ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 39 ความตายของอาจารย์อาน้อย (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 39 ความตายของอาจารย์อาน้อย (rewrite)

ไป๋ฉี่หยวนที่ถือกล่องไม้สีขาวและยังมีองค์ชายสามไฟลุกมอดไหม้หมดแล้วก็ไปจากตรอกเล็กแห่งนี้

พวกเขามาในห้องเล็กมืดครึ้ม ค่ายกลบนพื้นยังมีเถ้าถ่านเหลืออยู่เล็กน้อย เศษยันต์ลอยไปตามสายลม ค่ายกลเคลื่อนย้ายหมุนโคจรกินแสงดาราไปไม่น้อย อุณหภูมิที่เหลือยังไม่หายไป

ภายในห้องลับเต็มไปด้วยแสงสว่าง

และยังมีความเป็นเทพ

เด็กสาวที่ถูกมัดสองมือและสองเท้าร้องเสียงอู้อี้ นางถลึงตามององค์ชายสาม บุรุษผอมสูงที่ยืนในเงามืดนั้นเอาผ้าขาวมาเช็ดข้อมือ

หลี่ไป๋หลินจ้องเด็กสาวที่นั่งคุกเข่าบนพื้น ลึกๆ ในใจทนไม่ไหวแล้ว

บางเรื่อง หมดความอดทนก็เรื่องหมดความอดทน ถึงอย่างไรก็ต้องทำ

การหมดความอดทนเล็กๆ จะทำให้เสียการใหญ่

เขาพูดอย่างเฉยชา “กำหนดวันแล้ว เป็นวันนั้นแห่งการล่า ช่วงนี้เจ้าอยู่ที่นี่ ห้ามไปที่ใดทั้งนั้น”

หลี่ไป๋หลินจ้องใบหน้าดอกแพร์เปื้อนน้ำฝน อยากจะกินเด็กสาวลงท้องไปทั้งตัว

แต่ในท้องเขารับร่างสมบูรณ์แบบนี้ไว้ไม่ได้

สติปัญญาสูงส่งขัดขวางอารมณ์ชั่ววูบปรารถนานี้ไม่รู้กี่ครั้ง

จากนั้นหลี่ไป๋หลินบอกตัวเอง

เขาต้องกินทั้งใต้ฟ้าต้าสุย ไม่ใช่หญิงที่มีฐานะต่ำต้อย

เด็กสาวยังคงร้องอู้อี้อย่างกระวนกระวายใจ เสียงถูกอุดด้วยผ้า ฟังดูค่อนข้างน่าสงสาร

หลี่ไป๋หลินหน้ามืดทะมึน นั่งย่อตัวลงช้าๆ เขาใช้มือเชยคางสวีชิงเยี่ยนขึ้น ดวงตาสีเหลืองทองดูลุกโชนและน่าเกรงขามในแสงสว่างที่ค่อยๆ หายไปในห้องมืด

“ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง ขอแค่เจ้ายินดีเชื่อฟัง เงินทอง อัญมณี เครื่องประดับ มีอะไรที่ข้าให้เจ้าไม่ได้บ้าง สิ่งที่คนยากจนพวกนั้นเฝ้าใฝ่ฝัน อยากจะคุกเข่าขอร้องข้าใจจะขาด ข้าส่งมาตรงหน้าเจ้า เจ้ากลับไม่ต้องการรึ”

ตอนที่เอ่ยคำพูดนี้ ไป๋ฉี่หยวนที่ถือกล่องไม้สีขาวเงียบ แววตาซับซ้อน

เสียงของเด็กสาวปะปนในผ้า ฟังยากมาก

องค์ชายสามได้ยินเสียงที่ร้อนใจไม่เป็นสุขภายในห้อง

เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง ชูขึ้นสูง

สวีชิงเยี่ยนตัวสั่นไปทั้งตัว หลับตาลง น้ำตาไหลพรากลงมาสองสาย

สุดท้ายก็ใจไม่แข็งพอจะตบใบหน้านั้น

หลี่ไป๋หลินฉีกผ้าด้วยใบหน้าเฉยชา “อีกไม่นาน เจ้าจะขอบคุณข้า”

ไป๋ฉี่หยวนได้สติกลับมา

“บีบอัดความเป็นเทพให้ถึงก่อนกำหนด สามครั้งต่อวัน”

หลี่ไป๋หลินพูดเสียงเย็นชา “วันล่าเหยื่อ…ข้าจะให้ท่านพ่อได้เห็นนาง จากนั้นส่งนางเข้าวัง”

ไป๋ฉี่หยวนมองเด็กสาวที่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นไม่หยุดเหมือนผีเสื้อน่าสงสารที่ถูกฉีกสองปีก

เมื่อก่อนถูกขังอยู่ในลานบ้านเล็ก แม้จะมีคนเฝ้า แต่ดีเลวอย่างไรก็ได้เห็นโลกข้างนอก

ตอนนี้ถูกขังอยู่ในห้องลับ

ไม่เห็นและไม่ได้ยิน

กลายเป็นของชิ้นหนึ่งไปโดยสมบูรณ์

ไป๋ฉี่หยวนเห็นใบหน้านั้นของสวีชิงเยี่ยน เขากัดฟันอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป

เพียงเพราะนางเกิดมางดงามเกินไปหรือ

ไป๋ฉี่หยวนที่ยังไม่สิ้นความดีไปทั้งหมดเป็นสุนัขรับใช้องค์ชายสาม สาบานว่าต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็จะไม่ปฏิเสธ ตอนนี้เขาแค่รู้สึกว่าเด็กสาวไม่ควรถูกปฏิบัติเช่นนี้

“อย่ามาเล่นลูกไม้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเหมือนกับเหยียนโซ่ว”

เสียงหลี่ไป๋หลินดังแว่วมา ไป๋ฉี่หยวนพลันได้สติกลับมา

เมืองหลวง บ้านใหญ่แต่ชีวิตไม่ง่าย

เขาอยากจะตบหน้าให้กับความสับสนของตัวเอง ได้ทำงานให้องค์ชายสามนั่นเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว ในเมืองนี้ไม่มีสิ่งสกปรกโสมมใดๆ ไม่ต้องถึงกับให้ตนมาเป็นผู้ผดุงความถูกต้องหรอกกระมัง

ไป๋ฉี่หยวนพูดเสียงเบา ขานรับด้วยเสียงที่เบามาก

“ขอรับ”

องค์ชายสามพักอยู่สักครู่ จนเด็กสาวบนพื้นไม่ร้องไห้อีก ในที่สุดก็ใจเย็นลง ยืนขึ้นจะออกไป

เด็กสาวที่ขดตัวอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้น ในดวงตายังมีความหวังเสี้ยวหนึ่ง

สวีชิงเยี่ยนถามเสียงแหบแห้ง “หนิงอี้…หนิงอี้ล่ะ”

หลี่ไป๋หลินไม่หันกลับมา

เขานึกถึงคำสัญญาของตนกับคนคนนั้น รวมถึงเด็กหนุ่มนั่นที่ถูกกดดันให้เข้าไปในตรอกเล็ก

หลี่ไป๋หลินยิ้มเยาะ

“ตายแล้ว”

เมื่อสิ้นเสียง

ศีรษะนางกระแทกกับพื้นเบาๆ นางหัวเราะอย่างไร้เสียง หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด กระแอมไออย่างรุนแรง

ประกายแสงในดวงตาดับลงทั้งหมด

หมดอาลัยตายอยาก

สภาพเช่นนี้ทำให้ไป๋ฉี่หยวนปวดหัวใจเช่นกัน

……

พื้นดินสั่นไหว

หนิงอี้หันกลับมาเห็นอีกด้านของตรอกเล็กมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่เหมือนผนังเหล็กกำแพงทองแดง ขวางตรอกเล็กไว้ไม่มีทางรอดออกไปได้

ตรอกแห่งนี้ถูกคนวางค่ายกลไว้ มีความคล้ายกับหลังภูเขา…แสงดาราถูกปิดตาย

เดิมทีก็มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่ห้า ตอนนี้แม้แต่แสงดารายังใช้ไม่ได้

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก

เขาหรี่ตาลง มองเงาที่ขวางทางออกตรอกเล็กนั้นพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “แค่เจ้าคนเดียวรึ จะดูถูกข้าไปหน่อยหรือไม่”

เงานั้นเอ่ยนิ่งๆ “เจ้าต้องการอีกกี่คน”

หนิงอี้ปักกระบี่ พูดราบเรียบ “เอามาอีกสองคนได้หรือไม่”

วินาทีต่อมา ผนังตรอกเล็กพังทลาย ค้อนหนักสองอันเหวี่ยงฟาดผนังแตก

ทันทีที่ทำลายผนังเข้ามา…

หนิงอี้หงายไปข้างหลังโดยไม่มีสัญญาณใดๆ คลื่นลมรุนแรงคละปนกันระเบิดตรงหน้าเขา ค้อนหนักสองอันชนกัน พื้นดินดำทั้งตรอกเล็กพลันแตกเป็นใยแมงมุมมากมาย เหมือนทางเดินเปราะบางเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว

เด็กหนุ่มชุดคลุมดำหงายตัวถอยไปข้างหลังเหมือนลูกธนูเร็ว ความเร็วฝีเท้าเร็วกว่าใยแมงมุมแตกร้าวสามส่วน ทั้งตัวนอกจากปลายเท้าแล้ว ส่วนอื่นไม่ขยับเลย ดูสบายมาก

แต่ความจริงหนิงอี้ไม่มีทางให้ถอยแล้ว เขายื่นมือข้างหนึ่งมาบังไว้ตรงหน้า ชนประตูไม้แตก เข้าไปในบ้าน

เมื่อลงถึงพื้น หนิงอี้หรี่ม่านตาลงเล็กน้อย

บนพื้นบ้านวางค่ายกลสังหารไม่ใหญ่ไม่เล็กไว้ ปราณกระบี่ขึ้นๆ ลงๆ รอแค่ตนเหยียบไปเท่านั้น!

เกิดเสียงดังสนั่น ตาข่ายฟ้าดินพลันหุบเข้ามา

หนิงอี้นำยันต์ออกมาจากอกเสื้อ ก่อนหน้านี้เด็กสาวให้ยันต์ป้องกันกับตนไว้ ถึงตอนนี้ จึงใช้อย่างไม่ลังเลเลย…

หนิงอี้บีบยันต์แตก ค่ายกลที่ซ่อนในนั้นถูกปลุกขึ้น แสงดาราของกระบี่ซ่อนระเบิดออกทันที

เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั้งลานบ้าน

หลังจากหนิงอี้ลงถึงพื้น ใยแมงมุมปราณกระบี่ที่หุบเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นถูกกระบี่ซ่อนพุ่งชน ชั่วครู่เดียวก็สลายหายไป

ภายในลานบ้านถล่มทลายลง

หนิงอี้เบิกตาโตมองภาพนี้ เดิมทีเขาคิดว่าค่ายกลขนาดเล็กที่เด็กสาวบอกว่าเอาไว้ป้องกันตัวจะแค่พูดไปอย่างนั้น กันค่ายกลสังหารขององค์ชายสามได้สักครู่ก็พอจะให้ตนสำแดงวิชากระบี่พินิจเหมันต์แล้ว

ทว่าค่ายกลสังหารนี้ เกรงว่าคงจะมีระดับสูงกว่าขององค์ชายสามอีก!

น่าเสียดายว่ายันต์นี้ใช้ได้ครั้งเดียว หนิงอี้เก็บยันต์เข้าไปในอกเสื้ออย่างเสียดาย ใจนึกตนเจอปัญหาเล็กแต่เล่นใหญ่ ถ้ารู้ว่าค่ายกลสังหารของเด็กสาวแกร่งขนาดนี้แต่แรก ตนจะต้องเก็บไว้ใช้ตอนหลังสุดแน่

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นกลางฝุ่นควัน

ประตูไม้แตกถูกร่างเงาผนังเหล็กกำแพงทองแดงพังเข้ามา คนยักษ์กำยำเหมือนภูเขาเล็กทะยานเข้ามา

ทุกฝีก้าวกระชั้นชิด จะกดดันตนเข้าไปในบ้าน วางแผนการไว้อย่างดีแล้ว

พื้นดินสั่นสะเทือน กายและจิตของคนยักษ์นั่นแกร่งมาก

จะฆ่าตนทั้งเป็นภายใต้แสงดาราที่ถูกจำกัดหรือ

หนิงอี้เก็บพินิจเหมันต์อย่างเฉยเมย ยิ้มเยาะทีหนึ่ง เงายักษ์นั่นมาอยู่ตรงหน้าตนแล้ว ชกหมัดเข้ามา เสียงทำลายปราการเสียง ฟังดูมีกลิ่นอายของระเบิดเล็กน้อย

หนิงอี้ชกหมัดออกไปเช่นกัน

อิทธิฤทธิ์ยักษ์ดาราพลันลอยขึ้นมา กำปั้นยักษ์ที่มีพลังเลือดลมไหลหลากพุ่งขึ้นจากพื้นดิน ชนกับหมัดของยักษ์ตนนั้นอย่างจัง!

‘บึ้ม…’

หมัดนี้มากพอจะบดผู้บำเพ็ญของเขตกลางคนหนึ่งเป็นเศษเนื้อได้

ในแววตายักษ์มีการเหยียดหยามก่อน จากนั้นเป็นตกใจ สุดท้ายเป็นหวาดกลัว…

สองคนที่มีรูปร่างต่างกันอย่างสิ้นเชิงปะทะกัน เหมือนมดเขย่าต้นไม้[1]

ฝ่ามือตนกลับเหมือนกระดาษ

หนิงอี้ชกหมัดทะลวงกำปั้นยักษ์นี้ อิทธิฤทธิ์ยักษ์ดาราสำแดงเดช ดวงตาสีฟ้าสดยักษ์คู่หนึ่งเผยออกมาในบ้าน สั่นสะเทือนถึงส่วนลึกจิตวิญญาณของยักษ์

หมัดนี้แกร่งกว่าตอนทุบตีก่วนชิงผิงที่ถนนนิมิตชาดมาก

กายและจิตของหนิงอี้ หลังจากกินสมบัติฟ้าดินไปมหาศาลก็แข็งแกร่งและทนทานมาก จากนั้นฝึกยักษ์ดารา ต่อให้เป็นท่านพันกรในขอบเขตที่ห้าก็ไม่อาจเทียบกับหนิงอี้ได้

เพราะ…ที่ราบกระดูก!

แกนกระบี่นั้นที่ซ่อนในพินิจเหมันต์เป็นสิ่งที่แข็งแกร่งทนทานที่สุดในโลก และยังซ่อนในกายหนิงอี้เช่นกัน

นี่ก็เป็นสาเหตุว่าเหตุใดเขาถึงทะลวงพลังยากยิ่ง

การใช้ที่ราบกระดูกขาวกินทรัพยากร ทะลวงพลังไปช้าๆ จะเป็นการหล่อหลอมกายและจิตไปโดยไม่รู้ตัว

กายและจิตของหนิงอี้ คือขีดจำกัดที่ขอบเขตแสงดาราตอนนี้จะไปถึงได้แล้ว

หมัดเดียวทะลวงฝ่ามืออีกฝ่าย หนิงอี้ยกสองมือขึ้นด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ จับแขนที่เหมือนต้นไม้แก่เท่าคนโอบนั่นไว้แน่น ก่อนจะควงเงานั่นฟาดลงกับพื้นอย่างแรง

ฝุ่นดินหมุนตลบขึ้น หนิงอี้เล็งศีรษะนั้นและกระทืบเท้าอย่างแรง ทั้งตัวลอยขึ้นเหมือนภูเขาเล็ก กระแทกกับกำแพง ท่ามกลางฝุ่นดิน สิ่งที่เผยออกมาเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ถูกเหยียบหน้ายุบลงไป กายและจิตแข็งแกร่ง ไม่รู้ฝึกวิชาอะไรถึงสูงใหญ่มาก

ทว่าตอนนี้ไม่เหลือหน้าตา เลือดอาบไปทั้งตัว สิ้นชีพไปแล้ว

หนิงอี้ที่ยืนในลานบ้านได้ยินเสียงวิ่งที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทางตรอกเล็ก

“หลี่ไป๋หลิน…เจ้าเหมือนจะคำนวณพลาดไปเรื่องหนึ่ง”

หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อน

เดิมทีนี่เป็นฉากสังหารตนแน่นอน

เดิมเขานึกว่านี่เป็นการพุ่งเป้ามาที่ตนเอง แล้วฆ่าให้ดับสิ้น

เริ่มมาก็เหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ตอนนี้ได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เขายกพินิจเหมันต์ขึ้น หันไปทางนอกประตูลานบ้านเล็ก

ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นร่างเงาควงค้อนสองคนนั่นกำลังมา ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ความคิดดี ผนึกแสงดารา ใช้กายและจิตทุบตนให้ตาย ไม่เผยร่องรอย ยากจะแยกแยะได้

แต่ว่า…หลี่ไป๋หลินประเมินตนต่ำไป

หนิงอี้พูดงึมงำ “ขอบเขตกลางของข้าไม่เหมือนขอบเขตกลางของเจ้า”

ภายในน้ำวนตันเถียน ความเป็นเทพหลุดออกมาช้าๆ ครั้งนี้หนิงอี้ไม่ได้ทำเหมือนที่ถนนนิมิตชาด แต่แยกออกมาส่วนน้อยมาก ไม่ส่งผลกับร่างกายเขา

พินิจเหมันต์หนักขึ้นเล็กน้อย

หนิงอี้กำด้ามกระบี่แน่น

ผ้าดำหลุดออก…

ปราณกระบี่ตัดสลับไปมา

ทั้งตรอกเล็กพลันว่างเปล่า

หนิงอี้มองเลือดเนื้อที่ถูกปราณกระบี่ทำลายแหลกเป็นเสี่ยงๆ กระจายใส่สองข้างกำแพงหินตรอกเล็ก ก่อนจะเก็บกระบี่ยืนตรงช้าๆ

ไม่ต้องใช้ค่ายกลผนึกแสงดาราเลย แค่ส่งผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังมาสองคน ก็แกร่งกว่าผู้ฝึกกายที่ ‘สอนหนังสือสังฆราช’ สามคนนี้มากแล้ว

หนิงอี้พ่นลมหายใจ

ระบายลมหายใจ

ช่วงที่เขาผ่อนคลายที่สุดนั้น

แสงเย็นเยือกสายหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้นในเงามืดที่หนิงอี้ไม่เคยสังเกตเห็น

……………………..

[1] มดเขย่าต้นไม้ (蚍蜉撼树) หมายถึงคนที่มีความสามารถน้อยนิด แต่คิดทำการใหญ่ไปต่อกรกับสิ่งที่เหนือกว่า