บทที่ 82 ฝ่าบาททรงกริ้ว

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะช้าๆ “ผู้อาวุโสห้วน ท่านลืมไปคำหนึ่ง”

“อะไรหรือ”

ดวงตาของเวยเวยมองไปทางหอชั้นเลิศที่อยู่ไม่ไกลออกไป ก่อนจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ทุกศาสตร์ของการต่อสู้ในโลกใบนี้ มีเพียงความเร็วเท่านั้นที่มองไม่เห็น”

ห้วนหมิงเสียงสะดุ้ง และมองหญิงสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ราวกับเลือดของนางกำลังเดือดพล่านขึ้นอีกครั้ง

เขาเชื่อว่าภายในจักรวรรดิจ้านหลง จะมีอัจฉริยะคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นหลังจากองค์ชายสาม

เพราะตอนนี้ อัจฉริยะคนนี้ได้เริ่มแสดงความสามารถอันน่าประหลาดใจของนางออกมาแล้ว และกำลังเตรียมทำการใหญ่บางอย่างอีกด้วย

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และแทบรอการแข่งขันประลองยุทธ์ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้ไม่ไหวแล้ว

ยามพลบค่ำ ทางด้านตะวันออกของหอชั้นเลิศ

“ท่านอาจารย์กลับมาแล้วหรือขอรับ” มู่หรงฉางเฟิงมองผู้อาวุโสที่ไม่ได้ปรากฏตัวบนที่นั่งด้านบนมาเป็นเวลานานด้วยแววตาเป็นประกาย

ร่างกายของผู้อาวุโสดูไร้เรี่ยวแรงราวกับเดินทางมาหลายที่ เขารีบดื่มน้ำอึกใหญ่ก่อนที่จะเอ่ยตอบ “ช่วงนี้ข้ายุ่งมากทีเดียว”

มู่หรงฉางเฟิงพอจะคาดเดาได้ “เจ้ายุทธ์อัจฉริยะที่ท่านอาจารย์ต้องการตามหาคนนั้นปรากฏตัวขึ้นหรือขอรับ”

“เจ้าคาดเดาได้ถูกต้อง” ผู้อาวุโสคนนั้นเงยหน้าขึ้น เคราสีขาวของเขาพลิ้วไหว เขาจะเป็นใครไปได้เล่าหากไม่ใช่อาจารย์ตู๋เทียนที่หายตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าไปตรวจสอบดูแล้ว ที่หอเฟิ่งหวงในช่วงเวลานั้น เรามุ่งเป้าไปที่ผู้คนจากเมืองหลวง เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนั้นจะต้องอยู่ในเมืองหลวง นางไม่ได้มาจากฝั่งทางใต้ของแม่น้ำหรือพื้นที่อื่น ซึ่งทำให้ข้าตามหาผิดทิศทางอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อข้ากลับมา ข้าได้เข้าไปในเมืองหลวง และได้ยินว่าการแข่งขันประลองยุทธ์ถูกเลื่อนให้เร็วขึ้น ข้ามีลางสังหรณ์ว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องปรากฏตัวในการแข่งขันอย่างแน่นอน”

มู่หรงฉางเฟิงไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ของเขาถึงยึดติดกับผู้หญิงที่เขาเคยพบเพียงแค่ครั้งเดียวถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม เขาเองก็อยากจะตามหาคนๆ นั้นให้เจอโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะได้ดูว่านางเป็นใครกันแน่…

เฮ่อเหลียนเวยเวยอ่านหนังสือของวันนี้เสร็จแล้ว จึงบอกลาห้วนหมิงเสียง เมื่อนางมาถึงหน้าประตูหอสามัญ นางก็หยุดฝีเท้าลงอย่างอดไม่ได้

สาเหตุไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเพราะพวกคนจากหอชั้นเลิศทำราวกับกำลังไล่จับอะไรอยู่ ปกติแล้ว พวกเขาจะอยู่ตรงไหนก็ได้ แต่น่าแปลกใจนักที่ตอนนี้ พวกเขากลับวิ่งมาทางหอสามัญ เวยเวยยักไหล่และคิดจะเดินอ้อมผู้คนเหล่านั้นไป เว้นแต่ว่าในขณะนั้นเอง มีชายหยิ่งยโสและสูงส่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา ชายคนนั้นลืมตาขึ้น ทำให้แสงแดดส่องผ่านใบไม้มาตกกระทบบนตัวของเขาราวกับว่ามีรัศมีแสงเปล่งออกมาจากร่างกายของเขา

เป็นองค์ชายสามนั่นเอง…

เขาเห็นนางแล้วเช่นนั้นหรือ

เวยเวยเลิกคิ้วขึ้นและก้มหน้าลง นางมีท่าทีหงุดหงิดใจเล็กน้อย หลังจากสบถ นางก็เตรียมจะปลีกตัวออกไป…

“เจ้าซักผ้าเช็ดหน้าให้ข้าแล้วหรือยัง” น้ำเสียงของชายคนนั้นยังคงไพเราะน่าฟังเหมือนเดิม ท่วงท่าของเขาราวกับมีแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้คน เหล่าคุณหนูและคุณชายจากตระกูลผู้สูงศักดิ์รอบๆ เขาต่างก็รู้สึกแปลกใจขณะหันไปทางเขา และมองไปรอบๆ ราวกับไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันนี้ที่องค์ชายสามผู้หยิ่งผยองและเฉยเมยจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเสี้ยววินาที ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังพูดอยู่กับใคร

มีเพียงเวยเวยเท่านั้นที่หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันหน้าไปมองทางผู้ชายคนนั้นอย่างสง่าผ่าเผย นางเห็นเพียงถ้วยชาใบเล็กที่อยู่ในมือของเขา นิ้วมือเรียวยาวทั้งสิบนั้นช่างดูงดงามราวกับว่ามีรังสีเปล่งแสงออกมาจางๆ ตรงปลายนิ้วมือ

ดวงตาของเขาไม่ได้มองมาที่นางเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังหมุนถ้วยชาใบเล็กๆ อยู่ น้ำเสียงของเขาดูไม่แยแสสิ่งใดราวกับเป็นหิมะอันเยือกเย็น

เฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งริมฝีปากของตนและหัวเราะออกมา แม้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายสามผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย “ข้าซักเสร็จแล้ว แต่เมื่อคืนนี้ลมแรงมาก ข้าเลยไม่รู้ว่ามันถูกพัดปลิวไปไหนแล้ว”

นางโกหก เมื่อคืนนี้ นางเอาผ้าเช็ดหน้าไปขายให้กับพ่อค้าคนหนึ่ง สิ่งของที่องค์ชายสามใช้นั้น ย่อมเป็นสินค้าที่ทุกคนตื่นเต้นอย่างแน่นอน

แต่นางไม่ได้โง่พอที่จะบอกความจริงกับเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

“ปลิวไปตามลมเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดซ้ำอย่างไตร่ตรองในถ้อยคำเหล่านั้น หลังจากนั้น มือของเขาที่กำลังหมุนถ้วยชาอยู่ก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ พร้อมกับสั่งขันทีซุนที่นั่งรออยู่ข้างๆ “ไปหยิบของสิ่งนั้นมาให้นางดูที่นี่”

“พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนรับคำสั่ง และเดินไปยังศาลาด้านนอก เมื่อเดินผ่านเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เหลือบมองนางด้วยสายตาที่มีความนัยบางอย่าง

ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าวันนี้ เขาก็ไม่รู้ว่านายท่านของเขากำลังคิดอะไรอยู่

เนื่องจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ชอบเสียงดังวุ่นวาย ไม่เพียงแค่เขายอมตอบรับคำเชิญจากหอชั้นเลิศเท่านั้น แต่เขายังย้ายงานชมดอกไม้ที่ตอนแรกจัดอยู่ในหอชั้นเลิศมาที่หอสามัญอีกด้วย

ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งใจทำเช่นนั้นให้กับใครบางคน

ขันทีซุนส่ายศีรษะ เป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องคิดมากไปเองแน่ ฝ่าบาทคงจะรู้สึกว่าหอสามัญมีคนน้อยกว่าและเงียบสงบกว่า จึงเลือกที่จะย้ายมาที่นี่แทน

อย่างไรก็ตาม เหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายกลับไม่คิดเช่นนั้น

ในใจของพวกนางเต็มไปด้วยความริษยา จนมันแสดงออกทางสีหน้าอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่กำลังกำถ้วยชาขนาดเล็กในมือแน่น ขณะนั้นเอง ดวงตาคู่สวยของนางก็เต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่กำลังก่อตัวขึ้น

นางนั่งอยู่ข้างชายคนนั้นมาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ได้ยินฝ่าบาทคนนี้พูดอะไรสักคำ

นังแพศยานั่นเพิ่งจะมา แต่กลับได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้นางเอาผ้าเช็ดหน้าของฝ่าบาทไปไม่ใช่หรือ

นางไม่รู้ได้อย่างไรว่านังชั่วนั่นมีแผนการมากมายเช่นนี้

ก่อนหน้านี้ที่นางยังหลงใหลในตัวมู่หรงฉางเฟิง เจียวเอ๋อร์เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการจะใกล้ชิดกับมู่หรงฉางเฟิงเท่านั้น และไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด นางก็จะทำตัววุ่นวาย เอาแต่ใจ และก้าวร้าวราวกับเป็นสามัญชนทั่วไป

แต่ตอนนี้ นางกลับใช้ผ้าเช็ดหน้าเพียงผืนเดียวนั้น เพื่อทำให้ฝ่าบาทยอมลดตัวลงมาครั้งแล้วครั้งแล้ว แผนการของนางช่างลึกซึ้งและแยบยลมากทีเดียว

“ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ให้ขันทีไปเอาของสิ่งใดมาให้ผู้หญิงคนนั้นดูหรือเพคะ” บุตรสาวท่านแม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างอ่อนหวาน จริงๆ แล้ว เมื่อคืนนี้ ขันทีซุนมาหานาง ดังนั้น ฝ่าบาทจะต้องคิดว่านางเป็นคนพิเศษอย่างแน่นอน

ต้องบอกว่าผู้หญิงคนนั้นมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จริงๆ แล้ว หากเมื่อคืน นางไม่ใช่คนที่ซื้อผ้าเช็ดหน้าที่พ่อค้าอ้างว่าองค์ชายสามเคยใช้มาก่อน ขันทีซุนก็คงไม่ตามหานาง

“ฝ่าบาท…” ราวกับว่าผู้หญิงที่มาจากจวนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นต้องการจะพูดอะไรเพิ่มเติม

แต่แล้วไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ขัดจังหวะนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

ถ้อยคำอันเยือกเย็นทั้งสี่คำนั้นแทรกซึมลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของนาง

ผู้หญิงคนนั้นถอยหลังออกไปอย่างหวาดกลัวจนเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา

“โหรวเอ๋อร์” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แตะหลังมือของผู้หญิงคนนั้นอย่างอ่อนโยนและเป็นห่วง แต่ในใจของนางกลับกำลังเยาะเย้ยอีกฝ่าย นางเป็นเพียงบุตรสาวท่านแม่ทัพ แต่กลับใฝ่ฝันในสิ่งที่นางไม่คู่ควร ช่างไม่รู้กาลเทศะและยังกล้าพูดคุยกับฝ่าบาทโดยตรงเช่นนั้น ก็สมควรแล้วที่จะถูกเขาเกลียด

แต่หลิวหรั่นโหรวไม่รู้อะไรเลย หนำซ้ำ ยังรู้สึกสบายใจที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ปลอบโยนนางอีกด้วย ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างขุ่นเคืองใจพร้อมกับส่ายศีรษะของตนเอง

เวยเวยมองดูเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองนี้ แล้วมุมปากของนางก็เม้มเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยเล็กน้อย

เพียงเพราะผู้ชายแค่คนเดียวคนนั้นกลับทำให้บรรดาหญิงสาวทั้งหลายต้องเหนื่อยใจกับการเล่นสนุกนี้ แล้วพวกนางไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกันหรืออย่างไร

หากนางสามารถพูดได้ ก็คงจะบอกว่า ต่อให้ชายคนนั้นจะสูงศักดิ์เพียงใด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า

ในเมื่อพวกนางก็ยังต้องแบ่งเขาให้กับผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี

นางไม่อาจทนต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน

ในความคิดของเวยเวย ตราบใดที่ผู้หญิงร่ำรวยและแต่งหน้าให้งดงาม เพียงเท่านี้ นางก็ไม่กลัวว่าจะไปที่ไหนแล้ว

ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น หากนางพบเจอคนที่สามารถอยู่กับนางเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิตได้ นางก็จะแต่งงาน

แต่หากนางไม่พบเจอผู้ชายแบบนั้น นางก็อยากจะมีชีวิตอิสระเป็นของตัวเองมากกว่า

ดูเหมือนว่าความคิดที่ดูไม่ใส่ใจนั้น จะปรากฏออกมาให้เห็นตรงมุมปากของนาง

มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังดื่มชาอยู่นั้นหยุดชะงัก ก่อนที่แววตาของเขาจะเผยให้เห็นถึงความเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…