ตอนที่ 84 ไม่เคยได้ยินชื่อเถาหยาง
ตอนที่ 84 ไม่เคยได้ยินชื่อเถาหยาง
เมื่ออู๋เจิ้นกลับมาที่บ้าน ภรรยาของเขาก็เข้ามารับกล่องเครื่องมือและเสื้อคลุมตัวนอก ส่วนลูกชายของเขาก็กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจที่โต๊ะ
บ้านของเขาหลังไม่ใหญ่ มี 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น พื้นที่ 60 ตารางเมตร ตั้งอยู่ใกล้กับย่านคนรวย มีระบบความรักษาความปลอดภัยและสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี
ภรรยาของเขาเป็นคนอ่อนโยนและมีน้ำใจ ส่วนลูกชายเขาก็เป็นเด็กที่ฉลาดและเชื่อฟัง แม้ว่าเขาจะถูกกดขี่ในที่ทำงานบ้าง แต่รายได้ของเขาก็ถือว่าดี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า ชีวิตของเขามีหลักประกัน
ในเวลาว่าง เขาก็ทำงานอดิเรกของเขาที่ระเบียง มันจริงอย่างที่เขาพูด ตอนนี้ชีวิตของเขาค่อนข้างดีไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร
“มีเรื่องในใจเหรอ?” ภรรยาของเขาถาม
อู๋เจิ้นเงียบสักพัก แล้วก็พูดว่า “ลุงเหม่ยส่งคนมาตามหาพวกเรา”
ภรรยาของเขารู้สึกประหลาดใจ “ลุงเหม่ยยังมีชีวิตอยู่เหรอ? มีลูกชายแย่ ๆ แบบนั้น แถมขาก็ไม่ดี เขายังมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้เหรอ?”
อู๋เจิ้นถอนหายใจ “ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน เดี๋ยวค่ำ ๆ ผมจะโทรหาลุงเหม่ยแล้วถามเขาว่าเรื่องราวเป็นมายังไง”
ภรรยาของเขาไม่ได้พูดอะไร และหันไปช่วยสอนการบ้านของลูกชาย มันคงจะดีมากถ้ามีโรงเรียนและครูสอนในโรงเรียนเหมือนก่อนวันสิ้นโลก
ในวันสิ้นโลก เธอไม่สามารถแม้แต่จะหาหนังสือเรียนสำหรับเด็กประถมได้ นับประสาอะไรกับโรงเรียนและครูผู้สอน
……
ก่อนเข้านอน อู๋เจิ้นหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกดโทรศัพท์ หลังจากเชื่อมต่อแล้ว เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากปลายสาย
“นั่นใคร?”
“ลุงเหม่ย ผมเองครับ อู๋เจิ้น”
ผู้อาวุโสเหม่ยรู้สึกตื่นเต้น “เสี่ยวเจิ้น แล้วพ่อของนายล่ะ?!”
เมื่ออู๋เจิ้นได้ยินดังนั้นเขาก็อยากจะร้องไห้
ตั้งแต่วันสิ้นโลกมาถึง ระบบสังคมก็ล่มสลาย พ่อของเขาถูกลดบทบาทจากอาจารย์มหาวิทยาลัยดี ๆ ไปเป็นคนที่ไม่มีใครสนใจและไม่เป็นที่ต้องการของสังคม เพื่อนเก่ารอบตัวเขาเสียชีวิตกันหมด และมิตรภาพก็พังทลาย มีเพียงผู้อาวุโสเหม่ยเท่านั้นที่ยังคิดถึงมิตรภาพนี้อยู่เสมอ
สิบกว่าปีแล้วที่ยังไม่ลืมกัน
เขาจุกอกจนพูดไม่ออก “ลุงครับ พ่อผมไม่อยู่แล้ว”
ปลายสายเงียบไปเป็นเวลานาน แล้วชายชราก็ถามขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่อยู่แล้ว?”
“โส่วอันเข้าไม่ถึงการรักษา ร่างกายของเขาป่วยมานาน และเราก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ ได้”
“แล้วนายล่ะ มีใครอยู่รอบตัวบ้างไหม ถ้าไม่มีใครก็มาที่เถาหยาง มาอาศัยอยู่กับลุงที่นี่ ลุงรู้ว่าที่โส่วอันนั้นมีการรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่ว่าพวกคนเห็นแก่ตัวก็ชอบเอาเปรียบคนธรรมดาทั่วไปอย่างเรา มันอันตรายเกินไป”
เถาหยาง?
ไม่ใช่ตงหยางเหรอ?
เถาหยางอยู่ที่ไหน?
ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน สภาพแวดล้อมของมันไม่น่าจะดี
อู๋เจิ้นไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม และพูดเพียงแค่ว่า
“ลุงครับ ผมแต่งงานแล้ว มีลูกชายอายุ 6 ขวบ ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ที่โส่วอันถือว่ามีกินมีใช้ไม่ลำบาก หรือไม่ผมจะไหว้วานคนให้ไปรับคุณลุงมาอยู่ด้วยกันกับพวกเราที่นี่ ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน อีกทั้งยังมีความปลอดภัยอีกด้วย”
เมื่อผู้อาวุโสเหม่ยฟังดังนั้น เขาก็รู้สึกว่าที่โส่วอันนั้นก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่าจะดีแค่ไหน ฐานที่มีการปกครองจากกองกำลังแบ่งแยกดินแดนและไม่คำนึงถึงชีวิตของผู้คนทั่วไป แบบนี้มันไม่ยืนยงหรอก
“ลุงครับ ไม่ต้องกังวลนะ มาอยู่กับพวกเราที่นี่ ครอบครัวของเราจะปฏิบัติต่อลุงเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง มันจะดีกว่าการที่ลุงอาศัยอยู่ในตงหยางเพียงลำพัง”
ผู้อาวุโสเหม่ยถอนหายใจ “เสี่ยวเจิ้น พูดก็พูดเถอะ ฉันอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ฉันพักอยู่ในห้องชุดคนเดียว มี 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นพร้อมเครื่องปรับอากาศ แล้วก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่คอยดูแลเรื่องการกินการอยู่ของฉันในทุก ๆ วัน เวลาเจ็บป่วยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาหมอรักษา ขาของฉันก็ยังมีโอกาสที่จะลุกขึ้นยืนได้”
อู๋เจิ้นแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน เวลาผ่านไปสักพักเขาจึงถามขึ้นมาว่า
“ซิ่งเสียนอยู่ที่ตงหยางเขาทำงานทำการอะไร?”
เหม่ยซิ่งเสียนมีอนาคตที่สดใสหรือเปล่า? คนที่ไม่รู้จักกตัญญูต่อพ่อที่แก่เฒ่าของเขา
ผู้อาวุโสเหม่ยกล่าวว่า “ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นแล้ว ฉันตัดสัมพันธ์กับเขาไปแล้ว เรื่องอาหารการกินที่อยู่อาศัยล้วนเป็นหนูเถาที่ช่วยจัดการดูแลทั้งหมด นายน่าจะได้เจอกับเธอแล้ว ไม่งั้นคงไม่มีเบอร์ติดต่อฉัน”
อู๋เจิ้นนึกถึงหญิงสาวที่เขาพบวันนี้ แต่เขาก็มองไม่ออกว่าเธอเป็นผู้ที่มีความสามารถในตงหยาง
มีเครื่องปรับอากาศให้ แล้วยังมีการตรวจรักษาโรค เมื่อไหร่กันที่ตงหยางมีสภาพที่ดีแบบนั้น?
ผู้อาวุโสเหม่ยพูดอย่างใจเย็น
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันแนะนำให้นายมาอาศัยที่เถาหยาง นายอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเถาหยาง มันอยู่ติดกับตงหยางเป็นเขตควบคุมของหนูเถา อย่างที่ฉันบอก เรื่องอาหารการกินไม่เคยขาด เวลาป่วยก็มีหมอรักษา และตอนนี้เถาหยางก็กำลังจะสร้างพื้นที่เพาะปลูกเป็นของตัวเอง อีกหน่อยเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของผักผลไม้แล้ว”
เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ผู้อาวุโสเหม่ยยังส่งรูปถ่ายของเถาหยางไปให้เขาสองสามรูป
เมื่อเห็นห้องพักที่เถาหยาง อู๋เจิ้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขานึกถึงสิ่งที่ซูเถาบอกว่าเธอก็มีพื้นที่เพาะปลูกของตัวเอง
ที่แท้สิ่งที่เธอพูดก็เป็นความจริง!
ผู้อาวุโสเหม่ยพูดอย่างจริงจัง
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยช่วยหนูเถาออกแบบและวางผังที่ดินของเถาหยาง เธอใจกว้างให้ที่อยู่อาศัยในเถาหยางกับฉันสามโควตา พอดีเลยที่นายมีภรรยาและลูกรวมสามคน สามารถเช่าห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน พร้อมห้องครัว มีระเบียงกว้าง และยังสามารถเปิดเเครื่องปรับอากาศได้ตามใจอีกด้วย ค่าไฟก็ถูก”
“ใช่แล้ว ลูกชายของนายก็ถึงวัยที่ต้องเข้าโรงเรียนแล้วใช่ไหม มันถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ แล้ว เวลาของฉันก็ยังพอมีเหลืออยู่ เดี๋ยวจะช่วยถ่ายทอดความรู้ให้เขา พวกเธอสองคนจะได้มีสมาธิกับการทำงาน”
ประโยคนี้ทำให้ทั้งสองค่อนข้างตกใจ และอู๋เจิ้นก็เงียบทันที
“ลุงครับ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ ไว้ผมต้องลองปรึกษากับภรรยาก่อน”
หลังจากที่เขาวางสาย ภรรยาที่ฟังมาโดยตลอดก็ถามว่า
“ลุงเหม่ยให้คุณไปอยู่ที่ไหนนะ?”
“เถาหยาง”
ภรรยาของเขาขมวดคิ้ว “ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ฉันว่าไม่ค่อยน่าไว้ใจ แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนเก่าของพ่อคุณ แต่เราก็ไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบปีแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิต มันไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ บางทีเขาอาจจะมาหลอกลวงคุณก็ได้”
อู๋เจิ้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก “พ่อของผมไม่มีวันมองคนผิด ลุงเหม่ยเองก็ไม่รู้ว่าผมมีความสามารถอะไร เขาอาจจะคิดว่าเถาหยางดีจริง ๆ ก็ได้ เลยต้องการให้เราย้ายไปอยู่ที่นั่น”
ฝ่ายภรรยาเริ่มแข็งกร้าว “ฉันไม่สน ตอนนี้เราก็สุขสบายดีไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องไปเสี่ยงในที่ที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นเคยด้วย ความสามารถของคุณก็เป็นที่ต้องการเกินไป เรามีผู้ที่คอยหนุนหลัง ครอบครัวของเราถึงอยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ ถ้าพวกเราย้ายไปที่นั่น พวกเราจะพึ่งพาใครได้?”
อู๋เจิ้นรู้ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาพูดนั้นมีเหตุผล หัวใจที่เคยเต้นแรงระส่ำของเขาก็ค่อย ๆ สงบ
แต่เมื่อเขาเห็นไม้ประดับสีเขียว ๆ แดง ๆ อยู่ที่ระเบียง เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าพื้นที่เพาะปลูกนั้นมีอยู่จริง ก็สามารถมอบหมายให้เขาดูแลได้
แต่ว่าตอนนี้เข้านอนดีกว่า ในฝันล้วนมีทุกอย่าง