เนื่องจากเรียกว่าห้องอุ่น นั่นก็หมายความว่าเป็นสถานที่สำหรับทำร่างกายให้อบอุ่นในฤดูหนาว ปกติมักจะสร้างอย่างมิดชิด มันจึงอบอุ่นในฤดูหนาวนั้นไม่ต้องกล่าวถึง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ในฤดูร้อนอันอบอ้าวจะทำให้คนสลดหดหู่ได้เล็กน้อย

ไป๋ซู่และอีกสองสามคนจุดธูปโกฐจุฬาลัมพาภายในห้องอุ่นและเปิดหน้าต่างออก หวังซีถึงได้รู้สึกมีอากาศถ่ายเทหายใจได้คล่องขึ้น

นางยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมองครู่หนึ่ง ถอนหายใจด้วยสีหน้าเจือความเปล่าเปลี่ยวหลายส่วน ลุกขึ้นเก็บกล้องส่องทางไกล เพิ่งกล่าวประโยคหนึ่งไปว่า พวกเราไปกันเถอะ ออกมา ก็ถลาไปที่หน้าต่างใหม่และยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาอีกครั้ง

จวนจ่างกงจู่ที่แต่เดิมเงียบเชียบประหนึ่งไร้คนอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งถือโคมไฟมังกรยิ่งอยู่ก็ยิ่งเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากทางด้านจวนเจิ้นกั๋วกง ส่งเสียงโหวกเหวกมุ่งหน้ามาทางด้านนี้

ในค่ำคืนที่มืดสนิท คล้ายเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว โดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก

“นี่เกิดอะไรขึ้น” หวังซีพึมพำกล่าว รู้สึกว่าต่อให้เปลี่ยนมาใช้กล้องส่องทางไกลที่เหมือนของพี่ชายใหญ่ของนางแล้วก็ราวกับว่ายังเห็นได้ไม่ค่อยชัดนัก

นางครุ่นคิด กล่าวกับหงโฉวและชิงโฉวว่า “พวกเราไปสวนร่มหลิวกัน”

หงโฉวและชิงโฉวอดไม่ได้แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง

ดาบใหญ่เล่มนั้นฝังอยู่ที่สวนร่มหลิวยังไม่มีโอกาสไปจัดการ นี่คุณหนูใหญ่จะแอบสอดส่องศาลากวางร้องอีกแล้วหรือ

แต่เมื่อมองสายตาแน่วแน่ของหวังซีแล้ว ทั้งสองคนไม่เปล่งเสียงใด คุ้มกันหวังซีไปที่สวนร่มหลิวอย่างระแวดระวัง

หวังซีปีนขึ้นบันไดอย่างคล่องแคล่ว ยกกล้องส่องทางไกลขึ้น

เป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง สวมอาภรณ์หรูหรา บ้างร่างสูงใหญ่ดุจบุรุษ บ้างร่างเล็กบอบบางประหนึ่งกิ่งหลิว ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกันบ้าง รุดเข้าไปในศาลากวางร้อง

มีสตรียืนร้องตะโกนอยู่บนสะพานโค้งของศาลากวางร้อง

แม้นอยู่ห่างกันไกล แต่ก็ได้ยินชัดเจนว่ากำลังตะโกนเรียกเฉินลั่วอยู่

น้ำเสียงนั่น ไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าทางอยากมีเรื่องด้วยเต็มกำลัง

หวังซีมองอย่างงวยงง

คนผู้นี้คือใคร

จวนจ่างกงจู่กับจวนเจิ้นกั๋วกงไม่มีพ่อบ้านหรือ

มองศาลากวางร้องอีกครั้ง นิ่งเงียบเป็นเป่าสาก คล้ายไม่มีคนอยู่ก็ไม่ปาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีคนออกมาตอบเลย

นี่ออกจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว

ทุกเรือนล้วนแล้วแต่มีพ่อบ้าน นอกเสียจากว่าจะได้รับการกำชับมาจากนายของบ้าน ไม่ต้องพูดถึงคนที่แค่ดูก็รู้แล้วว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนจ่างกงจู่เพราะเดินทะลุจากจวนเจิ้นกั๋วกงผ่านจวนจ่างกงจู่ไปจนถึงศาลากวางร้องได้ แม้แต่คนที่บังเอิญมาเป็นแขกที่บ้านแล้วหลงทางเหล่านั้น ก็น่าจะมีคนออกมาตอบรับถึงจะถูก

หวังซีนึกถึงเฉินเจวี๋ยขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้

ราวกับว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่เดินทะลุคฤหาสน์สองหลังและยืน ‘ตะโกนโหวกเหวก’ อยู่หน้าศาลากวางร้องเช่นนี้ได้

แต่ถ้าหากเป็นนาง ท่าทีของจ่างกงจู่ช่างน่าแปลกยิ่งนัก

นางจะไม่ออกมาว่ากล่าวอะไรสักคำเลยหรือ

ไม่ว่าอย่างไร เฉินเจวี๋ยก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกเลี้ยงของนาง คำว่ากตัญญูหนึ่งคำที่กดทับไว้ ย่อมทำให้เฉินเจวี๋ยหุบปากได้

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเฉินเจวี๋ยก็คือเฉินลั่ว

ในฐานะมารดา มิใช่ว่าควรจะเข้าข้างบุตรของตัวเองหรอกหรือ

ยังมีเจิ้นกั๋วกงอีก ก็ไม่ออกมาพูดอะไรเลยสักคำ

จากที่ฉังเคอกล่าวมา เฉินลั่วเองก็มิใช่คนนิสัยดีอะไร ต่อให้เป็นพี่สาวมาหาถึงบ้าน การหลบเลี่ยงไม่โต้ตอบเช่นนี้จะแก้ปัญหาได้อย่างนั้นหรือ

หวังซีรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย วางกล้องส่องทางไกลลง

ฉับพลันนั้นศีรษะถูกตีด้วยของอะไรบางอย่าง

หวังซีตกใจเป็นอย่างมาก มองไปรอบๆ

เนื่องจากกลัวถูกคนสังเกตเห็น พวกนางจึงดับโคมไฟมังกรเสีย อีกทั้งวันนี้ยังมีก้อนเมฆบดบังพระจันทร์ ไร้ซึ่งแสงสว่าง เงาไม้รอบด้านโยกไหว ยังมีสายลมพัดผ่านมาส่งเสียงดังซู่ๆ หากมิใช่เพราะคิดว่าชิงโฉวกับหงโฉวกำลังช่วยประคองบันไดให้นางอยู่ล่ะก็ เกรงว่านางคงตกใจกลัวจนวิ่งเตลิดไปแล้ว

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” นางตบหน้าอกพึมพำกล่าวปลอบใจตัวเองเสียงเบา “อาจจะเป็นกิ่งไม้ เจ้ามียันต์คุ้มครองที่ท่านเจ้าอาวาสวัดเจาเจวี๋ยปลุกเสกให้ติดกายอยู่ ภูตผีไม่กล้ำกราย วิญญาณร้ายไม่กล้า…”

ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะ คิก ของบุรุษดังขึ้นมาจากบนศีรษะของนาง

“ใคร!” ในน้ำเสียงของหวังซีเจือเสียงสะอื้น มองไปรอบๆ อย่างร้อนใจ

มือของชิงโฉวและหงโฉวเองก็จับอยู่ตรงบริเวณเอวแล้วเช่นกัน

ยามพวกนางสองคนออกจากบ้านเป็นเพื่อนหวังซี ล้วนแอบเหน็บแส้ไว้ที่เอวเส้นหนึ่ง

“อยู่นี่!” เสียงดังมาจากพุ่มต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพวกนาง

หลังจากเสียงซู่ๆ ผ่านพ้นไปคำรบหนึ่ง ก็มีคนแหวกกิ่งไม้ใบไม้ออก ใบหน้าหล่อเหลาหาญกล้าหนึ่งโผล่ออกมาให้เห็น

“เฉิน…เฉินลั่ว!” หวังซีมองแล้วดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกโพลง ลิ้นพันกัน “เจ้า…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

นางถึงสังเกตเห็นว่าต้นไม้ที่เฉินลั่วนั่งอยู่ต้นนั้นเป็นของจวนจ่างกงจู่ เพียงแต่ว่ามันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ กิ่งก้านโผล่พ้นกำแพงกั้น กินพื้นที่มาที่จวนหย่งเฉิงโหวไปนานแล้ว

“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เฉินลั่วถาม เหยียบอยู่บนง่ามไม้ขนาดเท่าชามใบใหญ่กิ่งหนึ่งอย่างคล่องแคล่วว่องไว มองหวังซีจากด้านบน “เวลานี้เจ้าควรจะนอนแล้วมิใช่หรือ” เขากล่าว สายตาคมจับจ้องอยู่ที่กล้องส่องทางไกลในมือหวังซี “แล้วนั่นอะไร เจ้าคงมิได้กำลังแอบสอดส่องบ้านข้าอยู่หรอกกระมัง”

“แน่…แน่นอนว่ามิใช่!” หวังซีกล่าวอย่างรู้สึกผิด ใบหน้าร้อนผ่าว คิดว่าโชคดีที่ท้องฟ้ามืดมิด เขาจึงมองไม่เห็น ไม่อย่างนั้นตนต้องถูกเปิดโปงเป็นแน่ นางเองก็เสียอาการเกินไปแล้ว ขนาดได้ข้อสรุปว่าต่อให้ต้องตายยังไม่ยอมรับเลย แล้วจะปล่อยให้เขามาเปิดโปงด้วยคำพูดเพียงสองสามประโยคได้อย่างไร

“ข้านอนไม่หลับ แล้วเผอิญสังเกตเห็นว่ามีคนถือโคมไฟกำลังเดินทะลุบ้านของพวกเจ้า ข้ากลัวว่าจะมีเรื่องอะไร ถึงได้วิ่งมาดู!” นางกล่าวแน่วแน่ไม่ลังเล ยังถามเฉินลั่วกลับด้วยว่า “เหตุใดคุณชายรองถึงยังไม่นอน คงมิใช่เหมือนที่พวกเขาเล่าลือกัน ที่ว่าเจ้าปีนกำแพงหนีไปเที่ยว กลัวถูกคนในบ้านมาพบเห็น ก็เลยซ่อนตัวอยู่ที่นี่ชั่วคราว?”

ขณะที่กล่าวคล้อยไปกับหัวข้อสนทนาของอีกฝ่ายนั้น กลับทำให้นางขบคิดบางอย่างได้อย่างกะทันหัน “คนเหล่านั้นคงมิได้ค้นพบว่าเจ้าไม่อยู่จวน จึงตั้งใจมาหาเจ้าเป็นพิเศษหรอกกระมัง”

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นี่ก็ถือว่านางหาทางลงให้เขาแล้ว

หากเขาเป็นคนรู้มารยาท ก็ควรจะฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้ ให้ทุกคนต่างจบเรื่อง ต่างคนต่างแยกย้าย และต่างถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

เฉินลั่วได้ยินแล้วหัวเราะออกมาเสียงเบา

เสียงหัวเราะของเขาไม่ได้กังวานใสเยือกเย็นเหมือนตอนเขาพูด ดูบริสุทธิ์อ่อนหวานเล็กน้อย คล้ายกับเป็นเสียงที่ส่งออกมาหน้าอก เจือเสียงสั่นเครือที่ทำให้คนเห็นใจเอาไว้

หัวใจของหวังซีเต้นแรงตามขึ้นมาด้วย

“พวกเขามาหาข้าจริงๆ” เฉินลั่วกล่าว ในน้ำเสียงยังแฝงรอยยิ้มที่ไม่ทันได้ระงับเอาไว้ด้วยหลายส่วน ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย “ทว่ามิใช่เพราะข้าไม่อยู่บ้าน แต่เพราะพี่เขยข้าถูกฮ่องเต้สั่งย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองทัพภาคของกองพลเฉิงโจว พี่สาวแสนดีของข้าที่เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีมีคุณธรรมมาตลอดท่านนั้น ยังไม่มีบุตรชายคนโต สามีถูกโยกย้ายไปยังสถานที่ห่างไกลเพียงนั้น นางจะตามไปด้วยก็ทำใจลาจากความหรูหราฟู่ฟ่าของจิงเฉิงไม่ได้ หากไม่ไปก็กลัวว่าแม่สามีจะขุ่นเคือง ชื่อเสียงเสียหาย นี่ก็เลยได้แต่มาหาเรื่องข้าด้วยความเดือดดาล!”

แม้แต่ในความฝันหวังซีก็ไม่คาดคิดว่าเฉินลั่วจะพูดเรื่องเช่นนี้กับนาง

นี่ถือเป็นการบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินเจวี๋ยให้นางฟังอย่างเปิดเผย!

ความลับจริงแท้ของจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนจ่างกงจู่!

นางไม่ฟังได้หรือไม่

หวังซีมองเฉินลั่วอย่างเลื่อนลอย

ค่ำคืนที่ไร้แสง ดวงตาของเขาประหนึ่งหินอัคนีสีดำ ลำแสงมืดสลัวเป็นประกายระยิบระยับ ดึงดูดเอาสายตาของคนไปได้ ทั้งยังเหมือนสัตว์ดุร้ายในป่าลึกที่กัดผู้คนได้ ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเงียบๆ รอเวลาตะครุบเหยื่ออย่างใจเย็น จากนั้นขย้ำลำคอของเหยื่อ ทำให้เจ้าไม่มีแม้แต่โอกาสจะต่อสู้ดิ้นรน

นางตัวสั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ได้

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เฉินลั่วหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอีกหลายเสียง

หวังซีใจสั่นด้วยความหวาดกลัว รีบรวบรวมความคิด พยายามนึกวิธีรับมืออย่างร้อนใจ

นี่นางไม่ระวังจนก้าวไปตกหลุมของเฉินลั่วอีกแล้วหรือ

แต่เปรียบเทียบกับที่สวนป่าเมื่อคราวก่อนแล้ว จะดีร้ายครั้งนี้นางถือว่าเป็นพันธมิตรของเฉินลั่วแล้ว ต่อให้มิใช่พันธมิตร ก็ถือเป็นคนในปกครอง

ยามบรรดาหลงจู๊มีหน้ามีตาข้างกายพี่ชายใหญ่ของนางเหล่านั้นเผชิญกับเรื่องเช่นนี้พวกเขาทำอย่างไรกันบ้างนะ?

ประการแรกคือเชื่อฟัง ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย ต่อมาคือแสดงออกว่าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเจ้านาย จากนั้นถึงดูสถานการณ์แล้วแสดงออกมาว่าตัวเองแตกต่างจากผู้อื่น ทำให้เจ้านายมีภาพจำที่ดี

หวังซีตัดสินใจได้ในทันที

“เช่นนั้นพวกนางก็ทำเกินไปแล้ว” หวังซีกล่าวอย่างไม่พอใจ “บุตรเขยของตระกูลพวกเจ้าย้ายไปที่ไหน เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” เมื่อคำพูดนี้ออกจากปากไป นางก็หัวเราะคิกอยู่ในใจครั้งหนึ่ง

นางนึกถึงเรื่องจับชู้รักที่สวนป่าขึ้นมา

ไม่แน่ว่าที่สามีของเฉินเจวี๋ยถูกย้ายไปอยู่เฉิงโจวนั้น เฉินลั่วอาจมีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ ก็เป็นได้?

หาไม่เหตุใดเฉินเจวี๋ยไม่ไปหาใครเลย แต่พุ่งมาหาเฉินลั่วเพียงคนเดียวเท่านั้น

ยังเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน เหมือนมาขวางประตูไว้ก็ไม่ปาน

แต่เรื่องพวกนี้นางไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่พูดได้!

บัดนี้นางกับเฉินลั่วเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน รุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์กันทั้งหมด เสียหาย…คงมีแต่ตระกูลหวังของพวกนางที่เสียหาย!

“นางวิ่งกลับมาด้วยท่าทีของคนที่มาเพื่อคิดบัญชีกับเจ้าเช่นนี้ เหตุใดเจิ้นกั๋วกงไม่จัดการ?” หวังซีทำใจดีเข้าสู้ ได้แต่กล่าวเพื่อเฉินลั่วต่อไป “ยังมีจ่างกงจู่อีก?”

เนื่องจากจ่างกงจู่เป็นมารดาของเฉินลั่ว การตำหนินางเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีนัก

หวังซีรีบเปลี่ยนวิธีเคลื่อนหมาก กล่าวว่า “เนื่องจากพี่สาวของเจ้ามิใช่บุตรแท้ๆ ของนาง นางคงออกหน้ามาจัดการไม่ได้ แต่เฉินอิงเล่า? เขาหลับสนิทไปแล้วอย่างนั้นหรือ จะไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียวเลยกระนั้นหรือ ต่อให้เขาไม่ได้ยิน คนข้างกายเขาก็หูหนวกกันหมดแล้ว?”

ผลักหม้อใบนี้ไปไว้บนตัวเฉินอิง คงไม่เป็นอะไรกระมัง

หวังซีรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองช่างยากยิ่ง ทุกครั้งที่จะพูดแต่ละประโยคล้วนต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนพูดทั้งสิ้น

ผู้ใดจะรู้ว่าเฉินลั่วได้ยินแล้วกลับหัวเราะฮ่าเสียงดังออกมา