ตอนที่ 37 การขัดขืนของเด็กสาวในกรง(2) (rewrite)
มุมของเมืองหลวง
ลานบ้านเล็กแห่งหนึ่ง
นับจากวันนั้นที่เด็กสาวทำการขัดขืนครั้งแรก
พี่ชายที่ไม่เคยก้มหัวมาตลอดในชีวิตนาง ก้มหัวลงจริงๆ
สวีชิงเยี่ยนอยากเห็นโลกข้างนอก ดังนั้นข่าวกรองในเมืองหลวงจึงถูกส่งมาที่ลานบ้านนี้ทุกวัน น่าเสียดายสิ่งที่บันทึกไว้เป็นเรื่องจิปาถะ
เสี่ยวเจาที่ปรนนิบัติสวีชิงเยี่ยนในลานบ้าน ทุกวันจะเล่าข่าวในเอกสารพวกนั้นหลายรอบ
ในนั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องน่าเบื่อ กฎของเมืองหลวงเปลี่ยนไป เหล่าเขาศักดิ์สิทธิ์ส่งแขกคนใดมาบ้าง…ก่อนเริ่มงานเลี้ยงวันเกิด เขาศักดิ์สิทธิ์พวกนี้เตรียมตัวมาแล้ว เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ซ้ำอีกครั้ง จึงน่าเบื่อจริงๆ
สวีชิงเค่อไม่สนใจการเคลื่อนไหวของข่าวพวกนี้
เขาไม่ได้ปิดบังอะไร
ข่าวพวกนี้น่าเบื่อมาก…เพราะเวลาส่วนใหญ่ในเมืองหลวง ก็จะมีแต่อะไรที่น่าเบื่อเช่นนี้
ชีวิตน่าเบื่อผ่านไปทีละวัน
จนกระทั่งข่าวหนึ่งมาถึง
“อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานเข้าเมืองหลวง!”
นับจากวันนั้น ในดวงตาสวีชิงเยี่ยนมีบางอย่างเพิ่มมา
แม้นางจะไม่ได้พูดอะไร แต่เสี่ยวเจามองออกว่าในดวงตาสวีชิงเยี่ยนมีประกายเพิ่มมาเล็กน้อย เป็นสิ่งที่ต่างไปจากปกติ
เหมือนกับตะเกียงเหือดแห้งที่อยู่ในเงามืดมานานเกิดแสงสว่างขึ้นเสี้ยวหนึ่ง
ทว่าเด็กหนุ่มนามหนิงอี้คนนั้น ไม่ได้ก่อคลื่นลมรุนแรงขนาดนั้นในเมืองหลวง
“งานเลี้ยงวันเกิดฝ่าบาทไท่จง อาจารย์อาน้อยคนนั้นแบกรับคำด่าทอมากมาย กลับไม่รับคำท้าเลยสักคน”
“หนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว…เกรงว่าเขาคงจะเป็นคนขี้ขลาดจริงๆ ไม่มีใครมาท้าสู้กับเขาที่หน้าประตูจวนเจ้าลัทธิอีก นี่เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าชัดๆ”
ตอนที่ข่าวนี้มาถึงลานบ้านเล็ก เสี่ยวเจาที่เข้าใจหนิงอี้ผ่านกระดาษเหลืองปลงอนิจจังเล็กน้อย ใจนึกคนชื่อหนิงอี้คนนี้ไม่ใช่อัจฉริยะและแข็งแกร่งเท่าไร ตอนมาถึงเมืองหลวง บทความทั้งหมดเป็นเรื่องคุยโม้ อยู่หลังเขาสู่ซานกล้าล่วงเกินขุมอำนาจมากขนาดนั้น พอมาถึงเมืองหลวง กลับหลบซ่อนอย่างว่านอนสอนง่ายรึ
นางไม่เข้าใจหลักการมากมาย รู้แค่ว่าเจ้านายในอนาคตใต้ฟ้าแห่งนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นเจ้านายคนปัจจุบันของลานบ้านนี้
แต่สวีชิงเยี่ยนรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่อารามรู้กรรมเกิดอะไรขึ้น
หนิงอี้ที่ช่วยชีวิตตน กลับเป็นอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน!
หลี่ไป๋หลินจะชิงตำแหน่งนี้ แต่ถูกหนิงอี้แย่งไป ส่วนหนิงอี้รอดมาจนถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังมาถึงเมืองหลวง…
หนิงอี้เป็นกระบี่ซ่อนคม
เขามาเมืองหลวง ไม่มีทางอยู่ร่อนเร่เป็นคนธรรมดาแน่
สวีชิงเยี่ยนมีแค่ความคิดนี้
การใส่ร้ายทั้งหมด นางคิดว่าในภายภาคหน้าจะกลายเป็นการตบหน้าผู้ที่ใส่ร้ายอย่างแรง
จากนั้นไม่นาน…
ก็มีกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด
จากนั้นมีข่าวคุณชายครามพ่ายแพ้ที่จวนเขาคราม
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือใคร…แต่มีคนมากมายคาดเดาว่าเป็นฝีมือหนิงอี้
อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานมีชื่อเสียงขึ้นมาเช่นนี้ เห็นๆ ว่าออกแค่กระบี่เดียว กลับเหยียบหน้าคุณชายครามแห่งจวนขานฟ้า
สวีชิงเยี่ยนยิ้มมีความสุข เสี่ยวเจาเห็นคุณหนูของตนยิ้มเช่นนี้ เลยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
สวีชิงเยี่ยนชี้นามหนิงอี้บนกระดาษเหลืองพลางพูดอย่างจริงจังมาก “นั่น…จำนามของเขาไว้ เขาจะต้อง…”
ชะงักไป
ก่อนสวีชิงเยี่ยนจะเผยลักยิ้มบนแก้มสองข้าง “จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังมากแน่ๆ”
หญิงรับใช้เสี่ยวเจาถอนหายใจเบา ใจนึกคนชื่อหนิงอี้คนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากอยู่แล้ว
แสงตะวันนอกห้องกำลังดี
หิมะละลายแล้ว
มีคนเคาะประตูนอกบ้าน
“หืม…หมอไป๋มาแล้ว” เสี่ยวเจากะพริบตา ใจนึกว่าชีวิตน่าเบื่อเช่นนี้ ก็ยังมีความหวังเหล่านี้อยู่
หมอที่มาใหม่มีนามว่าไป๋ชี่หยวน เป็นหมอที่ไม่เลวคนหนึ่ง วิชาแพทย์ยอดเยี่ยม รอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูถึงไม่ชอบหมอท่านนั้น
เสี่ยวเจาปิดเปลือกตาลงเล็กน้อย ใจนึกหมอไป๋ดีกว่าหมอเหยียนมาก เรื่องสง่างามขอไม่เอ่ยถึง แต่ดีเลวอย่างไรเขาก็ไม่ลงมือลงเท้าแบบเหยียนโซ่ว ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ
แต่สวีชิงเยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น
อยู่ในเงามืดมานาน นางรู้หลักการง่ายมากอย่างหนึ่ง
เปลือกนอกดูดีอย่างไร ก็ยังเป็นหนัง
คนที่มาในลานบ้านนี้และรักษาสุขภาพให้ตนได้ จะเป็นคนดีได้อย่างไร
มีใครบ้างที่มาทำงานที่นี่ไม่ใช่เพราะเงินทองขององค์ชายสาม
ยิ่งเปลือกนอกดูสวยงามเท่าไร ภายในก็ยิ่งเน่าเฟะเท่านั้น
เสี่ยวเจาเปิดประตู บุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมเนื้อหยาบสีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา ยากจะจินตนาการได้ว่าอายุน้อยแค่นี้ กลับได้รับความชื่นชอบจากองค์ชายสามและสวีชิงเค่อ
ใบหน้าของไป๋ฉี่หยวนดูมีความอ่อนโยนสามส่วน หากอยู่ในเมืองหลวง จะเป็นพวกที่เป็นที่ชื่นชอบของคนต่างเพศ สุภาพเรียบร้อย การพูดมีความสง่า ทำให้คนรู้สึกสบาย
หลังจากเข้าประตูมา เสี่ยวเจาก็ช่วยไป๋ฉี่หยวนรับกล่องไม้สีขาวเล็กและหนักนั้น ใช้สองมือประคอง เดินโซเซ
สีขาวคือสีบริสุทธิ์ ข้อปฏิบัติของสำนักเต๋าคือแสงสว่าง การใช้สีทั้งหมดล้วนเป็นสีขาว
ในนามหมอคนนี้มีคำว่าขาวอยู่ สวมชุดสีขาวทั้งตัว แม้แต่กล่องไม้ที่ใช้รักษาคนไข้ยังทาด้วยสีขาวเล็กๆ
ขาวบริสุทธิ์ จริงใจ
ก็เหมือนรูปลักษณ์กับเสียงของเขา
ดูดี น่าฟัง
ยากมากที่เสี่ยวเจาจะไม่ชอบหมอไป๋คนนี้
“ช่วงนี้แม่นางสวีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง”
ไป๋ฉี่หยวนมาถึงลานบ้านนี้ เขารักษาระยะห่างไว้สามฉื่อ เงามืดใต้ชายคาแยกสองคนออก
สวีชิงเยี่ยนนั่งในเงามืด ใบหน้าที่ซ่อนใต้ผ้าคลุมหน้าส่ายหน้าช้าๆ
เสี่ยวเจาช่วยคุณหนูตอบ “หมอไป๋…ช่วงนี้คุณหนูสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว”
ไป๋ฉี่หยวนไม่โกรธ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ทานยาที่ให้คุณหนูไปเมื่อวานแล้วหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนก็ยังส่ายหน้า
เสี่ยวเจาช่วยตอบด้วยความร้อนใจอีกครั้ง “หมอไป๋…คุณหนูไม่ชอบยาขม แต่ก็จิบทานไปคำหนึ่ง”
สวีชิงเยี่ยนเพียงแค่เงียบ
เสี่ยวเจาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูถึงไม่ชอบหมอไป๋คนนี้ นางรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบของสวีชิงเยี่ยน แต่ชะงักไปครู่หนึ่งก็ยังพูดเสียงต่ำ “ยาเมื่อวาน…คุณหนูจิบไปคำหนึ่ง จากนั้นก็บ้วนทิ้ง”
ไป๋ฉี่หยวนมองผ้าคลุมหน้านั้นในเงามืดพลางถามเสียงนุ่มนวล “แม่นางสวีกังวลว่ายาพวกนั้นเป็นของอันตรายรึ”
“ยาเมื่อวาน ไว้รับมือกับอากาศหนาวจัด ใช้บำรุงร่างกาย กินไปไม่มีผลเสีย” ไป๋ฉี่หยวนพกกาน้ำเล็กมาอันหนึ่ง เขานำกระดาษเหลืองปึกเล็กออกมา ในนั้นเป็นผงยาที่ให้สวีชิงเยี่ยนเมื่อวาน เทน้ำในกาเล็กน้อย เขย่าๆ แล้วดื่มไปอึกหนึ่ง
ไป๋ฉี่หยวนพูดด้วยความจริงใจ “แม่นางสวีดื่มได้อย่างสบายใจเลย แซ่ไป๋มิกล้าคิดการอื่น”
สวีชิงเยี่ยนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
ไป๋ฉี่หยวนเงียบไปชั่วครู่ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ฝ่าบาทองค์ชายสามเห็นว่าช่วงนี้แม่นางสวีรู้สึกเบื่อ จึงไหว้วานให้ข้ามามอบขวัญให้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าดูว่าชอบอันใด”
เขานั่งย่อตัวลง เปิดกล่องยาไม้ขาวนั้น
เสี่ยวเจาเบิกตาโต ใจนึกมิน่าถึงหนักขนาดนี้…หลังเปิดออก ข้างในก็เต็มไปด้วยอัญมณีหายากกองกันเต็มไปหมด
ไข่มุกเปล่งแสง ปิ่นปักผมทอง สร้อยข้อมือปะการังม่วง…ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับที่นางไม่รู้จัก แต่นางรู้ว่าของทุกชิ้นที่นำออกมา เกรงว่าคงมีมูลค่าเท่ากับลานบ้านเล็กแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
ไข่มุกเปล่งแสงที่มีค่าเท่าเมืองอยู่ในกล่องไม้นี้ เหมือนหินที่ไม่มีประโยชน์ กองกันอยู่ตรงมุม
สวีชิงเยี่ยนไม่มองเลย
นางส่ายหน้าอีกครั้ง
ไป๋ฉี่หยวนต่างจากเหยียนโซ่ว กระทั่งเขาไม่เลี่ยงการเอ่ยถึงนามขององค์ชายสามต่อหน้าตน…นี่เป็นคนสนิทของหลี่ไป๋หลิน อย่างน้อยก็ได้รับความไว้วางใจจากองค์ชายสาม เขาจะใช้ตน ใช้โอกาสครั้งนี้มาปีนกิ่งไม้สูง ได้อะไรที่มากกว่าในเมืองหลวง
อย่างเช่นอำนาจ
และอย่างเช่นตำแหน่ง
ไป๋ฉี่หยวนถอนหายใจเบา ปิดกล่องไม้สีขาวลงอีกครั้ง
น้ำเสียงเขาจริงจึงขึ้นมา เอ่ยถาม “แม่นางสวีระวังข้ามาตลอด คิดว่าข้าทำตรงไหนไม่ดีหรือ”
ครั้งนี้เงียบในเงามืดอยู่นานมาก
สุดท้ายสวีชิงเยี่ยนก็ส่ายหน้า
นางเอ่ยขึ้น พูดแล้ว
“เจ้าไม่มีตรงไหนไม่ดี…เอาใจใส่ผู้อื่น ดูแลอย่างดี สิ่งที่ควร สิ่งที่ทำได้ เจ้าทำได้ดี”
สวีชิงเยี่ยนเอ่ย “แต่เจ้าแค่ต้องทำเรื่องเดียว คือรักษาโรคของข้า”
ไป๋ฉี่หยวนหรี่ตาลง
เด็กสาวในเงามืดลุกขึ้น นางเอ่ยนิ่งๆ “จากนี้เจ้าอย่ามาอีก ข้าจะไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าไม่ต่างอะไรกับเหยียนโซ่ว ปล่อยให้เจ้ารักษา…โรคของข้าจะมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ”
ที่สวีชิงเยี่ยนพูดแบบนี้
เป็นเพราะนางรู้ว่าไป๋ฉี่หยวนเป็นหนึ่งในคนสนิทของหลี่ไป๋หลิน มารักษาให้ตนที่นี่ หากตนไม่ให้ความร่วมมือ เขาจะไม่ตายเพราะเรื่องนี้
นางไม่ให้ความร่วมมือมาสามวันแล้ว
นี่เป็นการขัดขืนครั้งสุดท้ายของนาง
หากรอดไปไม่ได้ ไฉนต้องกลัวความตาย
ไป๋ฉี่หยวนคลึงระหว่างคิ้ว เขาครุ่นคิดเงียบๆ อยู่นานมาก ก่อนถามคำถามสุดท้าย
“แม่นางสวี เจ้าต้องการอะไร”
เขามาครั้งนี้นำมหากรุณาขององค์ชายสามมาด้วย คนใหญ่คนโตเบื้องหลังรู้ถึงการขัดขืนของนกในกรงตัวนี้อีกครั้ง…แต่ยังไม่ถึงเวลา หากไม่กดความเป็นเทพ เช่นนั้นสถานการณ์ของสวีชิงเยี่ยนจะเลวร้ายอย่างยิ่งทุกวัน
ไม่มีใครรู้ว่าระเบิดความเป็นเทพจะระเบิดเมื่อไร
หากระเบิด จะไม่มีใครรับผลที่ตามมาไหว
ดังนั้นไป๋ฉี่หยวนจึงเอ่ยคำถามนั้น
ก่อนเขาจะมาก็ได้รับการกำชับมาจากเบื้องบน
ถามเด็กสาวให้แน่ชัดว่าต้องการอะไรกันแน่
คำพูดนี้ที่มาจากปากของไป๋ฉี่หยวนเป็นคำพูดของหลี่ไป๋หลิน และเป็นคำพูดของสวีชิงเค่อ
เจ้าต้องการอะไร
ภายในลานบ้านเงียบอยู่ชั่วครู่
“หนิงอี้”
เด็กสาวเอ่ยสองคำ
ไป๋ฉี่หยวนเคยได้ยินนามนี้ ออกกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด คลื่นลมสี่สำนักศึกษาเมืองหลวงเกิดขึ้นเพราะเขา
เด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “มีเพียงหนิงอี้ที่รักษาโรคของข้าได้ ข้าอยากพบเขา”
……………………….