WS บทที่ 160 นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน

รถม้าแล่นแล่นมาตามถนนกว้างอย่างช้า ๆ

เมอร์ลินที่นั่งอยู่ในรถม้า ดวงตาของเขาปิดสนิท เขากําลังนั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งละตรวจสอบโครงสร้างเวทมนต์ในจิตใต้สํานึกของเขา

เขาได้เดินทางออกมาจากเมืองเดอตสมาได้หลายวันแล้ว

ตอนนี้รูปปั้นผู้พิทักษ์ดูเหมือนจะใช้งานได้แล้ว มันยังคงดูดซับพลังเวทย์ตามธรรมชาติ ในขณะเดียวกันคาถาโล่ปฐพี่ก็ยังดูดซับพลังเวทย์ตามปกติ

แม้ว่าเขาจะสร้างคาถาในระดับที่สูงขึ้นแต่คาถาอันเก่าก็ยังไม่หายไป มันยังสามารถใช้งานได้อย่างปกติ แม้ว่าการสะสมพลังเวทย์จะทําได้ช้ากว่าก็ตาม

ความจุพลังเวทย์ของโล่ปฐพี ยังไม่ถึงจุดสูงสุด เนื่องจากพวกพลังธาตุดินถูกดูดซับไปที่รูปปั้นปฐพีก่อน ถึงโล่ปฐพีจะดูดซับได้ชแต่อีกไม่นานก็จะดูดซับได้ถึงความจุของมัน

“อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงเมืองปรากาซ”

เมอร์ลินเปิดม่านออกและถามคนขับรถม้า ชายคนนี้เป็นคนรับใช้ของชาบิลแต่ก่อนที่เมอร์ลินจะออกจาก เมืองชาบิลได้มอบรถม้าและคนขับรถให้กับเขา

คนขับมองดูภูมิประเทศโดยรอบและตอบด้วยความเคารพว่า “อย่างน้อยอีกสามชั่วโมง เราจะถึงเมืองปรากาซแล้วขอรับ”

เมอร์ลินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เขาได้นึกถึงช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา มันเกิดเรื่องมากมายตั้งแต่ที่เข้าร่วมกับ ดินแดนมนต์ดํา จากพ่อมดมือใหม่ในตอนนั้น จนกลายเป็นนักเวทย์หกธาตุในตอนนี้ และยังประสบความสําเร็จในการสร้างคาถาระดับหนึ่งอันแรก!!

เมื่อไม่มีอะไรทํา เมอร์ลนจึงหลับตาและทําสมาธิต่อไป

ผ่านไป 2ชั่วโมง เมอร์ลินลืมตาขึ้นใด สีหน้าของเขาฉายแววดุร้ายขึ้นมาทันที พลังจิตของเขาขยายออกไปยังป่าจากข้างถนน

*พรึ่บ หวุ่ม!!*

ลูกไฟปรากฏขึ้นในอากาศและบินเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมของพลังจิตของเมอร์ลิน

“กัปตัน มีรถม้าอยู่ข้างหน้าเรา” ชายสวมชุดเกราะแวววาวรายงานอย่างแผ่วเบาในป่า

กัปตันพยักหน้า “ตามรถม้าเขาไป อย่าให้พวกเขารู้ตัว คําสั่งที่เราได้รับคือเฝ้าติดตามคนที่เข้าและออกจากเมืองอย่างเคร่งครัด ติดตามทุกคนไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม”

“รับทราบขอรับ กัปตัน”

ชายคนนั้นกําลังจะหันหลังแต่อยู่ ๆ เขาชักสีหน้าลังเลใจและถามเสียงเบาว่า “กัปตัน เมืองเลบิสของเรา กําลังจะทําสงครามกับเมืองปรากาซหรือขอรับ”

สีหน้าของกัปตันเปลี่ยนไป แววตาของเขากลายเป็นดุร้าย เขาตอบด้วยนสียงเย็นชาว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องรู้ ทําตามหน้าที่ของตัวเองก็พอ จับตาดูพวกมันให้ดี!!”

ชายในชุดเกราะพยักหน้าอย่างรวดเร็วแต่เมื่อเขาหันหลังกลับ เขาก็ได้พบกลุ่มลูกไฟที่ร้อนแรงได้ปรากฏขึ้นมาแต่ไกล พวกมันกําลังมุ่งหน้ามาทางเขาด้วยความเร็วสูง

สีหน้าของกัปตันเปลี่ยนไปทันที เขารีบตะโกนอย่างร้อนรน “แย่แล้ว รถม้าคันนั้นมีนักเวทย์ ทุกคนรีบหนีเร็วเข้า!!

หลังจากนั้น กัปตันได้ปลดปล่อยออร่าอันเยือกเย็นออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนักเวทย์ระดับสาม เขาเตรียมที่จะรับมือกับลูกไฟแต่ทันใดนั้นลูกไฟขนาดเท่ากําปั้นได้ระเบิดออกเป็นวงกว้าง

*ตูม*

ลูกไฟหลายสิบลูกระเบิดออกพร้อม ๆ กับ ทําให้นักดาบธาตุที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าถูกไฟคลอกทันที

ในรถม้า เมอร์ลินดสงบมาก ส่วนคนขับรถม้าไม่ได้แสดงท่าที่อะไร เขาได้แต่ขับรถม้าไปอย่างเงียบๆ

ย้อนกับไปที่เมืองเดอส ชาบิลเจ้านายของเขาได้บอกกับเขาว่า คนที่เขาจะพาไปส่งนั้นเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลัง

“ช่วยเร่งความเร็วและกลับไปที่เมืองปรากาซให้เร็วที่สุด”

เมอร์ลินมองไปป่าที่อยู่ข้างรถม้า เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองปรากาฆ์ ทําไมถึงมีนักดาบธาตุจํานวนมากถึงลอบติดตามผู้คนที่เข้าและออกจากเมืองปรากาซแบบนี้

นั่นทําให้เขารู้สึกกังวลกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นเมืองปรากาซ

ตลอดทางที่รถม้าแล่นผ่าน เขาสังเกตนักดาบธาตุจํานวนหนึ่งที่แอบซ่อนตัวตลอดเส้นทาง

เมอร์ลินได้ร่ายลูกไฟใส่พวกนักดาบโดยไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว เขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาคุกคาม ครอบครัวของเขาที่อยู่ในเมืองปรากาซเด็ดขาด

“ท่านเมอร์ลิน พวกเรามาถึงเมืองปรากาซแล้วขอรับ”

ทันใดนั้นเสียงของคนขับรถได้ผ่านหูของเมอร์ลิน เขารีบดึงม่านออกอย่างรวดเร็วและพบเมืองปรากาซที่เขาคุ้นเคย

“เกือบหนึ่งปีแล้วสินะ”

ในตอนที่เมอร์ลินจากเมืองนี้ไป เขาตั้งใจจะกลับมาที่นี่หลังจากผ่านไปหนึ่งทศวรรษแต่พอเขาได้เข้าร่วมกับดินแดนมนต์ดําและรู้เกี่ยวกับเส้นตายสามปี เขาก็เปลี่ยนใจและจะกลับมาที่ปรากาซหลังจากสามปี

แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทําให้เขากลับมาที่เมืองปรากาซหลังจากผ่านไปหนึ่งปี

ในระหว่างที่เขามองตัวเมือง เขาสังเกตเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเมืองปรากาซมีความเข้มงวดจนเห็นได้ชัด เขาได้เอาพลังจิตตรวจสอบตรงกําแพงเมืองและพบว่ามีนักธนูเต็มอยู่บนผนัง นอกจากนี้มียังมีอัศวินเกราะหนักอยู่ด้านในเช่นเดียวกัน

มันช่างแตกต่างจากเมืองปรากาซอันสงบสุข ในตอนนี้ที่เมอร์ลินจากไปตอนนั้น เขารู้สึกได้ว่ามันจะต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“เข้าไปข้างในกันเถอะ“เมอร์ลินปิดม่านลงและพูดกับคนขับรถม้า เขาต้องรีบกลับปราสาทให้เร็วที่สุด เขาต้องการรู้รายละเอียดมากขึ้น

รถม้าขับเข้ามาถึงประตูเมืองออย่างช้าและถูกปิดกั้นโดยทหารยาม

“ตอนนี้ที่เมืองปรากาซมีการเฝ้าระวังขึ้นสูงสุด หากไม่ได้รับคําสั่งจากท่านเคานต์ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้!”

คนขับรถม้าทําอะไรไม่ถูก เมอร์ลินจึงได้หยิบแผ่นทองคําออกมาแล้วพูดอย่างไม่พอใจ”ฉันเป็นบารอนที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านเคานต์เซลิน ฉันเข้าไปไม่ได้เหรอ?”

เมื่อทหารยามเห็นชื่อบนแผ่นทองคํา สีหน้าของพวกเขาได้เปลี่ยนทันที พวกเขาตอบด้วยความเคารพว่า”โอ้ ท่านบารอนเมอร์ลินนี่เอง ต้องขออภัยท่านด้วย ตอนนี้เมืองปรากาซมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวด จึงไม่สามารถให้ใครเข้าออกเมืองได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ตามหากท่านเคานต์ทราบว่าเป็นท่าน ท่านจะยอมให้ท่าน เมอร์ลินเข้าไปทันที เชิญเข้ามาเลยขอรับท่านบารอน”

เมอร์ลินดึงม่านออกมาแลพจ้องมองพวกทหารยามอย่างประหลาดใจและถาด้วยสีหน้างุนนงง “คุณรู้จักฉันด้วยเหรอ?”

ทหารยามตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า”กระผมเป็นทหารยามในปราสาทของเคานต์เซลิน ผมเคยพบท่านบารอนมาแล้วครั้งหนึ่ง” “เอ่อ… “เมอร์ลินพยักหน้า ในตอนนั้นมีพวกทหารยามหลายคนในปราสาทของเคานต์เซลิน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางจําพวกเขาได้ทั้งหมด

จากนั้นเมอร์ลินปิดม่านลงและพูดกับคนขับรถม้าว่า”ไปต่อได้เลย”

รถม้าค่อย ๆ ขับเข้าไปในตัวเมือง

หลังจากที่รถม้าขับไปได้ไกลแล้ว ทหารยามอีกคนก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยท่านเคานต์เซลินสั่งการว่า ไม่ให้ใครเข้าออกเมือง แม้ว่าจะเป็นขุนนางก็ตาม ทําไมคุณถึงปล่อยให้เขาเข้ามาข้างในโดยไม่ได้รับอนุญาต

เห็นได้ชัดว่าการเข้าไปของเมอร์ลินจะเป็นการกระทําโดยพลการของทหารยามคนั้น

อย่างไรก็ตามทหารยามคนนั้นกลับไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลย เขาได้ยิ้มออกมาเบา ๆ

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง นั่นไม่ใช่บารอนธรรมดา เขาเป็นพ่อมดที่เคยช่วยชีวิตท่านเคานต์เซลินมาก่อน ฉันเชื่อว่าท่านเคานต์เซลินต้องดีใจที่ท่านบารอนเมอร์ลินกลับมาที่เมืองปรากาซอย่างแน่นอน รออยู่ที่นี่นะ ฉันจะไปรายงายเรื่องนี้ให้ท่านเคานต์รับทราบ”

จากนั้นทหารยามคนนั้นมุ่งหน้าไปที่ปราสาทของเคานต์เซลินอย่างรวดเร็ว

รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆ บนท้องถนน ผู้คนบนท้องถนนต่างเร่งรีบในการเดินทาง พวกเขามีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นมีพ่อค้าแม่ค้าบางคนมากในตอนนี้

หลังจากนั้นไม่นาน เมืองปรากาซก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน มันช่างแตกต่างกับเมืองปรากาซที่เขารู้จักมาก

“เลี้ยวซ้ายและตรงไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ถึงปราสาทของฉันแล้ว”

คนขับรถม้าไม่ทราบถึงตําแหน่งที่แน่นอนของปราสาทวิลสัน เมอร์ลินจึงต้องนําทางให้เขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง รถม้าก็หยุดที่หน้าปราสาท

“ท่านเมอร์ลิน พวกเรามาถึงแล้ว!” คนขับรถม้าแจ้งให้เมอร์ลินทราบ

ประตูรถม้าถูกเปิดออก เมอร์ลินกล่าวออกมาด้วนชุดสีดําขนาดใหญ่พร้อมกับหมวกทรงสูง ชุดนี้ดูแปลกตาสําหรับคนทั่วไปแต่มันชุดธรรมดาที่เหล่านักเวทย์ในดินแดนมนต์ดําส่วนใหญ่ใส่กัน

“ในที่สุดก็มาถึงปราสาทวิลสัน”เมอร์ลินเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังปราสาทที่อยู่เบื้องหน้าเขา ความรู้สึกไม่สบายใจก่อนหน้านี้ได้จางหายไปแล้ว

ที่ด้านนอกปราสาทมีเด็กน้อย อายุหนึ่งขวบ ทั้งสองคนกําลังหัดเดิน พวกเขาโบกมือเล็กน้อยอย่างร่าเริง

ข้างหลังมีสาวใช้สองสามคนเดินตามหลังสองเด็กน้อยอย่างระมัดระวังโดยกลัวว่าพวกเขาจะหกล้ม

เมื่อเมอร์ลินเห็นเด็กน้อยสองคนนี้ หัวใจของเมอร์ลินก็เต้นแรง เขามองดูเด็ก ๆ ด้วยความรัก เขาพึมพําเบา ๆ”เด็กสองคนนั้นต้องเป็นซีเลียกับโคซิออนแน่นอน”

ด้วยความคิดถึงลูกน้อยของเขา เมอร์ลินรีบเดินไปหาเด็กทั้งสองอย่างรวดเร็ว

ดเหมือนสาวใช้จะสังเกตเห็นเมอร์ลิน พวกเธอตกใจและรีบอุ้มเด็ก ๆ และเข้าไปในปราสาททันที ในเวลาเดียวกันเมอร์ลินก็เร่งฝีเท้าเข้าไป

*หวุ่ม*

ทันใดนั้นเอง อัศวินหนุ่มได้พุ่งออกมาจากปราสาทและขวางเมอร์ลินเอาไว้ เขาถือดาบขนาดใหญ่ในมือและตะโกนเสียงดังว่า

“หยุดอยู่ตรงนั้น ที่นี่ปราสาทของบารอนเมอร์ลิน ถอยกลับไปซะ!!”

เมอร์ลินตะลึงเล็กน้อยแต่เขาก็ตั้งสติได้ทัน เขาค่อยถอดหมวกทรงสูงบนศีรษะออกและเผยให้เห็นถึงใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเขา

“นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน ยาเกซ” เมอร์ลินจ้องมองอัศวินกล้ามโตตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม