ที่หน้าหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วนั่งเอนกายเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ เขาแบฝ่ามือซ้ายออกแล้วจู่ๆ ก็มีเปลวไฟสีฟ้าค่อยๆ ลุกไหม้ขึ้นมาอยู่บนนั้น
นี่ไม่ใช่สูตรเพลิงสมาธิแท้ฉบับสมบูรณ์ จึงไม่สำคัญว่าเขาจะเปิดเผยมันออกมาหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ดีนี่ก็เป็นเวลาสามเดือนแล้วที่ปรมาจารย์หว่างฉิงได้มอบสูตรเพลิงสมาธิแท้นี้ให้แก่เขาเป็นรางวัลซึ่งเหมาะจะให้เขาสามารถฝึกฝนลมปราณเพลิงที่เรียบง่ายที่สุดได้
หากเขาใส่พลังเวทจำนวนมากลงไป พลังแห่งลมปราณเพลิงก็ยังไม่เทียบเท่าหนึ่งในสามของเพลิงนรกเยือกแข็ง
แต่เมื่อเขารวมลมปราณเพลิง แก่นเพลิง และวิญญาณเพลิงเข้าด้วยกันเป็นเพลิงสมาธิแท้ พลังของมันน่าจะแข็งแกร่งกว่า เพลิงนรกเยือกแข็งมาก!
ในเวลานี้หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจหลักการฝึกฝนเพลิงสมาธิแท้
เขาต้องใช้ลมปราณ แก่นร่างและจิตวิญญาณของเขาเพื่อปลูกฝังต้นกล้าไฟสามชนิดและผสานรวมพวกมันทั้งสามให้กลายเป็นเพลิงสมาธิแท้ เปลวเพลิงนี้มักจะอยู่รอดในร่างเต๋าเสมอ แผดเผาวิญญาณชั่วร้ายและขจัดสิ่งสกปรกซึ่งสามารถใช้เพื่อปกป้องตัวเองได้
สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วพึงพอใจมากที่สุดก็คือ พลังเพลิงนั้นเกี่ยวข้องกับต้นกล้าแห่งไฟที่ควบแน่นด้วยแก่นร่าง ลมปราณ และจิตวิญญาณของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งพลังของเพลิงสมาธิแท้ สามารถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับระดับขอบเขตพลังของเขา เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลามากเกินไปกับเวทที่เขาจะไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่หลังจากฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญแล้ว
ชั่วขณะนั้น มีเมฆขาวลอยมาจากขอบฟ้า ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงรีบพลิกมือซ้ายของเขากำเป็นหมัดแล้วดับเปลวเพลิงนั้นทันทีก่อนจะลุกขึ้นแล้วประสานมือคารวะให้เมฆขาวก้อนนั้น
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยบนเมฆาขาวเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและมองลงมา ในขณะที่รักษาระดับไว้ที่ความสูงสิบจั้ง เขากล่าวออกมาอย่างอบอุ่นว่า “ศิษย์หลานฉางโซ่ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาได้อย่างมหาศาลจากการเดินทางไปที่ทะเลบูรพาเมื่อสามเดือนก่อน และยังสามารถจัดการกับองค์ชายแห่งวังมังกรได้อย่างเหมาะสมเมื่อเผชิญกับการยั่วยุของเขา นับว่าข้าแนะนำประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ให้เจ้าแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วก็เผยรอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “ด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์ลุง ศิษย์จึงได้รับทั้งเวทไฟและเวทสายฟ้า วันนี้ข้าได้เตรียมงานเลี้ยงสำหรับท่านเป็นพิเศษเพื่อเป็นการตอบแทนท่านอาจารย์ลุงที่ช่วยดูแลการฝึกฝนของข้าด้วยขอรับ”
จิ่วอูที่เพิ่งกลับมาที่ภูเขาได้สองสามวัน จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วหนา เบิกตาโตในขณะที่เดาะลิ้นของเขา
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า…มีบางอย่างเกิดขึ้น ปกติเจ้าไม่เต็มใจเสนอดื่มสุรากับข้าที่นี่ เจ้าไปที่ทะเลบูรพาหลังจากที่ถูกข้าทั้งเกลี้ยกล่อมและล่อหลอก ศิษย์หลานฉางโซ่ว หรือเจ้าอยากใช้ยาพิษเพื่อทำร้ายอาจารย์ลุงหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันทีขณะกล่าวตอบว่า “ศิษย์มิกล้าบังอาจขอรับ ศิษย์เป็นเพียงศิษย์ของยอดเขาหยกน้อย ไม่เพียงแต่ท่านอาจารย์ลุงจะเป็นเซียนเสิ่นผู้สืบทอดสายตรงแห่งยอดเขาพิชิตสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ดูแลสำนักที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากเหล่าผู้อาวุโสอีกด้วย นอกจากนี้ ข้ายังได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการเดินทางไปยังทะเลบูรพาอีกเช่นกันขอรับ”
ในขณะที่เขากล่าว หลี่ฉางโซ่วก็หยิบไข่มุกราตรีออกมาจากแขนเสื้อของเขาจำนวนสองเม็ดแล้วกล่าวว่า “นี่คือผลึกบันทึกภาพ หลังจากที่ศิษย์ปรับปรุงและเปลี่ยนมันให้บันทึกเสียงด้วยแล้ว มันก็เป็นผลึกบันทึกเหตุการณ์ที่บันทึกภาพและเสียงได้ ศิษย์มอบให้ท่านหนึ่งเม็ดและข้าเก็บเอาไว้อีกหนึ่งเม็ด และงานเลี้ยงทั้งหมดในวันนี้จะถูกบันทึกเอาไว้ในผลึกบันทึกเหตุการณ์นี้ขอรับ ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ลุงจะคิดเห็นเช่นไรขอรับ”
ทันใดนั้นจิ่วอูก็เริงร่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาเอามือไพล่หลังเอาไว้ขณะกระโดดลงมาจากเมฆขาวแล้วเงยหน้ามองหลี่ฉางโซ่วก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบผลึกบันทึกเหตุการณ์นั้นทันที
“ข้าอยากรู้ว่าสุราของเจ้าเป็นอย่างไร เชิญ”
“เชิญท่านอาจารย์ลุงขอรับ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น
ในเวลานั้นมีโต๊ะเตี้ยสองโต๊ะวางอยู่ข้างๆ เตาหลอมโอสถ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ได้สำแดงทักษะการทำอาหารที่นางได้รับการฝึกฝนจากศิษย์พี่ของนางมาอย่างเต็มที่ บนโต๊ะจึงเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มอันโอ่อ่าอลังการ มีไหสุราวางซ้อนกันอยู่ทางด้านข้างจำนวนสามไห
จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็นั่งแยกกัน แล้วก็เปิดใช้ผลึกบันทึกเหตุการณ์ก่อนจะวางพวกมันไว้ที่มุมโต๊ะพร้อมๆ กัน
หลังจากนั้น จิ่วอูก็หยิบตะเกียบหยกขึ้นมา พลางแบ่งจานและไหสุราก่อนจะลองชิมรสชาติแต่ละอย่าง
“เจ้าชวนข้ามาดื่มอย่างเดียวจริงๆ หรือ” จิ่วอูกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่า มีโอสถที่ไม่เป็นอันตรายอยู่ภายในสุราและอาหารแต่ละจาน และเมื่อผสมพวกมันรวมเข้าด้วยกันแล้ว มันก็จะกลายเป็นพิษร้ายแรงได้”
หลี่ฉางโซ่วเอามือก่ายหน้าผากพร้อมกับส่ายศีรษะและถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุง ไม่รู้ว่าท่านเคยประสบเหตุร้ายใดจากภายนอกมาบ้างถึงได้คาดเดาเจตนาของศิษย์เช่นนี้ อย่างไรเสียศิษย์ก็หาใช่คนชั่วร้ายไม่ขอรับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
จิ่วอูโบกมือก่อนจะหยิบไหสุราขึ้นมาเพื่อเริ่มดื่ม แล้วทั้งสองก็ดื่มกันอย่างเต็มที่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สุรากว่าครึ่งไหก็ลงไปอยู่ในท้องของพวกเขา ในขณะที่จิ่วอูกินแต่ผักเท่านั้นจริงๆ และไม่ขยับไปที่อาหารจานอื่นเลยแม้แต่น้อย
แต่หลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ คีบอาหารแต่ละจานขึ้นมาอย่างช้าๆ และชื่นชมฝีมือการทำอาหารของศิษย์น้องหญิงของเขา
ครั้นเมื่อทั้งสองคนเมามายกันเล็กน้อยแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ยกไหสุราที่สามขึ้นมา
มาแล้วๆ อุบายของเจ้าสหายผู้นี้ช่างคาดเดาได้ง่ายดายจริงๆ
จิ่วอูหัวเราะเยาะในใจขณะต้องการดูว่า หลี่ฉางโซ่วจะแสดงเล่ห์เหลี่ยมออกมาอย่างไร
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุง นี่เป็นของขวัญขอบคุณจากศิษย์ มันคือสุรามังกรพิษเสริมกระดูกขอรับ”
“อ้อ?” จิ่วอูขมวดคิ้วพลางใช้พลังเซียนของเขาหยิบไหสุรา หลังจากเปิดไห เขาใช้ตะเกียบเพื่อทดสอบอีกครั้ง เขาจุ่มตะเกียบลงในสุราเล็กน้อยแล้วสัมผัสมันเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วของเขา
ดวงตาของจิ่วอูพลันเปล่งประกายกล่าวชื่นชมว่า “สุราชั้นดี!”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “มันทำมาจากสมุนไพรพิษสามสิบหกชนิด แมลงพิษสิบสองชนิด และสุราแห่งแม่น้ำฮวงโห หลังจากแช่เอาไว้เป็นเวลาสามเดือน ความเป็นพิษของมันก็ถูกทำให้เป็นกลาง และแน่นอนว่า มันสามารถเติมพลังวิญญาณ เสริมสร้างกระดูก และเสริมสร้างความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ได้ แต่ก็มีบางอย่างที่…ข้าไม่รู้ว่าท่านจะรับได้หรือไม่ สิ่งนี้มีฤทธิ์ยาที่ค่อนข้างทรงพลังทีเดียวขอรับ”
จิ่วอูขมวดคิ้วให้หลี่ฉางโซ่วซึ่งกะพริบตาตอบกลับจิ่วอูด้วยเช่นกัน จากนั้นบุรุษทั้งสองต่างก็ยิ้มให้กันอย่างรู้ทัน
พวกเขารู้ทันกันดี
จากนั้นจิ่วอูก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มีอันใดที่ข้าจะทนรับไม่ได้หรือ ข้าเป็นผู้ที่มีคู่บำเพ็ญเต๋าแล้วนะ!”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ศิษย์ทำสุราสมุนไพรนี้ออกมา ท่านอาจารย์ลุง โปรดลองดูขอรับ!”
“เอามานี่เลย!”
จิ่วอูรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีมากขณะหยิบไหสุราชั้นเยี่ยมมาลองจิบลิ้มรสดู หลังจากวิเคราะห์อย่างรอบคอบชั่วขณะหนึ่งแล้ว เขาก็ดื่มสุราลงไปอึกใหญ่และรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที!
“บังเอิญว่า อาจารย์ป้าของเจ้าเพิ่งออกมาจากการปิดด่านเมื่อไม่นานมานี้เอง จึงไม่มีสิ่งใดต้องกลัว!”
“ท่านอาจารย์ลุง อย่าดื่มมากเกินไปในคราวเดียวนะขอรับ”
“ข้าเป็นเซียนเสิ่น แล้วยังต้องกลัวอันใดอีกเล่า”
หลังจากนั้น พวกเขาทั้งสองก็ดื่มสุราร่วมกันอีกจอกจนจิ่วอูเมาเล็กน้อยในขณะที่ถ้วยจานของเขาระเกะระกะเลอะเทอะไปหมด
“เสี่ยวฉางโซ่ว มาคุยกันหน่อย บอกข้ามาทีว่า เจ้ามีแผนร้ายกับอาจารย์ลุงผู้นี้อย่างไรกันแน่” จิ่วอูกอดไหสุราพลางขมวดคิ้ว “ข้าดื่มเกือบหมด และจะไปในไม่ช้านี้แล้ว”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มแหยพร้อมกับส่ายศีรษะพลางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้ว ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ลุงในครั้งนี้ขอรับ”
“โอ้?”
“มีค่ายกลประกายแสงเก้าสีที่ท่านอาจารย์ลุงมอบให้ข้า หลังจากที่ข้าได้ศึกษาและวิเคราะห์มันมาเป็นเวลาครึ่งเดือนกับท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วแล้ว ข้าก็ยังไม่อาจวางค่ายกลได้ จึงอยากขอคำชี้แนะจากท่านขอรับ”
จิ่วอูเบิกบานฉับพลัน ค่ายกลประกายแสงเก้าสีนี้เป็นค่ายกลกับดักที่เขาคิดค้นขึ้น แม้หลี่ฉางโซ่วจะใช้ค่ายกลนี้ดักจับเขา แต่เขาก็ยังออกไปได้
“ไปกันเถิด ไปดูกันสักหน่อย”
และในขณะนั้น จิ่วอูก็เก็บสุราสมุนไพรทันที แล้วพวกเขาแต่ละคนก็นำผลึกบันทึกเหตุการณ์ไปยังพื้นที่โล่งด้านหลังหอโอสถ
มีกระจกทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็กจำนวนแปดสิบเอ็ดบานวางอยู่บนพื้นในตำแหน่งลึกลับ เมื่อมองเพียงแวบเดียว จิ่วอูก็เห็นปัญหาได้อย่างรวดเร็วแล้วชี้ไปที่หลี่ฉางโซ่วพร้อมกับหัวเราะออกมา
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ก้าวออกไปข้างหน้าด้วยสีหน้าท่าทางเริงร่าขณะทำตามคำชี้แนะของจิ่วอู เขาปรับตำแหน่งของกระจกทองสัมฤทธิ์สองสามบาน และจากนั้นกระจกทองสัมฤทธิ์ทั้งแปดสิบเอ็ดบานก็สว่างวาบขึ้นมาในทันที แล้วบัดนั้นค่ายกลกับดักนั้นก็ถูกเปิดใช้งานและดักจับพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้อย่างกะทันหัน
เนื่องจากอยู่ท่ามกลางประกายแสงสีเงินที่อยู่โดยรอบ พวกเขาจึงไม่อาจมองเห็นพุ่มไม้ บุปผานานาพรรณและเหล่าวิหคได้อีกต่อไป
……………………………………………………………