระกูลหวังค่อนข้างห่างไกลจากแวดวงราชสำนัก
ไม่รู้ว่าในบรรดาคุณหนูที่นั่งอยู่ตรงนี้จะมีคนเป็นคนวงในบ้างหรือไม่
หวังซีคิด อดมองสำรวจคุณหนูสองสามท่านครั้งหนึ่งไม่ได้
สายตาของนางกับสายตาของคุณหนูหกปั๋วสบประสานกันกลางอากาศโดยมิได้นัดหมาย
คุณหนูหกปั๋วคล้ายแอบพิจารณานางอยู่ตลอดก็ไม่ปาน
นางกำลังยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างมาเล่นทายปริศนากับคุณหนูหกปั๋ว นางยิ้มถามคุณหนูหกปั๋วอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่สาวหกมีอะไรอยากพูดกับข้าใช่หรือไม่ หาไม่จะเอาแต่จ้องมองข้าได้อย่างไร พี่สาวหกไม่คุ้นเคยกับข้า ทว่าคุณหนูรองอู๋รู้จักข้าดี มีเรื่องอะไรก็ชอบพูดกันอย่างตรงไปตรงมา…
…หากเจ้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่สะดวก พวกเราไปเดินเล่นนอกศาลาดีหรือไม่”
คุณหนูหกปั๋วประหลาดใจที่หวังซีเป็นคนตรงไปตรงมาขนาดนี้ นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวอย่างกระดากอายว่า “เพราะข้ากำลังมองความงามของน้องสาวหวังอยู่มิใช่หรือ”
ทุกคนต่างหัวเราะร่วน
หวังซีกลับไม่เชื่อเลยแม้แต่ครึ่งคำ
แต่คุณหนูหกปั๋วไม่พูด นางก็จะทำเป็นไม่รู้ ควรทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น ควรพูดอะไรก็พูดสิ่งนั้น ตอนนี้นางกุมอำนาจเป็นผู้รุกก่อน คุณหนูปั๋วไม่มาหานาง นางก็ทำให้คุณหนูหกปั๋วกล้ำกลืนสิ่งที่ต้องการพูดไว้ที่ท้องตลอดไปได้
ขอเพียงนางอดทนได้ ตนก็ไม่ถามไปตลอดชีวิตได้เช่นกัน
หวังซีดึงอารมณ์หลายส่วนออกมาพูดคุยยิ้มหัวกับพวกลู่หลิง ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนกระทั่งงานเลี้ยงของจวนเจียงชวนป๋อเลิก นางเตรียมจะเดินทางกลับจวน คุณหนูรองอู๋กลับเดินเคียงบ่ากับนางไปยังโรงจอดเกี้ยวเหมือนไม่ตั้งใจ ยังแอบกระซิบบอกนางว่า “คาดว่าหกปั๋วคงเห็นว่าเฉินลั่วออกหน้าแทนเจ้า จึงอยากรู้ว่าเจ้ากับเฉินลั่วเป็นอะไรกัน”
แท้จริงแล้วสิ่งที่นางพูดไปคนตระกูลปั๋วไม่เชื่อเลยนี่เอง
หวังซีเลิกคิ้วขึ้น
คุณหนูรองอู๋กดเสียงต่ำยิ้มกล่าว “หกปั๋วยังไม่ได้หมั้นหมายนี่นา! ตระกูลเหมาะสมที่พอจะเข้าตานั้นมีไม่มาก ทั้งยังกลัวฮ่องเต้จะเข้าพระทัยผิดคิดว่ามีคนสมรู้ร่วมคิดกัน แต่ก็ไม่อาจถามตรงๆ ให้กระจ่างได้ ด้วยไม่รู้ว่าควรค่าแก่การเสี่ยงครั้งนี้หรือไม่!”
กล่าวได้ว่า คุณหนูหกตระกูลปั๋วถูกใจเฉินลั่ว?
นี่อธิบายชัดแล้วว่าเหตุใดคุณหนูหกปั๋วถึงจ้องมองนาง และยังพาปั๋วหมิงเย่ว์มากล่าวขอโทษนางอีก
หวังซีทอดถอนใจเล็กน้อย ด้วยท่าทางที่รู้สึกว่าชีวิตของทุกคนช่างไม่สบายเอาเสียเลย
กระทั่งตอนที่นางกลับถึงจวนหย่งเฉิงโหวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่านั้น ซือจูกลับมาถึงนานแล้ว
นางเห็นหวังซีแต่ก็เดินจากไปประหนึ่งมองไม่เห็น
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเคร่งเล็กน้อย อยากเอ่ยบางอย่างแต่ก็หยุดไป
หวังซีไม่ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้มีโอกาสพูด ยิ้มแย้มคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าสองสามประโยคแล้วก็เล่าสาเหตุที่จวนเจียงชวนป๋อเชิญนางไปเป็นแขกให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง ยังเจื้อยแจ้วเอ่ยถึงเรื่องที่คุณหนูหกปั๋วและคุณหนูรองอู๋ถามนางว่าจะย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวเมื่อใด ต้องการมาแสดงความยินดีที่นางย้ายบ้านใหม่ด้วย
“ท่านว่าพวกเราจัดงานเลี้ยงเช่นไรถึงจะดีเจ้าคะ” นางกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “ข้าเองไม่ค่อยรู้เรื่องกฎระเบียบการจัดงานเลี้ยงของจิงเฉิงนัก หรูหราฟู่ฟ่าเกินไป กลัวพวกนางจะคิดว่าข้าไร้รสนิยม เรียบง่ายไป ก็กลัวพวกนางจะคิดว่าไม่พิถีพิถัน ข้าไตร่ตรองแล้ว แม้นงานเลี้ยงครั้งนี้จะเป็นเพียงเรื่องระหว่างเด็กสาวไม่กี่คนอย่างพวกข้า แต่อย่างไรก็ต้องขอให้ท่านและโหวฮูหยินช่วยดูด้วยถึงจะถูก แล้วก็เรื่องวันย้ายบ้านด้วย ต้องกำหนดให้แล้วเสร็จแต่เนิ่นๆ ดีกว่า ข้าได้ยินคุณหนูหกปั๋วกล่าวว่า ฤดูร้อนปีนี้ฮ่องเต้ไม่เสด็จไปหลบร้อนที่ภูเขาตะวันตก งานเลี้ยงในวังหลวงย่อมต้องมีไม่น้อย อย่าให้ชนกับงานเลี้ยงของพระสนมชั้นสูงท่านไหนถึงจะดี” นางยังกล่าวอีกว่า “พวกเราควรจะส่งคนไปสอบถามในวังหลวงดีหรือไม่ ดูว่าในวังหลวงมีการเตรียมการอะไรหรือเปล่า!”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วสีหน้าว้าวุ่นเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าบอกว่า เพราะเจ้าเฉินลั่วจึงต่อยปั๋วหมิงเย่ว์ไปครั้งหนึ่ง นี่…นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
“น่าจะจริงกระมัง” หวังซียิ้มตอบ “นี่เป็นสิ่งที่ปั๋วหมิงเย่ว์เป็นคนพูดเอง เขาคงไม่สาดน้ำใส่ตัวเองหรอกกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วไม่ได้กล่าวสิ่งใด ครู่ใหญ่ถึงได้โบกมือให้หวังซีอย่างไม่สบอารมณ์ เป็นสัญญาณให้นางออกไป
หวังซียิ้มร่าลุกขึ้นยอบกายทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนไปยังถามฮูหยินผู้เฒ่าว่า “คุณหนูหกปั๋วและคนอื่นๆ ยังรอคำตอบจากข้าอยู่ ข้าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ไปปรึกษาป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าดู” ฮูหยินผู้เฒ่าดูปัดความผิดเล็กน้อย “ตระกูลใดมีงานเลี้ยงบ้างนั้น นางรู้ดีที่สุดแล้ว”
หวังซีรับคำและออกจากประตูมาอย่างเบิกบานประหนึ่งไม่รู้เรื่องอะไร
เพียงแต่ว่าพอออกจากประตูแล้วดวงหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น กล่าวกับไป๋กั่วและคนอื่นๆ อย่างเยียบเย็นว่า “กระสันอยากได้บ้านของข้า เช่นนั้นก็ต้องมีความสามารถเข้าไปอยู่ให้ได้ถึงจะถูก”
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ต่างคาดเดากันว่าซือจูใช้ประโยชน์จากองค์หญิงฟู่หยางบีบให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนตัดสินให้นางย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิว
แต่คุณหนูใหญ่ของพวกนางมิได้กินหญ้า
ซือจูกล้าหาประโยชน์จากสิ่งของของคุณหนูใหญ่ของพวกนาง ก็ต้องเตรียมตัวจ่ายค่างวดด้วย
แต่สุดท้ายแล้วหวังซีรู้สึกว่าไร้สาระยิ่ง
กลางคืนอากาศร้อนอบอ้าว นางสวมเพ่ยจื่อผ้าโปร่งบางถักทอจากผ้าไหมหังโจว ถือกล้องส่องทางไกลที่พี่ชายใหญ่ของนางหามาให้ตามคุณสมบัติที่นางต้องการเอาไว้ ปีนขึ้นไปยังห้องอุ่นบนภูเขาจำลองที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
ศาลากวางร้องที่อยู่ข้างบ้านมืดสนิท มีเพียงเรือนปีกหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับสวนป่าผืนที่นางบังเอิญเจอเป่าชิ่งจ่างกงจู่ในตอนนั้นมีแสงตะเกียงเหลืองนวลสว่างอยู่เท่านั้น ดูเงียบเหงาเล็กน้อย
ที่ตระกูลหวังของพวกนางล้วนจุดโคมไฟไว้ทั่วใต้ชายคาบ้าน
ว่ากันว่าทำเช่นนั้นแล้วพวกผู้ร้ายหรือโจรย่องเบาเหล่านั้นก็จะไม่รู้ว่าเรือนหลังไหนเป็นที่พักของบุคคลสำคัญ
ศาลากวางร้องเป็นเช่นนี้ คล้ายเป็นเป้าล่อเป้าหนึ่งก็ไม่ปาน