ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 38 จดหมายสังหาร (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 38 จดหมายสังหาร (rewrite)

ในจวนเจ้าลัทธิ ช่วงพลบค่ำ มีแขกมาคนหนึ่ง

“แซ่ไป๋ นามไป๋ฉี่หยวน…”

โคมไฟแขวนแกว่งไกวตามสายลม

หนิงอี้กำลังตระหนักรู้วิชากระบี่ในลานบ้าน เด็กสาวยังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ

นักพรตชุดคลุมหยาบรวบรวมข้อมูลของคนนั้นนอกจวนอย่างจริงจัง

บุรุษที่ชื่อไป๋ฉี่หยวน เน้นย้ำหลายครั้งว่าตนเป็นเพียงหมอ ไม่ได้มีความคิดหยาบคายอะไร มาที่จวนเจ้าลัทธิแห่งนี้ก็เพื่อส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้หนิงอี้

หนิงอี้ให้นักพรตชุดคลุมหยาบปล่อยไป๋ฉี่หยวนนั่นเข้าจวน

เขาเก็บพินิจเหมันต์ ช่วงนี้ตระหนักรู้วิชากระบี่มาตลอด นึกถึงกระบี่นั้นที่สู้กันบนถนนนิมิตชาด ได้ประโยชน์มาบ้าง เพียงแต่ว่ายังขาดความชำนาญไปเล็กน้อย หรืออาจจะขาดแรงบันดาลใจบางอย่าง

หนิงอี้ใช้ผ้าดำห่อพินิจเหมันต์ บุรุษหนุ่มที่มีนามว่าไป๋ฉี่หยวนคนนั้นข้ามประตูจวนพอดี เดินเข้ามาในลานบ้าน

“คุณชายหนิง…ได้ยินร้อยครั้งไม่สู้พบกันครั้งเดียว”

รอยยิ้มของไป๋ฉี่หยวนมีพลังที่ทำให้คนรู้สึกร่วมกันได้มาก เขาเอ่ยเสียงเบา ขณะเดียวกันยังนำจดหมายฉบับหนึ่งออกมา “ข้ามามอบจดหมายให้ท่านแทนแม่นาง ‘สวี’”

ไป๋ฉี่หยวนเน้นคำว่าสวี

หนิงอี้รับจดหมายมาฉีกกระดาษซองที่ยังอุ่นๆ เปิดออกเบาๆ อักษรในนั้นคุ้นตา

หนิงอี้เคยเห็นสวีชิงเยี่ยนเขียนหนังสือในอารามรู้กรรม

ลายมือของเด็กสาวน่ามองมาก สะอาดเรียบร้อย มีความองอาจผึ่งผายส่วนหนึ่ง

เป็นลายมือของนางจริงๆ

เนื้อความในจดหมายง่ายมาก เป็นการคุยเรื่องในอดีตระหว่างสหายรวมถึงความคิดถึง

หนิงอี้อ่านอักษรคุ้นตา ยกยิ้มมุมปาก ไม่อยากเชื่อว่าแม่นางสวียังจำตนได้

สุดท้ายของจดหมาย สวีชิงเยี่ยนอยากพบหน้ากัน

หนิงอี้เก็บจดหมายนั้น มองไป๋ฉี่หยวน “เจ้าทำงานให้องค์ชายสามรึ”

ไป๋ฉี่หยวนอึ้งไป

เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนพูดเสียงเบา “ใช่”

หนิงอี้ขมวดคิ้ว ในจดหมายสวีชิงเยี่ยนไม่ได้เอ่ยว่าสุขภาพนางเป็นอย่างไร…นี่แปลกๆ

หนิงอี้ถาม “ช่วงนี้แม่นางสวีมีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง”

ไป๋ฉี่หยวนส่ายหน้า ตอบอย่างสัตย์จริง “สุขภาพแม่นางสวีไม่ดี ไม่ให้ความร่วมมือกับการรักษาของเรา บอกว่าจะต้องพบคุณชายหนิงให้ได้…องค์ชายหมดหนทาง ได้แต่ส่งข้ามาเชิญท่าน”

หนิงอี้เม้มริมฝีปาก

ความจริงตอนเขาฝึกบำเพ็ญทุกวัน…ก็จะนึกถึงสวีชิงเยี่ยน

เด็กสาวที่มีความเป็นเทพอัดแน่นภายในกายคนนั้น หากได้พบหน้าตนทุกวัน ที่ราบกระดูกของตนก็จะมีความเป็นเทพเติมเต็มมากพอ!

นี่เป็นคลังสมบัติ ปราณกระบี่ของตนต้องการเติมความเป็นเทพ และสวีชิงเยี่ยนคือคลังความเป็นเทพที่ได้แต่พบเจอด้วยความบังเอิญไม่อาจร้องขอได้

เพราะตนใช้พลังเกินขีดจำกัดครั้งเดียว ทำให้น้ำวนเหลือหยดความเป็นเทพหยดเดียว อาจจะเป็นเพราะพลังบำเพ็ญหนิงอี้ยังต่ำ ความเร็วในการกำเนิดความเป็นเทพจึงช้าลงเรื่อยๆ

ส่วนใหญ่จะเป็นหมอก

หมอกเกาะตัวถึงจะกลายเป็นหยดน้ำ

ความเป็นเทพในกายสวีชิงเยี่ยน ไม่รู้ตอนนี้มีเท่าไรแล้ว

หนิงอี้ชำเลืองตามองไป๋ฉี่หยวน หลังพับจดหมายนั้นก็วางลงบนโต๊ะ หยิบตำราโบราณบางมากดทับไว้

เขาเอ่ยราบเรียบ “บ้านอยู่ที่ใด วันหลังข้าจะไปเยี่ยมเยือน”

“ตรอกฝนพรำ…เลขที่สามลำดับเจ็ด” ไป๋ฉี่หยวนพูดเสียงเบามาก เอ่ยด้วยความจริงใจ “คุณชายหนิง หากวันนี้ว่างก็ไปเลยเถอะ แม่นางสวีมีนิสัยหัวดื้อ สุขภาพนางล่าช้าไปหนึ่งวัน จะต้องรับความเจ็บปวดมากขึ้นหนึ่งวัน พวกเราเป็นทุกข์มากจริงๆ”

หนิงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว

เขาไม่กังวลว่าในลานบ้านจะมีการซุ่มโจมตีใดหรือไม่

ใต้เท้าบุตรสวรรค์…ใครจะกล้าลงมือลงเท้า

องค์ชายสามก็ดี องค์ชายรองก็ดี คนพวกนี้กล้ากำเริบเสิบสานในเมืองหลวงหรือ

เพียงแต่เขารู้สึกลับๆ ว่าเจตจำนงกระบี่รูปแบบนั้นที่ตนตระหนัก เหลือเพียงความไม่เข้าใจจุดสุดท้าย ก็จะทะลวงไปได้

หนิงอี้เสียดายนิดๆ อาลัยอาวรณ์หน่อยๆ

แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องการบำเพ็ญฝืนกันไม่ได้ บางครั้งขาดเพียงเส้นเดียวก็อาจจะต้องเคี่ยวกรำอยู่นาน

เขาหยัดกายขึ้น พูด “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลย”

…….

สองคนออกจากจวนไปพร้อมกัน

ตะวันยามอัสดงจะลับก็ไม่ จะสิ้นสียามโพล้เพล้ก็ไม่ เงาทอดยาวไปถึงเส้นขอบฟ้า

ไป๋ฉี่หยวนมีสีหน้าเรียบนิ่งมาก

หนิงอี้เดินออกจากตรอกเล็ก ตามหลังกันไป ไป๋ฉี่หยวนนำทาง

สองคนพูดคุยกันสบายๆ เป็นการฆ่าเวลา

“เดิมทีข้าคิดว่าแม่นางสวีคิดถึงข้าจริงๆ ดูท่าคงไม่ใช่เช่นนั้น”

หนิงอี้เล่นพินิจเหมันต์ตรงเอว พูดอย่างไม่ใส่ใจ

ผ้าดำพันตัวกระบี่ ตรอกเล็กแคบมาก หนิงอี้เอาปลายกระบี่ที่พันด้วยผ้าดำทิ่มชั้นหิมะที่ยังไม่ละลายทั้งหมดบนพื้นตรอกตลอด

สองข้างตรอกเล็ก จะมีเสียงกึกๆ ดังมาจากซ้ายและขวาตลอด

ข้างหลังหนิงอี้อบอวลไปด้วยหมอกหนาว

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไป๋ฉี่หยวนพลันหยุดชะงัก พูดด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดคุณชายหนิงถึงกล่าวเช่นนี้”

หนิงอี้ถอนหายใจด้วยความเสียดายมาก “หากนางคิดถึงข้าจริงๆ ตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงก็คงจะมาหาข้าแล้ว ดูท่าชีวิตของแม่นางสวีคงจะดีใช้ได้เลย”

ไป๋ฉี่หยวนยิ้ม “คุณชายสวีชิงเค่อรักน้องสาวเพียงคนเดียวเหมือนสมบัติ ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ แม่นางสวีย่อมมีชีวิตที่ดี”

“จู่ๆ ข้าก็เสียใจที่ออกมากับเจ้า”

ไป๋ฉี่หยวนพลันหน้าแข็งค้าง “พะ เพราะเหตุใด…”

“เจ้าเชิญข้าออกมาเช่นนี้ จะเอาเกียรติของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานไปไว้ที่ใด เจ้าควรจะเชิญแล้วเชิญอีก แสดงความจริงใจหลายครั้ง แบบนี้ถึงจะแสดงให้เห็นว่าข้าต่างกับคนอื่น”

เวลานี้ไป๋ฉี่หยวนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรเลย

เขาพลันนึกถึงคำเล่าลือในตรอก คุยกันว่าอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่ชื่อหนิงอี้คนนี้ สืบทอดมรดกของสวีจั้งมาทั้งหมด เป็นยอดกระบี่มือดี และยังเป็นโจรมือดีเช่นกัน

“…”

“ช่างเถอะๆ แม่นางสวีอยากพบข้า ข้าจะไม่วางมาดหรอก”

เขาได้แต่พูดอย่างจริงใจ “องค์ชายมีพระเมตตา ต้องไม่ปฏิบัติกับท่านอย่างไม่เป็นธรรมแน่”

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น “อ้อ ไม่ปฏิบัติกับข้าอย่างไม่เป็นธรรมหรือ”

หนิงอี้แอบยิ้มเยาะในใจ ใจนึกบุรุษนามไป๋ฉี่หยวนคนนี้ เกรงว่าคงไม่รู้ว่าฝ่าบาทองค์ชายสามผู้มีเมตตาคนนั้น เกือบจะฆ่าตนที่อารามรู้กรรมแล้วกระมัง

เดินมาถึงในตรอกเล็กแห่งนี้ หนิงอี้ก็ระมัดระวังแล้ว

เขาใช้พินิจเหมันต์ทิ่มหิมะบนผนังซ้ายขวา ความจริงคือกำลังหยั่งเชิงตรอกเล็กแห่งนี้ว่ามีค่ายกลวางไว้หรือไม่…ความจริงพิสูจน์แล้ว สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินอุจจาระไม่ได้ ต่อให้เป็นใต้เท้าบุตรสวรรค์ก็ยังมีคนอยากลอง แตะต้องกฎต้องห้ามว่ามีรสชาติเป็นอย่างไร

ตรอกเล็กแห่งนี้วางค่ายกลกั้นเสียง ไม่ใช่แค่นั้น หนิงอี้ยังรู้สึกถึงกลิ่นอายแปลกๆ

หลายวันมานี้เด็กสาวให้ค่ายกลป้องกันขนาดเล็กกับตน และยังสอนความรู้ค่ายกลง่ายๆ พื้นที่คับแคบเช่นนี้ หากวางค่ายกลกั้นเสียง เกรงว่าก็คงเพื่อกันไม่ให้เกิดเสียงดัง

หนิงอี้พูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ เดินหน้าไปกับไป๋ฉี่หยวน

เขาอยากรู้นักว่าองค์ชายสามจะมาไม้ใด

ตรอกเล็กนี้ยาวอย่างเหนือความคาดหมาย ยิ่งเดินไปลึกมากเท่าไร แสงดาราก็ยิ่งบางลง…

นี่จะจำกัดศักยภาพของตนรึ

หนิงอี้หันไปมอง เห็นมีคนอุดทางเข้าตรอกเล็กไว้แล้ว นี่ไม่ได้เหนือความคาดคิดเลย

เขาพูดอย่างเกียจคร้าน “ต้องไปอีกไกลเท่าไร”

ไป๋ฉี่หยวนไม่หันกลับมา แต่พูดอย่างเฉยชา “ใกล้แล้ว ข้างหน้านี่”

ในที่สุดก็มาถึงสุดทางตรอกเล็ก

หนิงอี้มองลานบ้านนั้นนิ่งๆ

ประตูใหญ่เปิดออก ร่างเงาในนั้นนั่งอยู่ในเงามืด ต่อให้สวมเสื้อคลุมใหญ่ก็ยังเห็นรูปร่างผอมบาง ดวงตาสีทองสว่างไสวนั้นจ้องตน ไม่ปกปิดอำนาจคุกคามของตนเลย

หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งถือกระบี่ ปักลงพื้น

เขาคาดเดาบทสรุปนี้ไว้ได้นานแล้ว

คนที่อยากพบตนอาจจะเป็นสวีชิงเยี่ยนจริงๆ

แต่คนที่ตนพบ มีแต่ปัญหา

……

หลี่ไป๋หลินไม่ได้ลงมือ เขาเพียงแค่นั่งในจวน ‘บัลลังก์’ ใต้ร่างซ่อนในเงามืด มองหนิงอี้ที่ปักกระบี่อยู่ไม่ไกลนิ่งๆ

องค์ชายสามเอ่ยเสียงนุ่มนวล เหมือนสุราร้อนบริสุทธิ์ แต่กลับมีพิษถึงแก่ชีวิต

“หนิงอี้ ไม่ได้พบกันนานเลย”

หนิงอี้ยิ้ม “ไม่นานเท่าไร แค่ปีเดียวเท่านั้น จำนวนครั้งที่เจ้าพบข้าก็เหมือนกับที่เจ้าพบบิดาเจ้า ไม่รู้ว่าตอนที่เจ้าพบเขา จะพูดเช่นนี้หรือไม่”

ภายในลานบ้างเงียบสงัด

“ปากแข็ง ทั้งยังปากเสีย ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะยิ้มออกหรือไม่” เสียงหลี่ไป๋หลินมีกลิ่นอายสังหาร ก่อนเอ่ยอย่างเฉยชา “หนิงอี้ เจ้าคิดว่าเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงนภา เจ้าจะปิดบังข้าได้รึ”

“ข้ารู้พลังบำเพ็ญของเจ้า ตอนเจอกันครั้งก่อนก็อยู่เพียงขอบเขตที่สอง จะเร็วอย่างไรก็ไม่มีทางทะลวงขอบเขตหลัง”

หนิงอี้ใบหน้าเฉยชา หัวใจเต้นระรัว

ใช่ นี่เป็นปัญหาใหญ่มาก

คนที่เคยเห็นตนลงมือในอารามรู้กรรมและรู้พลังบำเพ็ญของตนถูกสวีจั้งฆ่าตายหมดแล้ว

แต่องค์ชายสามหลี่ไป๋หลินคนนี้เป็นข้อยกเว้น

หนิงอี้สูดลมหายใจเบาๆ แสร้งยิ้มไม่สนใจ “แม่นางสวีอยากพบข้า…จดหมายนั่นเป็นของจริง ตัวนางล่ะ”

องค์ชายสามที่นั่งในเงามืดในจวนเอ่ยนิ่งๆ “นกในกรง หากไม่ยินดีฟังคำสั่งเจ้านาย บางครั้งก็ต้องใช้วิธีการพิเศษกันบ้าง”

หนิงอี้ยิ้มเยาะ “พวกเจ้าคงรักษานางไม่ได้”

หลีไป๋หลินยิ้ม “ไม่…เราไม่ได้จะรักษานางอยู่แล้ว เจ้าควรจะเกลียดนางด้วยซ้ำ”

หลี่ไป๋หลินพึมพำเสียงเบา “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง เดิมทีนางต้องการอะไร ข้าก็จะให้นาง ข้ามีทุกอย่าง แต่นางดันอยากพบเจ้า”

องค์ชายสามชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “แต่ข้าไม่อยากพบเจ้า อยากลบเจ้าหายไปจากโลกนี้ใจจะขาด”

“นางเตือนข้า ว่ามีคนอย่างเจ้าอยู่” หลี่ไป๋หลินพูด “เจ้าลงมือเองเถอะ บทสรุปจะได้ดีขึ้นมาบ้าง”

“เจ้าเป็นอัจฉริยะจริงๆ”

หนิงอี้ยิ้ม “คนโง่ที่กำเนิดจากบุตรสวรรค์…องค์ชาย เจ้าเป็นบุตรชายแท้ๆ ของไท่จงจริงๆ รึ เจ้าสังหารข้าที่นี่ รู้ผลที่ตามมาหรือไม่”

ตอนที่เอ่ยคำพูดพวกนี้ มือหนิงอี้มีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาแล้ว

ถามตัวเองดู…จะเกิดผลที่ตามมาแบบใด

หากแบกศพของหนิงอี้ออกจากตรอกนี้ จะเกิดผลแบบใด

เจ้าลัทธิจะอย่างไร เขาสู่ซานจะอย่างไร…พวกเขาจะทำอย่างไรกับราชวงศ์ต้าสุย

หนิงอี้ไม่รู้ แต่เขารู้ว่าหากตนตาย ต่อให้ศิษย์พี่หญิงพันกรจะมีความสามารถมากกว่านี้ ต่อให้บรรพจารย์ลู่เซิ่งยังมีชีวิต ก็ช่วยตนไม่ได้

หลี่ไป๋หลินไม่โกรธ

เขามองอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตกลาง

“วางใจเถอะ เจ้าจะตายไปอย่างเงียบๆ ที่นี่ ข้าจะทำเรื่องนี้อย่างสวยงาม จะไม่มีใครรู้บุญคุณความแค้นของเรา และจะไม่มีใครหามือสังหารพบ”

เมื่อเอ่ยจบ ตัวเขาก็เริ่มลุกไหม้ก่อนจะหายไปช้าๆ

กลิ่นอายสังหารถาโถมมาทั้งตรอกเล็ก

ฟ้าดินพลิกกลับ

………………………