WS บทที่ 159 สร้างสําเร็จ
ในเมืองเดอตัส เมอร์ลินสั่งให้ชาบิลป้องกันไม่ให้ใครมารบกวนเขา
เมอร์ลินเริ่มต้นในขั้นตอนสุดท้ายในการสร้างคาถาระดับหนึ่งของเขา
โดยคาถาที่เขากําลังจะสร้างก็คือรูปปั้นผู้พิทักษ์ซึ่งถูกสร้างใหม่โดยเดอะเมทริกซ์ซึ่งมันมีความซับซ้อนพอ ๆ เพลิงพิโรธในตอนนั้น
ก่อนหน้านี้ พลังจิตของเมอร์ลินยังไม่ถึงระดับสองและคาถาระดับศูนย์ทั้งหก มันได้ใช้พลังจิตไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นทําให้การสร้างเพลิงพิโรธในตอนนั้นถึงล้มเหลว
ถ้าเขามีเพียงสี่คาถา เขาอาจจะสร้างคาถาระดับหนึ่งได้สําเร็จ อย่างไรก็ตามมันก็มีข้อดีและข้อเสีย
ถ้าเขาสามารถเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นมากแต่สําหรับนักเวทย์หกธาตุ แม้ว่ามันจะมีข้อเสียอยู่บ้างแต่มันก็แลกมาด้วยศักยภาพที่ทรงพลังที่เหนือกว่านักเวทย์ธรรมดาอย่างเทียบไม่ติด
สําหรับระยะเวลาการจําลองคาถา คาถาระดับศูนย์ใช้เวลาเพียงสองหรือสามชั่วโมงเท่านั้นเนื่องจากโครงสร้างของมันไม่ซับซ้อนมาก
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่กับเพลิงพิโรธกับรูปปั้นผู้พิทักษ์ ด้วยความซับซ้อนของมันทําให้เขาเริ่มต้นจําลองทีละส่วนอย่างช้า ๆ
เวลาได้ผ่านพ้นไปรูปร่างโมเดลสามมิติของโครงสร้างเวทมนต์คาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ได้ปรากฏบนจิตใต้สํานึกของเขา
หากเมอร์ลินไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเดอะเมทริกซ์ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างโครงสร้างเวทมนต์ที่ซับซ้อนขนาดนี้ขึ้นมาได้ เมอร์ลินรู้ตัวดีว่าหากเขาไม่มีเดอะเมทริกซ์ เขาก็คงไม่มีทางเป็นนักเวทย์ได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังจิตหรือการสร้างโครงสร้างเวทมนต์ เขาพึ่งพามันเสมอมา เขาต้องขอบคุณมันจริง ๆ ที่ทําให้เขากลายเป็นนักเวทย์หกธาตุที่แข็งแกร่งในตอนนี้
เวลาได้ผ่านพ้นไป หนึ่งชั่วโมง สามชั่วโมง ห้าชั่วโมง สิบชั่วโมง
วันเวลาได้ผ่านพ้นไป เมอร์ลินยังคงจําลองคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ ตอนนี้มันได้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
ในตอนคาถาเพลิงพิโรธ เขาได้มาถึงเพียงแค่ตรงนี้แต่ด้วยพลังจิตที่ไม่เพียงพอ เขาจึงล้มเลิกไปแต่ในครั้งนี้ เขามีพลังจิตถึงขั้นสองแล้ว ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาจึงไม่รู้สึกเหนื่อยแม้ว่าเขาจะทําการจําลองคาถาต่อเนื่องเป็นเวลาสองหรือสามวัน
*บูม*
ทันใดนั้น เมอร์ลินได้ตัวสั่น การจําลองคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ผ่านไปด้วยดี ทันใดนั้นพายุพลังธาตุดินได้โหมกระหน่ําเข้ามาในตัวเขาอย่างไร้จุดสิ้นสุด
หากสร้างโครงสร้างเวทมนต์สําเร็จแล้ว มันจะดูดพลังธาตุเข้าไปเพื่อสะสมพลังเวทย์อัตโนมัติ ถ้าต้องการเพิ่มพลังเวทย์อย่างเร่งด่วนสามารถใช้หินธาตุอันล้ําค่าได้
เมอร์ลินลืมตาขึ้นมาและเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ในที่สุด ฉันก็ทําสําเร็จ ฉันสร้างคาถาระดับหนึ่งได้แล้ว!”
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงคาถาระดับหนึ่งอันแรกของเมอร์ลินแต่มันก็เป็นก้าวแรกที่สําคัญของเขา คาถาระดับหนึ่งนั้นแตกต่างจากคาถาระดับศูนย์โดยสิ้นเชิง หากบอกว่ามันแตกต่างราวกับฟ้ากับเหว มันก็ไม่ได้เป็นการเกินกล่าวจริงนัก
เมอร์ลินได้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเวทมนต์คาถารูปปั้นผู้พิทักษ์อย่างใกล้ชิด
ในไม่ช้า เขาก็สังเหตเห็นความไม่สมดุลระหว่างโครงสร้างเวทมนต์ทั้งหมดของเขา สาเหตุมาจากการสร้างโครงสร้างเวทมนต์คาถาระดับหนึ่ง รูปปั้นผู้พิทักษ์
เขาหวังว่าอาการแบบนี้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว หากเกิดความไม่สมดุลในระยะยาวอาจก่อผลเสียร้ายแรง ทําให้คาถาที่มีอยู่ดั้งเดิมแตกสลายได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมถึงมีนักเวทย์หลายคนนําให้เมอร์ลินจําลองคาถาทันที่ที่ เขาทําการสร้างคาถาสําเร็จ
เมอร์ลินได้ตรวจสอบโครงสร้างเวทมนต์ของคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์และพบว่ามันก็มีขอบสีเทาแบบที่คาถาอื่น ๆ ที่เขามี นี่แสดงว่ามันสามารถร่ายแบบเสริมพลังหลังจากที่ถูกร่ายสามครั้งได้
ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าเอฟเฟ็คนี้จะหายไป อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รู้ผลลัพธ์เช่นนี้ เขาก็รู้สึกโล่งอก
หลังจากนั้นเขาได้เร่งสะสมพลังเวทย์ในโครงสร้างเวทมนต์ด้วยหินธาตุธาตุดิน
ผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดเมอร์ลินก็ออกจากห้องของเขา แม้ภายนอกเขาดูไม่ต่างเมื่อก่อนแต่ภายในเขาได้สร้างคาถาระดับหนึ่งที่เป็นก้าวแรกที่ไปนําสู่นักเวย์ระดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
“พ่อมดเมอร์ลิน ในที่สุดท่านก็ออกมาจากห้องของท่านแล้ว”
ชาบิลที่เฝ้ารอนอกห้องของเมอร์ลินทุกวัน เมื่อเขาพบว่าเมอร์ลินออกมาจากห้องเขาก็เข้ามาหาเมอร์ลินทันที
“หืม คุณชาบิล มีอะไรรึเปล่า?”
ก่อนหน้านี้เมอร์ลินได้สะสมพลังเวทย์สําหรับคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ด้วยหินธาตุในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้เขาสามารถร่ายคาถาได้มากกว่าสามสิบครั้ง
ด้วยจํานวนเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสําหรับการต่อสู้ธรรมดา เมอร์ลินจึงหยุดสะสมพลังเวทย์และให้มันสะสมต่อโดยธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะมีหินธาตุที่มากพอแต่เขาไม่คิดที่จะใช้มันโดยเปล่าประโยชน์
ส่วนโครงสร้างเวทมนต์ที่สะสมพลังเวทมาอย่างยาวนานอย่างลูกไฟกับแช่แข็ง ตอนนี้พลังเวทย์ได้สะสมมาถึงขีดสุดแล้วโดยที่เขาสามารถร่ายออกมาได้ถึง 90ครั้งในครั้งเดียว
โครงสร้างเวทมนต์แต่ละอันมีความจุสูงสุดไม่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะสามารถร่ายคาถาออกมาได้ไม่ถึงร้อยครั้งแต่ตัวเลขนี้ค่อนข้างน่ากลัว โดยคาถาระดับศูนย์ทั่วไปมันมีความจุได้เพียง 30ครั้ง หรือบางอันก็ทําได้ถึง 40 50 ครั้ง
การที่ร่ายเวทย์ออกมาได้มากกว่าร้อยครั้งนั้น ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเดอะเมทริกซ์ที่ทําให้เขาได้โครงสร้างเวทมน์ที่ยอดเยี่ยมมาก หากคํานวณด้วยตัวเอง เขาไม่มีทางได้โครงสร้างที่มีประสิทธิภาพได้ขนาดนี้อย่างแน่อน
ชาบิลคงไม่รู้ว่าเมอร์ลินคิดอะไรอยู่ เขาชําเลืองมองอย่างระมัดระวังและพูดออกมาว่า “คือว่า…ท่านบารอน แห่งเมืองเดอตัส ท่านได้ยินว่าพ่อมดเมอร์ลินอยู่ที่นี่ดังนั้นเขาจึงต้องการจะพบท่านเมอร์ลิน ถ้าท่านไม่รัง…”
ก่อนที่ชาบิลจะพูดจบประโยค สีหน้าของเมอร์ลินมืดลงทันที เขาตวัดสายตาและพูดอย่างเย็นชาทันทีว่า “คุณทําข้อมูลของฉันรั่วไหลงั้นหรือ?”
ชาบิลรู้สึกเสียวสันหลังทันทีและพยายามระงับความกลัวในมจของเขา ในขณะที่เขาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ไม่ ไม่ พ่อมดเมอร์ลิน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเรื่องของท่าน เนื่องจากกองกําลังป้องกันเมืองเดอตัสได้พบศพของโจรจํานวนมากในป่าเมเปิ้ล หลังจากที่พวกเขาทําการสืบสวน พวกเขาได้ทราบเรื่อง ท่านเมอร์ลินโปรดให้อภัยให้ข้าด้วย”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว ชาบิลเป็นเพียงพ่อค้า ดังนั้นชาบิลต้องการพึ่งพาตัวตนของเมอร์ลินฐานะนักเวทย์เพื่อปกป้องตัวเอง
เมอร์ลินไม่สนใจเรื่องนั้น เขาไม่อย่างหาเรื่องยุ่งยากมาเข้าตัว
“ฉันจะไม่ไปพบเขา ฉันจะออกจากเดอซัสเร็ว ๆ นี้ และก็เรียกเอ็มม่ามาหาฉันด้วย”
หลังจากนั้นเมอร์ลินก็เงียบหยุดชั่วคราวและตวัดสายตามองชาบิลอย่างเย็นชา
“คุณชาบิล ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอีก”
ชาบิลพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหมือนสายตาของเมอร์ลินสามารถมองผ่านความคิดของเขาได้ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเมอร์ลินกําลังจะออกจากเมืองเดอตสไปแต่เขาก็ไม่สามารถทําอะไรได้ นอกจากทําตามที่เขาสั่ง
ผ่านไปสักพัก ชาบิลได้พาเอ็มม่ามาที่บ้านพักของเมอร์ลิน เขาได้ใช้พลังจิตตรวจสอบเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะสัมผัสได้ถึงพลังจิตของเขา นั่นทําให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากที่เขาพบว่าพลังจิตของเอ็มม่ามาถึงให้ระดับที่จะเป็นนักเวทย์ได้ แม้ว่าจะห่างไกลกับการเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งแต่อย่างน้อยเธอก็สามารถสร้างคาถาระดับศูนย์หนึ่งหรือสองคาถา
“คุณชาบิลออกไปก่อน ฉันมีอะไรจะพูดกับเอ็มม่า”
ชาบิลพยักหน้าด้วยความเคารพและเดินออกจากบ้าน เขาสั่งทุกคนไม่ให้เข้าใกล้บ้านพักของเมอร์ลิน
หลังจากชาบิลออกไปแล้ว เมอร์ลินได้เผยรอยยิ้มออกมาและพูดว่า
“เอ็มม่า เธอต้องการเป็นนักเวทย์หรือไม่?”
“นักเวทย์? แบบเดียวกับท่านที่มีพลังที่แข็งแกร่ง?”
เมอร์ลินพยักหน้า “ถูกต้อง ตราบใดที่เธอสร้างโครงสร้างเวทมนต์ทีละขั้นตอน เธอก็จะแข็งแกร่งได้เหมือนกับฉัน”
สายตาของเอ็มม่าเผยให้เห็นความตื่นเต้นของเธอ จากนั้นเธอพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็สามารถเอาชนะพวกโจรเหล่านั้นและปกป้องท่านพ่อ ท่านแม่ได้ ฉันอยากจะเป็นนักเวทย์ ฉันหวังว่าท่านจะช่วยฉันได้”
เมอร์ลินยิ้มเบา ๆ เขาคิดว่าเด็กสาวคงไม่เข้าใจความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักเวทย์ว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าหากเธอเป็นนักเวทย์ระดับเริ่มต้น ด้วยพลังเพียงเท่านี้ มันก็มากพอที่จะจัดการกองโจรพวกนั้นได้
ด้วยสาวตาที่แน่วแน่ของเอ็มม่าทําให้เขาหวนนึกถึงตอนที่อยู่แบล็กวอเตอร์ ในตอนที่เขาได้รับตําราเวทมน์จากชายชราอีธาน เขาปรารถนาที่จะเป็นนักเวทย์เพื่อความแข็งแกร่งและปกป้องครอบครัวของเขา
“การเป็นนักเวทย์มันไม่ง่ายเลย ก่อนอื่นเธอต้องเรียนรู้วิธีสร้างโครงสร้างเวทมนต์ซะก่อน”
เมอร์ลินตัดสินใจจะให้โอกาสเด็กสาวคนนี้และเธอก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักเวทย์ด้วย
“ฉันจะออกจากเมืองเดอตัสในอีกไม่ช้าแต่ก่อนที่ฉันจะจากไป ฉันจะมอบคาถาระดับศูนย์ทั้งสามอันให้กับเธอและจะทิ้งบันทึกที่ฉันเขียนไว้ให้กับเธอด้วย ในอีก 3ปีฉันจะกลับมาหาเธอ ถ้าเธอสามารถสร้างคาถาเหล่านี้ได้ ฉันจะพิจารณารับเธอเป็นลูกศิษย์ของฉัน”
เมอร์ลินเชื่อว่าเอ็มม่าเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ แม้เขาจะไม่อยู่ที่นี่สอนเอ็มม่าแต่เธอก็สามารถทําได้ด้วยตัวเอง
เขาได้มอบคาถาระดับศูนย์ ลูกไฟ, แช่แข็งและโล่ปฐพ์ให้กับเอ็มม่า เธอนั้นโชคดีกว่าเมอร์ลินที่ได้รับแหวนจากชายชราอีธานในตอนนั้น
“เอาล่ะ กลับไปหาคุณชาบิลได้แล้ว วันนี้ฉันจะออกจากเมืองเดอตัส”
หลังจากเมอร์ลินจัดเตรียมทุกอย่างให้เอ็มม่าและของเขาเสร็จแล้ว เขาก็พร้อมที่จะจากเมืองนี้ไป