โดยปกติแล้ว ทุกคนที่พบเจอเฮยเจ๋อต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเขา เพราะร่างกายของเขามีกลิ่นคาวเลือดรุนแรง แม้แต่ศิษย์ของตระกูลทหารที่มีชื่อเสียงก็ยังไม่กล้าที่จะยั่วยุเขา

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่มีท่าทีขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นางยกมุมปากขึ้นครึ่งหนึ่ง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเราจะไม่เอาเปรียบกัน แต่จะร่วมมือกัน คุณชายเฮยทำธุรกิจ และระหว่างทำธุรกิจด้วยกัน เราก็จะเก็บรักษาความลับของหุ้นส่วนเสมอ ด้วยวิธีนี้ เราก็จะร่วมมือกันไปได้นาน เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เงินอยู่ไหนเล่า”

เฮยเจ๋อเงียบปากลง พร้อมกับเอื้อมมือออกไป แล้วเสื้อคลุมสีดำก็หล่นลงมา ภายในนั้นมีกองเงินอัดแน่นอยู่ “ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งแสนตำลึง เจ้าไปดูที่สมุดบัญชีเพื่อยืนยันได้เลยว่าจริงหรือไม่”

ขวับ!

ในขณะที่เวยเวยยกเสื้อสีดำขึ้นเพื่อจะสวมใส่อีกครั้ง นางก็พูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “ในเมื่อคุณชายเฮยบอกว่ามันคือหนึ่งแสนตำลึง มันก็จะต้องเป็นหนึ่งแสนตำลึง ทำธุรกิจกัน ก็คุยกันแต่เรื่องธุรกิจเถอะ”

นิ้วมือของเฮยเจ๋อชะงักไป พร้อมกับมีแสงวาบในดวงตา เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะจากไป เขาก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่บอกพวกเขาว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาท่านปรมาจารย์ในการไต่เต้าเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้าสามารถสร้างอาวุธได้เองจริงๆ”

เฮ่อเหลียนหยุดชะงัก และคิ้วเรียวยาวของนางก็ขมวดเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของเฮยเจ๋อด้วยสองคำ “ยุ่งยาก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮยเจ๋อก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จในเรื่องอาวุธ ทำให้ผู้คนมาที่หอชั้นเยี่ยมกันอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อขอให้เขาย้ายไปยังหอชั้นเลิศ

โชคไม่ดีนักที่เขาไม่สนใจที่จะมีพลังปราณสูงขึ้น เขาเพียงแค่อยากใช้เวลาทั้งหมดหาเงินเพิ่มมากกว่า

เขามีความสุขกับการที่ได้ถือครองความมั่งคั่งของโลกใบนี้ไว้ในมือของตนเองมากยิ่งกว่าคุณชายจากตระกูลที่มีอิทธิพลคนอื่นๆ

นั่นเป็นสาเหตุที่ตระกูลเฮยมีร้านค้าทั้งใหญ่และเล็กในเมืองหลวงไม่ต่ำกว่าสิบร้าน

แต่ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคิดที่จะใช้อาวุธเพื่อทำเงินเลย

จนเขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งและอาวุธสามอย่างเมื่อไม่นานมานี้ จากนั้น เขาก็ร่วมมือเป็นหุ้นส่วนกับร้านขายอาวุธแห่งหนึ่งตรงเชิงเขา

ความแตกต่างระหว่างร้านขายอาวุธแห่งนั้นกับร้านอื่นๆ คือ ไม่ได้ขายสินค้าที่มีคุณภาพแบบขายปลีกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังขายส่งอีกด้วย

ไม่ใช่ว่าทุกคนอยากได้อาวุธเพียงแค่ชิ้นเดียวใช่ไหมเล่า ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถจัดหาอาวุธให้คนพวกนั้นได้

อย่างไรก็ตาม คุณภาพของอาวุธก็ยังขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่จ่ายด้วย

คุณภาพของอาวุธจะดีขึ้นตามเงินที่เพิ่มขึ้น

แต่หากจำนวนเงินน้อยลง คุณภาพก็จะลดลงตามไปด้วยนั่นเอง

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ความต้องการในตลาดก็ยังชื่นชอบสินค้าของพวกเขา เพราะตราบใดที่เหล่าผู้ฝึกปราณยังรู้สึกไม่มั่นใจ การมีอาวุธในครอบครองเป็นของตนเองก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลก

แม้แต่ศิษย์ของสำนักไท่ไป๋ ก็ยังต้องการมองหาสิ่งสำคัญนั้น เพื่อจะได้มีอาวุธอยู่ในมือ

หึ หากพวกเขารู้ว่าอาวุธที่พวกเขาอยากได้นั้น ถูกสร้างจากมือของหญิงสาวที่พวกเขาเรียกว่า ‘คนไร้ค่า’ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีสีหน้าเช่นไร

นอกจากนี้ เขายังไม่ใช่คนเปิดร้านค้าแห่งนี้ด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ช่วยทำงานให้ ‘คนไร้ค่า’ คนนั้นเท่านั้น

มุมปากของเฮยเจ๋อโค้งขึ้นพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายเล็กน้อย “ถึงกระนั้นก็เถอะ เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ก็เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว”

“นายน้อยกำลังพูดถึงใครอยู่หรือขอรับ” ข้ารับใช้ที่เพิ่งนำน้ำเข้ามาเบิกตาโต “ข้าขอร้องคุณชายเป็นล้านครั้งแล้วว่าอย่าทำอะไรที่สำนักศึกษาแห่งนั้น มิเช่นนั้น นายท่านจะฆ่าข้าเอานะขอรับ”

เฮยเจ๋อหัวเราะ “นายน้อยเช่นข้าเพียงต้องการที่จะแต่งงานเท่านั้น ท่านปู่ไม่ได้ส่งข้าไปที่สำนักไท่ไป๋เพื่อให้ข้าหาภรรยาที่ดีหรอกหรือ แล้วเจ้าจะกลัวอะไรเล่า หืม”

ข้ารับใช้ตัวน้อยอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา “ปู่ของท่านบอกให้ท่านหาคนที่มีพื้นเพทางตระกูลที่เหมาะสม แต่ไม่ได้บอกให้ท่านมองหาคนที่เพิ่งถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลนะขอรับ สวรรค์ทรงโปรด”

“ถูกไล่ออกจากตระกูลเช่นนั้นหรือ” เฮยเจ๋อลุกขึ้นยืนแล้วหยุดชะงักกลางคัน เขาหันศีรษะกลับมามองข้ารับใช้ตัวน้อย “ใครถูกขับไล่ออกจากตระกูลหรือ”

ข้ารับใช้ตัวน้อยซักผ้าเช็ดมือและส่งให้กับคุณชายที่น่าเกรงขามของตระกูล “จะใครอีกเล่าขอรับ ถ้าไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษาแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเพราะผู้อาวุโสทั้งสี่คนเห็นว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถูกกลั่นแกล้ง ก็เลยรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาจึงรวมตัวกันเพื่อหาข้อสรุป และเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ไม่ได้ปกป้องนางเลยขอรับ”

“หึ” เฮยเจ๋อหยิบผ้าเช็ดหน้ามาแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ช่างโง่เขลายิ่งนัก”

โง่เขลายิ่งนักหรือ ใครกันที่โง่เขลา ข้ารับใช้ตัวน้อยเกาศีรษะอย่างสับสน

ณ มุมรกร้างแห่งหนึ่งในสำนักศึกษาไท่ไป๋ เวยเวยกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่มุมหนึ่งตามปกติ

“สมองของผู้อาวุโสตระกูลเฮ่อเหลียนถูกลาเตะหรืออย่างไร” ห้วนหมิงเสียงที่ยืนอยู่ข้างๆ นาง หยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดพื้นอย่างฉุนเฉียว เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก “ตระกูลไม่ต้องการอัจฉริยะอย่างเจ้า หนำซ้ำ ยังขับไล่เจ้าออกมาด้วย มันเกิดข้อผิดพลาดตรงไหนกัน พวกเขาช่างโง่เขลาราวกับหมูก็ไม่ปาน”

ห้วนหมิงเสียงรู้สึกงุนงงและขมวดคิ้วสีขาวของตน “แล้วเรื่องนี้จะส่งผลอะไรกับการเข้าร่วมการแข่งขันประลองยุทธ์หรือไม่”

“ท่านไม่รู้กฎการแข่งขันหรือ” เวยเวยรู้สึกแปลกใจ เขาเป็นถึงรัฐบุรุษอาวุโสสามสมัยไม่ใช่หรือ

ใบหน้าชราของห้วนหมิงเสียงค่อยๆ แดงขึ้น “ข้าไม่ได้สนใจเรื่องการแข่งขันนี้มานานแล้ว”

“พวกทายาทของตระกูลทหารไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติใดๆ ก็สามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้โดยตรง”

“ส่วนผู้คนจากตระกูลอื่นๆ จำเป็นต้องชนะการแข่งขันรอบแรก และจะต้องได้รับรางวัลอันดับหนึ่งในการแข่งขันรอบแรกก่อนถึงจะเข้ารอบชิงชนะเลิศได้” หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ นางก็เห็นว่าห้วนหมิงเสียงตกอยู่ในภวังค์ ปากของเขาอ้ากว้างอย่างผิดปกติ

เวยเวยเลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น”

“แค่กๆ” ห้วนหมิงเสียงกระแอมไอสองครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า “ดูเหมือนว่าเมื่อสิบปีก่อน ข้าจะเป็นคนตั้งกฏเกณฑ์เหล่านี้เอง”

เฮ่อเหลียนเวยเวย : …

“แต่เจ้าวางใจเถอะว่าข้าสามารถทำให้พวกเขาเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้” ผู้อาวุโสห้วนรู้สึกอยู่าลึกๆ ว่าตนเองอาจกลายเป็น ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ กับศัตรูของเวยเวย

เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ “ไม่จำเป็นหรอก อย่างไรเสีย ข้าก็มีความสามารถที่จะเข้ารอบชิงชนะเลิศได้อยู่แล้ว”

ห้วนหมิงเสียงตกตะลึง หลังจากนั้นก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะนึกถึงเรื่องบางอย่าง นิ้วของเขาลูบเคราของตนเอง มุมปากนั้นโค้งเป็นรอยยิ้ม “เมื่อไม่นานมานี้ สี่ตระกูลใหญ่กำลังตามหาขอทานตัวน้อยคนหนึ่ง คนๆ นั้นคือเจ้าใช่หรือไม่”

“อืม ใช่ ข้าใช้พวกเขาฝึกฝีมือน่ะ” เวยเวยนวดคอของตนเอง “ข้าผิดเองที่ไม่ได้ดูแลร่างกายให้ดี ร่างกายของข้าจึงไม่ค่อยแข็งแรงนัก การได้ไปเล่นสนุกกับพวกเขาก่อนการแข่งขัน ก็ถือเป็นการฝึกซ้อมที่สมบูรณ์แบบทีเดียว”

เมื่อได้ยินดังนั้น ห้วนหมิงเสียงก็หัวเราะเสียงดังทันที “เยี่ยมมาก ไปเล่นสนุกกับพวกเขาก็ดีแล้ว นังหนู ในเมื่อเจ้าอยากเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย ข้าจะมอบของขวัญสองชิ้นให้กับเจ้า” หลังจากพูดจบ ร่างของห้วนหมิงเสียงก็หายวับไป ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับถืออาวุธและสายรัดถ่วงน้ำหนักอยู่ในมือ “นี่คืออาวุธที่ข้าเพิ่งได้มา สายรัดถ่วงน้ำหนักชิ้นนี้เป็นของที่ศิษย์หัวกะทิจากหอชั้นเลิศเท่านั้นที่จะครอบครองได้ พวกมันไม่ได้เพียงแค่ปิดบังพลังปราณของเจ้าเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าถอดมันออกระหว่างการแข่งขัน ร่างกายของเจ้าจะรู้สึกเบาสบายกว่าปกติหลายเท่าทีเดียว”

“ข้าต้องการสายรัดถ่วงน้ำหนัก ส่วนอาวุธชิ้นนั้น” เวยเวยมองไปที่อาวุธอีกชิ้น และตอบกลับอย่างเรียบเฉย “ผู้อาวุโสห้วน ท่านเอามันกลับไปเถอะ”

ห้วนหมิงเสียงรู้สึกมึนงง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอผู้ฝึกปราณที่ไม่ชอบอาวุธ “นังหนู อย่าคิดว่ามันเป็นเพียงอาวุธทั่วๆ ไปสิ มันไม่ได้แย่ไปกว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ของเจ้าสร้างขึ้นมาเลยนะ ”

“ข้ารู้ แค่มันไม่เหมาะกับข้า” นางจะบอกผู้อาวุโสห้วนได้อย่างไรเล่าว่าอาวุธชิ้นนั้นนางเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง และนางก็รู้ดีกว่าใครว่ามันมีข้อดีข้อเสียเช่นไรบ้าง

ห้วนหมิงเสียงไม่คิดว่าตนเองจะถูกปฏิเสธ ดังนั้น เขาจึงมองเวยเวยด้วยความขมขื่นที่เก็บซ่อนไว้ หึหึ

เวยเวยมองผู้อาวุโสสะบัดเคราสีขาวของตนเอง แล้วนางก็รู้สึกใจอ่อน ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ผู้อาวุโสคนนี้จะคอยให้คำแนะนำอยู่เคียงข้างนางเสมอ นอกจากปรมาจารย์ของนางแล้ว ก็ไม่มีใครปฏิบัติกับนางอย่างดีเช่นนี้มาก่อน

“เจ้ามัวแต่มองข้าเช่นนั้นอยู่ทำไมกัน” ห้วนหมิงเสียงมองนางอย่างภาคภูมิใจ “หากเจ้าไม่ต้องการมัน ก็ไม่ต้องรับไว้หรอก แต่ถ้าความแข็งแกร่งของเจ้ายังไม่มากพอ แล้วจะทำเช่นไรเล่า”