บทที่ 79 พี่ใหญ่ไม่ชอบใจ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน แต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆ หยวนหมิงที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างของเวยเวยก็ลืมตาขึ้น

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้

เฮ่อเหลียนเวยเวยรับรู้ได้ว่าในที่สุดหยวนหมิงก็ตื่นขึ้นมา และมุมปากของนางก็โค้งขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับมองผู้อาวุโสที่กำลังตกตะลึง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เนี่ยอู๋หลิน เจ้าเป็นผู้อาวุโสที่คุณตาของข้าเคยเลื่อนตำแหน่งให้ หากไม่ใช่เพราะท่านตา เจ้าก็เป็นแค่ผู้เฒ่ายากจนที่ไร้อำนาจและไม่มีอิทธิพลใดๆ แต่ตอนนี้ เจ้ากลับพูดจากับข้าด้วยความรังเกียจ เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์อะไรกัน” ขณะที่พูด หญิงสาวก็ไล่สายตามองเหล่าผู้อาวุโสทีละคน ขณะเดียวกัน พวกเขาก็กำลังหายใจแรงด้วยความโกรธเคือง “และพวกเจ้าทุกคนก็ล้วนแต่เป็นที่โปรดปรานของท่านตาข้าเช่นกัน แต่ตอนนี้ พวกเจ้ากลับร่วมมือกับคนนอก เพียงเพราะผลประโยชน์เล็กน้อยของตนเอง จนพวกเจ้าต้องการจะขับไล่ข้าออกไป ช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

ผู้อาวุโสใช้มือกดหน้าอกของตนเอง นิ้วของพวกเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ คำพูดของเวยเวยเผยให้เห็นถึงความอัปยศและน่ารังเกียจที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา

พวกเขาได้รับความเมตตาจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์จริงๆ

แต่ความเมตตาเหล่านั้นทำให้พวกเขารู้สึกสับสน และไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาก็ต้องนึกถึงหน้าของท่านผู้เฒ่าเฮ่อเหลียนก่อนเสมอ

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเฮ่อเหลียนเสียชีวิต พวกเขาก็รีบมายืนเคียงข้างประมุขตระกูลคนใหม่อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าจะดูแลตระกูลเฮ่อเหลียนแทนเวยเวยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่พวกเขาก็ยังอยากให้เฮ่อเหลียนกวงเย่าเป็นประมุขของตระกูลต่อไป

เพราะหากเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแค่พวกเขาจะสามารถกดขี่ข่มเหงนางได้ตามที่ต้องการเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถเพิกเฉยต่อคนอื่นๆ ได้อีกด้วย

เมื่อพวกเขารู้สึกเบื่อ ก็แค่พูดจาเย้ยหยันเวยเวยให้กลายเป็นเรื่องตลก เพื่อสร้างความสนุกให้กับตัวเอง

ใครใช้ให้นางเป็นคนไร้ค่าเองล่ะ หึ ความรู้สึกที่ได้เหยียบย่ำของล้ำค่าของท่านผู้เฒ่าเฮ่อเหลียนใต้ฝ่าเท้านั้น… ช่างรู้สึกดียิ่งนัก

“หึหึ” เวยเวยเคยเห็นพวกเขาบางคนมาก่อน แล้วนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนพวกนี้คิดเช่นไร ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูเรียบเฉย ก่อนจะเย้ยหยันเล็กน้อย “บางที คนเราก็ไม่ควรที่จะเลื่อนตำแหน่งให้กับคนบางคน ใครจะไปรู้ ว่าวันหนึ่ง ความมีน้ำใจนั้นจะได้รับเป็นความเกลียดชังกลับมา ท่านพ่อที่เคารพ ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ”

“พอได้แล้ว” เมื่อได้ยินเวยเวยพูดถึงเรื่องตัวเอง เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็รู้สึกอับอายอย่างมาก จนแทบอยากจะบีบคอนางให้ตายไปเสีย

ผู้อาวุโสที่คุกเข่าอยู่กับพื้นก็ยิ่งรู้สึกฉุนเฉียวยิ่งกว่า จนไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ “แต่บางคนก็ทำเกินไปจริงๆ เพียงแค่เขาทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนอื่น แต่เขากลับพูดถึงมันอยู่ทุกวัน จนถึงขนาดพูดจาดูหมิ่นความซื่อสัตย์ของพวกเรา ท่านประมุข ท่านต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อพวกเรานะ”

“เฮ่อเหลียนเวยเวย!” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสคนนั้น เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็สูดลมหายใจเข้าลึก “หากเจ้ายอมรับความผิดในตอนนี้ก็ยังพอมีเวลา มิเช่นนั้น เจ้าก็อย่าหาว่าบิดาคนนี้ไม่มีเมตตาเลย”

เขาคิดว่าคำพูดเช่นนั้นจะทำให้เวยเวยหวาดกลัวได้ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หญิงสาวกลับทำเพียงยิ้มเยาะพร้อมกับมองหน้าเขา รอยยิ้มของนางนั้นทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย

“ก็ได้ ถ้ายังดื้อดึงเช่นนี้อยู่” เฮ่อเหลียนกวงเย่ายิ้มด้วยความโกรธสุดขีด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็ไสหัวไปเสีย ตระกูลเฮ่อเหลียนไม่ต้องการคนไร้ค่าอย่างเจ้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เวยเวยก็หัวเราะออกมาช้าๆ “นั่นคือจุดประสงค์ของเจ้าใช่หรือไม่ เพื่อจะแก้แค้นให้ลูกสาวสุดที่รักของเจ้า เจ้าก็เลยร่วมมือกับผู้อาวุโสทั้งหมดเพื่อขับไล่ข้าออกจากตระกูล แต่เจ้าอย่าลืมกฎของตระกูลเฮ่อเหลียนที่ระบุไว้ว่าหากผู้สืบสกุลที่มีสายเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป ก็ยังสามารถไปเข้าร่วมการทดสอบและกลับมาใหม่ได้ และยังสามารถมีอำนาจเหนือทุกคนในตระกูลได้ เฮ่อเหลียนกวงเย่า เจ้ายึดมรดกของข้าไป ข้าจะยอมถอยให้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หึ ข้าจะบอกอะไรไว้ สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องกลับมาตัดแขนซ้ายของเจ้าออก และหักแขนขวาของเจ้าอย่างแน่นอน”

บรรยากาศรอบข้างเงียบจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงลมหายใจเลย เวยเวยไม่คิดที่จะมองใบหน้าซีดเซียวของเฮ่อเหลียนกวงเย่าด้วยซ้ำ จากนั้นก็โยนตราประจำตระกูลเฮ่อเหลียนลงบนพื้น นางหันหลังกลับด้วยความมั่นใจ และจงใจยิ้มอย่างชั่วร้าย โดยไม่สนใจเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังตกตะลึงเลยแม้แต่น้อย

ปัง!

เฮ่อเหลียนกวงเย่าเตะเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้ากระเด็นออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงเท้าของตนเองเลย ขณะเดียวกัน เขาก็จ้องมองแผ่นหลังของเวยเวยและกัดกรามแน่น นังคนไร้ค่านั่นยังคิดที่จะยึดอำนาจของทั้งตระกูลเอาไว้ เป็นความฝันที่ช่างโง่งมเสียจริงๆ

“ผู้อาวุโสเนี่ย” เฮ่อเหลียนกวงเย่าพยักหน้าอย่างเย็นชา ก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยประคองผู้อาวุโสให้ลุกขึ้นมาจากพื้น “เมื่อสักครู่นี้ มันเกิดอะไรขึ้น”

ผู้อาวุโสเนี่ยไม่สนใจและโบกมือ “ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นใช้วิธีสกปรกอะไร จู่ๆ ขาของข้าก็อ่อนแรงลง”

“ไม่ใช่ว่านางไปฝึกพลังปราณมาใช่ไหม” หลังจากได้ยินคำพูดของเวยเวย ก็มีใครบางคนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ผู้อาวุโสเนี่ยเย้ยหยัน “นางน่ะหรือจะฝึกพลังปราณ คนอย่างนังไร้ค่าคนนั้นน่ะหรือ พวกเจ้าก็เคยเห็นกันแล้วว่าร่างกายของนางไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังปราณเลยสักนิด แล้วนางจะใช้พลังปราณที่ไหนมาฝึกฝนเล่า อีกอย่าง คุณหนูเจียวเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ แม้ว่านังขยะนั่นจะมีพลังปราณ แล้วนางจะทำอะไรได้ แม้ว่านางจะฝึกพลังปราณอีกสักร้อยปี ก็ไม่สามารถเอาชนะคุณหนูเจียวเอ๋อร์ได้”

เมื่อพูดถึงเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ “ข้าไปหาเจียวเอ๋อร์เมื่อสองวันก่อน ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักที่นางก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว”

“ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้วหรือ” เหล่าผู้อาวุโสต่างเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี คุณหนูเจียวเอ๋อร์สามารถพัฒนาขึ้นอีกครั้ง นางช่างเป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง”

เฮ่อเหลียนกวงเย่าโบกมืออย่างสุภาพ “ในอีกไม่กี่วัน จะมีการแข่งขันประลองยุทธ์ และเมื่อถึงเวลานั้น อดีตฮ่องเต้ก็จะมาชมการแข่งขันที่หอเฟิ่งหวงด้วยตัวเอง นางจะต้องฝึกฝนอย่างหนัก เพราะนางต้องการที่จะชนะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าผู้อาวุโสก็ยิ่งคิดว่าพวกตนเลือกถูกข้างแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับหญิงไร้ค่าคนนั้น อนาคตของคุณหนูเจียวเอ๋อร์ก็ไปได้ไกลกว่า นอกจากนี้ พวกเขายังได้ข่าวมาว่าคุณหนูเจียวเอ๋อร์มีโอกาสจะได้ขึ้นเป็นพระชายาอีกด้วย

ตราบใดที่พวกเขายึดเกาะ ‘เรือ’ ลำนี้ไว้อย่างแน่นหนา ในอนาคต การงานของพวกเขาก็จะไปได้ดีอย่างแน่นอน ส่วนนังผู้หญิงไร้ค่าคนนั้น ก็น่าจะพ่ายแพ้จนหน้าคะมำจากการโดนหมัดแรกตั้งแต่เข้าแข่งขันรอบแรกแล้ว และกลายเป็นเป็นตัวตลกจริงๆ

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้เลยว่าในโลกนี้ยังมีผู้ฝึกปราณบางคนที่แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพลังปราณใดๆ แต่พวกเขาก็ยังสามารถควบคุมลม น้ำ และฝนในโลกได้

ผู้ฝึกปราณประเภทนี้ถือว่าพบเห็นได้ยากมากในรอบร้อยปีเลยทีเดียว และพวกเขาก็ทรงพลังยิ่งกว่าผู้ฝึกปราณระดับทองเสียอีก

และเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นผู้ฝึกปราณประเภทนั้นนั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหยวนหมิง ปีศาจที่น่าหวาดกลัวและอยู่ยงคงกระพันมานานหลายปีก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในร่างของนางด้วย

“สักวันพวกเขาจะต้องเสียใจ” ในที่สุด หยวนหมิงก็ฟื้นขึ้นมา และยังดูมีท่าทีหยิ่งยโสกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย โดยเฉพาะมือของเขาในตอนนี้ช่างงดงามจริงๆ

เจ้าแมวสีขาวเงี่ยหูของมัน และมองร่างที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเวยเวย แล้วรู้สึกตื่นกลัว คือเขานั่นเอง

“อ้อ ข้าลืมแนะนำพวกเจ้าไป เสี่ยวไป๋ นี่คือหยวนหมิง หยวนหมิง นี่คือเสี่ยวไป๋” เวยเวยยืดร่างกายอย่างเรียบเฉย และไม่ได้ดูเหมือนกับคนที่เพิ่งถูกไล่ออกจากตระกูลแต่อย่างใด

มุมปากของแมวสีขาวตัวนั้นกระตุกอย่างเกรี้ยวกราด เขาเคยพูดหลายรอบแล้วว่าเขาชื่อไป๋เหอ

“เจ้าเป็นทายาทของเผ่าไป๋เจ๋อหรือ” หยวนหมิงรวบผมของตนเองแล้วสะบัดไปด้านหลัง ท่าทีของเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นปีศาจร้ายออกมา “ไม่แปลกใจเลยว่าตอนที่ข้ากำลังหลับใหลอยู่ ถึงมีบางอย่างพังเข้ามา ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้านี่เอง”

แมวสีขาวตัวนั้นทำสีหน้าเย็นชา และไม่อยากที่จะพูดคุยกับเทพปีศาจที่มาร่วมฉลองกับตระกูลของพวกเขา

ในทางกลับกัน เฮ่อเหลียนเวยเวยไล่นิ้วไปแตะบนริมฝีปากบางของตนเอง และยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไปเค้นเลือดจากคนโง่พวกนั้นกันเถอะ…”