บทที่ 80 ถังทองอันดับหนึ่ง

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง และแสงไฟต่างๆ ก็ถูกจุดจนสว่างสไว เมื่อมองจากระยะไกล ก็จะเห็นแสงสว่างเหล่านั้นงดงามตระการตา

ถนนตรงทางแยกที่ตัดกันนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงาม และตรงหัวมุมถนน ขอทานคนหนึ่งที่กำลังนอนขดตัวอยู่นั้นถูกปลุกขึ้นมาจากเสียงเศษเหรียญที่ตกกระทบกับขัน

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น พระอาทิตย์ก็ตกจนเป็นเวลากลางคืนแล้ว หางตาของเขาเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่พร้อมกับแมวสีขาวอีกหนึ่งตัวที่กำลังคลอเคลียอยู่บนไหล่ของนาง มุมปากของหญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมา “ข้าจะให้เงินเจ้าสิบตำลึง เจ้าแค่ถอดเสื้อผ้าออก แล้วขายมันให้กับข้า”

จะมีธุรกิจใดที่ได้กำไรมากว่านี้อีกเล่า นี่มันเหมือนกับได้อาหารสอดไส้เนื้อชิ้นใหญ่มาอย่างไม่มีเหตุผล

ขอทานคนนั้นรีบลุกขึ้นยืนทันที และรีบถอดเสื้อคลุมยาวที่ขาดรุ่งริ่งของตนเองออกอย่างรวดเร็ว

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะดีดนิ้วชี้เพื่อสะบัดเงินสิบตำลึงลงในขันที่แตกร้าวของอีกฝ่าย จากนั้น มือของนางก็เกี่ยวเสื้อคลุมขึ้นมาพาดบนบ่าของตนเอง นางสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว และดูสง่างามอย่างมาก

หลังจากนั้น เสื้อคลุมที่ขาดรุ่งริ่งก็ถูกสวมใส่จนเข้าที่เข้าทาง และในที่สุด ผู้หญิงคนนั้นก็กลายเป็นขอทานตัวน้อย

นางเอื้อมมือไปขยับปกคอเสื้อคลุม และเดินเข้าไปในตรอกมืดๆ มุมปากของนางเผยรอยยิ้มออกมา ขณะเดินเข้าไปในจวนตระกูลเนี่ย ซึ่งเป็นตระกูลทหารที่มีชื่อเสียง และอยู่ไม่ไกลนัก…

ทหารที่เฝ้าหน้าประตูเคยเห็นขอทานพวกนี้มาบ้างแล้ว พวกเขามองนางอย่างเหยียดหยาม พร้อมกับโบกมือไล่นาง “ออกไปๆๆ จะไปที่ไหนก็ไป แต่ออกไปจากที่นี่เสีย นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาได้”

ขอทานคนนั้นไม่ได้โกรธและทำเพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น ขณะที่ลมอ่อนๆ เริ่มพัดผ่าน หญิงสาวก็หมุนตัวพร้อมกับเตะขา ทำให้เกิดลมพัดตามมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับมีดที่ทิ่มแทงกระดูก

ปัง

ประตูทางเข้าของจวนตระกูลเนี่ยกระเด็นออกไปด้วยแรงเตะ และเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่

ทหารที่เฝ้าประตูต่างก็ตะลึงงัน พวกเขามองขอทานคนนั้นเดินเข้าไปราวกับที่ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ และในที่สุดพวกเขาก็ตะโกนออกมา “ตั้งแถว เร็วเข้า รีบตั้งแถว มีผู้บุกรุกที่นี่!”

ในเมืองหลวงแห่งนี้ ตระกูลทหารทุกตระกูลจะมีรูปแบบการต่อสู้เฉพาะของตนเอง

คนกลุ่มนี้ได้รับการดูแลอย่างดีจากตระกูล และพวกเขาก็ยินดีที่จะรับใช้จนตัวตาย

ทหารที่เฝ้าหน้าประตูตะโกน ไม่นานนัก กลุ่มคนชุดดำจำนวนมากก็ทะยานจากยอดไม้ลงมาบนพื้น และล้อมรอบตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ตรงกลางลาน

พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบสีดำ และแสดงสีหน้าข่มขู่ ก่อนจะกระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายจากทุกทิศทาง

ขอทานคนนั้นเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ฝ่ามือเรียวของนางยันกับพื้นและหลบขายาวๆ ที่พุ่งมาทางนาง ร่างกายของหญิงสาวถูกลมห้อมล้อม พร้อมกับทะยานไป มุมปากของนางเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ในขณะเดียวกัน นางก็หมุนตัวท่ามกลางกลุ่มคนชุดดำราวกับเป็นภูตผี ผมยาวของนางสะบัดพลิ้ว ขณะที่นิ้วมือของนางก็จับเข้าที่ข้อเท้าของอีกคนเอาไว้ ก่อนจะกระชากอย่างรุนแรง กรอบ แกรบ ฟิ้ว ปัง มีเพียงแค่เสียงของการเคลื่อนไหวเท่านั้นที่ดังขึ้น

เงาทั้งสิบแปดร่างนั้นเริ่มรู้สึกสับสนและดูยุ่งเหยิงมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด เมื่อพวกเขากำลังจะตอบโต้ พวกเขาทั้งหมดก็ถูกบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น

ทหารที่เฝ้าประตูขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ขณะมองดูเหล่าเงาทมิฬที่ขดตัวมากอดขาของตัวเอง คลื่นขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา

แม้ว่ารูปแบบการต่อสู้ของกลุ่มตระกูลเนี่ยจะไม่ได้เก่งกาจที่สุดในเมืองหลวง แต่ก็เป็นรูปแบบการต่อสู้ขนาดใหญ่ที่ไม่อาจถูกจัดการได้ง่ายๆ

หากไม่มีพลังปราณธาตุไม้ ระดับห้าหรือสูงกว่า ย่อมไม่สามารถทำลายรูปแบบนี้ได้

หรือว่า

พลังปราณของขอทานคนนั้นจะอยู่ในธาตุไม้ ระดับห้าเช่นนั้นหรือ

เป็นไปได้อย่างไรกัน

ไม่ต้องพูดถึงธาตุไม้ ระดับห้าเลย แม้แต่ธาตุน้ำ ระดับห้ายังต้องถูกระบุตัวตนและจดบันทึกในวังด้วยซ้ำ

เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะเป็นธาตุไฟ และเป็นเรื่องยากมากที่จะก้าวข้ามมาในระดับขั้นนั้นได้

ภายในจักรวรรดิจ้านหลง คนที่สามารถไปอยู่ในธาตุน้ำได้ หากไม่ใช่ทายาทของตระกูลทหารที่มีอิทธิพลแล้ว พวกคนธรรมดาก็คงได้แค่ฝันถึงเท่านั้น

แต่ตอนนี้ จู่ๆ ก็มีขอทานตัวน้อยที่มีภูมิหลังไม่ชัดเจนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขา

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!

“รีบไปแจ้งนายท่านเร็วเข้า”

หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ทหารที่เฝ้าหน้าประตูก็อยากจะรีบวิ่งไป

“รอเดี๋ยว”

“อะไร”

“นางหนีไปแล้ว”

“หนีไปแล้วเช่นนั้นหรือ”

บรรยากาศในลานของจวนตระกูลเนี่ยแทบจะเรียกได้ว่า ‘น่าเศร้าจนไม่อาจมองดูได้’

คนชุดดำนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด

ขอทานที่ยืนอยู่บนหลังคาเพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น คำพูดของนางฟังดูชัดเจนและเยือกเย็นราวกับสายลม “ขอบใจนะ คู่ฝึกซ้อม”

ขอบใจนะ คู่ฝึกซ้อม…

ขอบใจนะ คู่ฝึกซ้อม…

ขอบใจนะ คู่ฝึกซ้อม…

“คู่ฝึกซ้อมเช่นนั้นหรือ” ผู้อาวุโสเนี่ยที่รีบกลับมาจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ เพื่อกลับจวนของตนเอง เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน เขาก็ก้าวยาวๆ ไปตรงกลางลาน ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น แล้วโยนลูกประคำในมือลงพื้นอย่างแรง มันแตกสลายเป็นผุยผง

“มันเป็นใครมาจากไหนกัน!”

ผู้อาวุโสเนี่ยรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ จะมีคนกล้าท้าทายตระกูลที่มีอำนาจเช่นนี้ แม้ว่าตระกูลของเขาจะไม่ใช่ตระกูลทหารที่เก่งกาจที่สุด แต่พวกเขาก็เป็นสายหลักของตระกูลเฮ่อเหลียน และเขาก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกด้วย

แต่วันนี้กลับมีคนฉวยโอกาสตอนที่เขาไปคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ และเข้ามาทำลายจวนของเขาเช่นนี้

เท่านั้นยังไม่พอ!

คู่ฝึกซ้อมเช่นนั้นหรือ

จวนตระกูลเนี่ยผู้ยิ่งใหญ่มีไว้ให้เจ้าโจรตัวน้อยคนนั้นเข้ามาฝึกซ้อมวิชาด้วยเช่นนั้นหรือ!?

“ไปสืบเรื่องนี้มาให้ข้า หลังจากได้คำตอบแล้ว ข้าจะฆ่าไอ้ขอทานตัวน้อยนั่นด้วยตัวเอง” ผู้อาวุโสเนี่ยกัดฟันกรอดขณะพูด นัยน์ตาของเขาฉายแววดุร้ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ขอรับ” ทหารที่เฝ้าหน้าประตูแต่ละคนก้มหน้าลงและไม่กล้าที่จะพูดเสียงดัง

ลานของจวนตระกูลเนี่ยดูรกร้าง จนบรรยากาศนั้นดูเคร่งขรึมอย่างไม่อาจหาคำบรรยายได้

ผู้อาวุโสเนี่ยดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ก่อนจะหันหน้ามา แล้วพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “หากใครบังอาจเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปพูดข้างนอก ก็ระวังชีวิตอันไร้ค่าของพวกเจ้าเอาไว้ด้วย”

“เจ้าค่ะ”

ครั้งนี้ คนที่ตอบคือเหล่าสาวใช้ พวกนางคุกเข่าลงบนพื้น และตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ เห็นได้ชัดว่าพวกนางหวาดกลัวกับคำพูดของชายชราผู้นี้ และไม่กล้าแม้แต่จะมองไปรอบๆ

ทุกวันนี้ ตระกูลที่มีอิทธิพลแต่ละตระกูลล้วนแต่มุ่งมั่นกับการทดสอบพลังปราณที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่นานนี้ โดยปกติแล้ว พวกเขาทุกคนมักจะแอบฝึกฝนกันอย่างเข้มงวด โดยไม่มีใครยอมใครเลย

หากคนภายนอกรู้ว่าสายหลักของตระกูลเฮ่อเหลียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเนี่ย ถูกขอทานไม่ทราบที่มาเข้ามาทำร้ายอย่างกะทันหัน และไม่สามารถตอบโต้ได้เลย หากเรื่องเช่นนี้แพร่ออกไปข้างนอก ตระกูลเนี่ยก็จะกลายเป็นเรื่องตลกอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่ฟางซื่อเชาไม่คาดคิดก็คือในระยะเวลาสามวันติดกัน นอกจากตระกูลเนี่ยแล้ว ยังมีอีกสามตระกูลที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกขอทานที่ไม่รู้ที่มาจู่โจมในรูปแบบเดียวกัน

หากตระกูลที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้มีเพียงตระกูลเดียว ก็ยังพอจะปกปิดเป็นความลับได้ แต่ทว่า ตระกูลที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองหลวงกลับต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน กระดาษไม่อาจห่อไฟไว้ได้[1] มันยากที่จะปิดเป็นความลับเอาไว้

ทั่วทั้งมืองหลวงต่างสั่นคลอน ผู้คนในตระกูลทั้งหลายต่างก็ตามหาตัวขอทานคนนั้น จนถึงขนาดประกาศรางวัลนำจับหนึ่งแสนตำลึงเลยทีเดียว พวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายเงินจำนวนนั้น

ในขณะนั้นเอง ขอทานคนนั้นก็เปลี่ยนโฉมของตัวเองด้วยการสะบัดตัวเพียงครั้งเดียว ก็กลายเป็นศิษย์คนหนึ่งในสำนักไท่ไป๋ที่กำลังอยู่ระหว่างการทำการค้าแรกที่แท้จริงของนางที่สามารถทำกำไรได้ในยุคโบราณ

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้ว ข้าแปลกใจนักที่กำลังเจรจาการค้ากับหญิงสาวเช่นนี้” คนที่พูดอยู่นี้คือเฮยเจ๋อ ลูกชายคนรองของตระกูลเฮย ซึ่งเป็นตระกูลที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักในเมืองหลวง

เขาเป็นทหารรุ่นที่สองของกองกำลังทางตอนเหนือ และเป็นชายรูปงามที่หน้าตาหล่อเหลาเป็นอันดับห้าของเมืองหลวง นอกจากนี้ยังแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดอีกด้วย ร่างกายที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมอย่างสง่างามและหรูหรานั้นหมุนตัวกลับมานั่ง ก่อนจะเอามือเท้าคาง เขามองดูเวยเวยตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยิ้มให้ “คนไร้ค่าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจที่ใครๆ รู้จัก กลับสามารถสร้างอาวุธได้ในระดับดีทีเดียว”

[1] กระดาษไม่อาจห่อไฟไว้ได้ เป็นสำนวน เปรียบเทียบว่า ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้