ตอนที่ 79 งั้นไม่เป็นไร

หลายวันต่อจากนั้น

หลินเยวียนยังคงไปๆ มาๆ ระหว่างห้องเรียนและชมรมจิตรกรรม รักษาความถี่ในการสอนสเก็ตช์ภาพวันละสองคนทุกวัน

สิ่งที่เขาไม่ได้สังเกตก็คือ

ช่วงนี้จงอวี๋มักจะซุบซิบกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ ราวกับกำลังแอบวางแผนสิ่งที่เขาเรียกว่าข่าวใหญ่อยู่แน่นอน

ต่อให้หลินเยวียนสังเกตเห็นก็ไม่ได้ใส่ใจแค่นั้นเอง

และหลังจากที่สอนการสเก็ตช์ภาพมานานหลายวัน หลินเยวียนก็เริ่มใคร่ครวญแล้วว่าจะสอนสีกวอชกับสีน้ำที่ซึ่งค่อนข้างใช้บ่อย เพื่อขยายฐานลูกค้าของตน

แต่เมื่อคิดว่าลำพังแค่การสเก็ตช์ภาพต่อให้สอนทุกวันก็ยังสอนสมาชิกชมรมได้ไม่ครบทุกคน เขาจึงล้มเลิกความคิดเป็นการชั่วคราว

ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน

ถึงยังไงหลังจากนี้ก็ยังมีเวลา

หลังจากนี้เขาจะเตรียมสอนจิตรกรรมแต่ละประเภทสักรอบ รวมไปถึงภาพวาดพู่กันจีนซึ่งมีระดับความยากสูง พรของ ‘อาจารย์’ ทำให้เขามั่นใจในการสอนมากขึ้น

นอกจากนั้นแล้วระบบยังเคยบอกว่า

ยิ่งคนที่ตนสอนมีมากขึ้น ผลของพร ‘อาจารย์’ ก็จะดีขึ้นด้วย

เมื่อผลของพร ‘อาจารย์’ ดีถึงระดับนั้น หลินเยวียนจะไม่ขึ้นราคาก็คงไม่ได้แล้ว

ขึ้นราคาได้อย่างเต็มภาคภูมิ

นั่นถึงจะเป็นแรงผลักอันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลินเยวียน

และหากพูดถึงเงิน วันที่หลินเยวียนชอบที่สุดในทุกๆ เดือนก็หนีไม่พ้นวันที่ห้า

วันที่ห้าของทุกเดือนล้วนเป็นวันธงชัย

วันที่ 5 เมษายน ก็เป็นวันธงชัยเช่นเดียวกัน

เพราะว่าในวันนี้ ในบัญชีเงินเดือนของเขา จะได้รับเงินโอนมาก้อนโต!

แต่ว่า…

ในครั้งนี้ ตอนที่หลินเยวียนได้รับข้อความแจ้งเตือนการโอนเงินจากธนาคาร ก็ตกตะลึงไป!

เพราะเขาพบว่า สวนแบ่งจากเพลงที่ตนได้รับในเดือนนี้ หลังจากหักภาษีจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ยังสูงกว่าหกแสนหยวน

ความจริงแล้ว ส่วนแบ่งจากเพลงของหลินเยวียนนั้นแทบจะสูงขึ้นทุกเดือน เพราะในตอนนี้หลินเยวียนมีเพลงที่ช่วยหาเงินทั้งหมดสี่เพลง

ยิ่งมีเพลงมาก ก็ยิ่งหาเงินได้เร็ว

รวมกับส่วนแบ่งจากยอดขายเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสในเดือนที่แล้ว และรายได้เสริมจากที่หลินเยวียนสอนในชมรมจิตรกรรมด้วยตนเอง และยังมีนิยายสั้นในปู้ลั่วซึ่งได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรโกยทรัพย์ด้วย…

เมื่อหลากหลายรายการรวมกัน รายรับสุทธิในเดือนที่แล้วของเขาทะลุสามล้านต้นๆ!

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเยวียนหาเงินได้เยอะขนาดนี้ ชั่วขณะหนึ่ง หลินเยวียนแทบจะอยากสั่งระบบผลิตผลงานออกมาสักหน่อย จะได้มาช่วยตนหาเงินให้มากขึ้น

แต่มาใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

รอให้ตนต้องการผลงานอย่างเร่งด่วน แล้วค่อยสั่งซื้อในระบบก็ได้ น่าเสียดายที่ทางบริษัทไม่ส่งออเดอร์มาให้ตนเลย

‘สั่งซื้อในระบบ[1]’

หลินเยวียนไม่ชอบคำนี้

ถ้าก่อนหน้านี้มีคนบอกเขาว่าวันหนึ่งเขาจะทำการสั่งซื้อในระบบเพื่อบรรลุสักเป้าหมายหนึ่งได้ หลินเยวียนคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นอยู่

ว่ากันว่า ‘ปรัชญาไม่ได้แก้โชคร้าย จ่ายเงินไม่ได้เปลี่ยนชะตาชีวิต’

ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็พบว่าถ้าหากตนต้องการเปลี่ยนชะตาชีวิต ก็ยังต้องใช้เงินอยู่จริงๆ ไม่งั้นเขาจะเก็บค่าความโด่งดังได้ยังไงล่ะ

……

สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์

แผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ

นักแต่งเพลงต่างกำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน

ในตอนนั้นเอง ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อสีดำตัวโคร่งก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู

หนึ่งในพนักงานแผนกประพันธ์เพลงเห็นผู้ชายคนนี้หน้าประตู ก็ผุดลุกพรวดขึ้นมา พูดจาตะกุกตะกัก

“ผู้…ผู้อาวุโส…”

“เป็นอะไร” อู๋หย่งซึ่งอยู่ด้านข้างมองตามสายตาของเพื่อนร่วมงานไป จากนั้นสายตาก็พลันจ้องเขม็ง หลุดปากโพล่งออกไป

“อาจารย์หยางเข้าบริษัทแล้ว!

คำพูดนี้ประหนึ่งจุดระเบิดทั้งแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบในชั่วพริบตา

คนทั้งชั้นสิบลุกพรวดขึ้นยืน มองผู้ชายเสื้อสีดำซึ่งสีหน้าเรียบเฉยด้วยแววตาซึ่งบ้างก็เปี่ยมความยกย่องเชิดชู บ้างก็ตะลึงลาน

“ผู้อาวุโส!”

“ผู้อาวุโส สวัสดีค่ะ!”

“ไม่พบกันนานนะครับ ผู้อาวุโส!”

“…”

เสียงกล่าวทักทายดังขึ้นเป็นระลอก

ผู้ชายชุดดำพยักหน้า ถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เหล่าโจวล่ะ”

ต่อให้เป็นนักแต่งเพลงมือทอง ก็ไม่กล้าเรียกหัวหน้าตรงๆ ว่าเหล่าโจว แต่ผู้ชายชุดสีดำคนนี้กลับเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หนำซ้ำทั้งแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบก็ไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะสม

เพราะผู้ชายคนนี้ก็คือพ่อเพลงเพียงคนเดียวของแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบ หยางจงหมิง

อู๋หย่งรีบร้อนเอ่ย “ผู้อาวุโสรอสักครู่นะครับ ผมจะโทรไปตามหัวหน้าเดี๋ยวนี้เลย”

“ไม่ต้อง”

หยางจงหมิงกล่าว ก่อนจะเดินไปยังตำแหน่งริมหน้าต่าง

แต่ทันทีที่ไปถึงหน้าโต๊ะ หัวคิ้วของหยางจงหมิงกลับขมวดเล็กน้อย สีหน้าแลดูราวกับเปี่ยมไปด้วยความไม่เข้าใจ

นี่เป็นโต๊ะทำงานริมหน้าต่างของเขา

เขาเป็นคนประเภทที่ไม่เข้าบริษัทระยะยาว

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น โต๊ะตัวนี้ก็ควรจะไร้รอยขีดข่วน ต้องมีคนมาปัดกวาดเช็ดถูให้ทุกวันสิถึงจะถูก

เพราะนี่คือที่ของเขา หยางจงหมิง

แต่ในตอนนี้ บนโต๊ะถึงกับมีหนังสือกองอยู่ไม่น้อย

อย่างเช่น สรุปทฤษฎีประพันธ์เพลง

อย่างเช่น คำอธิบายว่าด้วยคอร์ดอย่างง่าย

อย่างเช่น สามหลักสำคัญของการประพันธ์เพลงเบื้องต้น

หนังสือพวกนี้มาวางอยู่ในแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ ก็เต็มไปด้วยความผิดแปลกและไม่เข้าพวกแล้ว ฉะนั้นหยางจงหมิงจึงหยุดยืนหน้าโต๊ะอยู่เสียนาน

“แย่แล้ว!”

เมื่อเห็นหยางจงหมิงยืนอยู่หน้าโต๊ะของหลินเยวียน อู๋หย่งก็ใจหายวาบ

คนอื่นๆ ในแผนกประพันธ์เพลงรับรู้ได้ ต่างคนต่างมองหน้ากัน ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ที่ตรงนี้เดิมทีเป็นของอาจารย์หยาง

แต่ด้วยเหตุที่ผู้อาวุโสหยางไม่เข้าบริษัทเป็นเวลานาน เหล่าโจวจึงจัดให้หลินเยวียนไปนั่งโต๊ะนี้

ตอนนั้นมีหลายคนที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถ้าเกิดผู้อาวุโสหยางรู้เข้าละก็จบเห่แน่

ในตอนนี้ ความกังวลของผู้คนมากมายก็เป็นจริงขึ้นมาในที่สุด อาจารย์หยางเริ่มโมโหแล้ว

“ที่นี่”

หยางหมิงกัดฟันกรอด มองไปยังที่นั่งของตน ฟังอารมณ์จากน้ำเสียงไม่ออก “ใครนั่ง”

ผู้อาวุโสหยางโกรธจริงๆ แล้ว!

ต่อให้ผู้อาวุโสหยางไม่ได้แสดงออกมา ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ ในฉับพลันโดยรอบเย็นยะเยือก ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

“ต้องให้ฉันถามเป็นรอบที่สองไหม”

หยางจงหมิงกวาดตามองไปที่ผู้คน

อู๋หย่งผู้ซึ่งคุ้นเคยกับหลินเยวียนที่สุดในแผนกกลืนน้ำลาย ทำใจดีสู้เสือตอบไป “หลิน…หลินเยวียน…”

“หลินเยวียนคือใคร”

หยางจงหมิงหรี่ตาเล็กน้อย

อู๋หย่งเอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าขื่นขม “ผู้อาวุโสหยางอย่าถือโทษโกรธเคืองเขาเลยครับ เขาเป็นแค่เด็กใหม่ ไม่รู้ว่านี่เป็นที่ของคุณ เรื่องนี้หัวหน้าเป็นคนจัดแจง…”

“ใช่ค่ะ!”

เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ทนไม่ไหวจึงออกตัวช่วย ไม่อยากให้หลินเยวียนประสบพบเจอกับหายนะโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “หัวหน้าเป็นคนจัดการค่ะ”

“เซี่ยนอวี๋เองไม่ได้รู้สถานการณ์ค่ะ”

“เซี่ยนอวี๋คิดว่าตรงนี้ไม่มีคนนั่งครับ”

ช่วยไม่ได้ มีแค่หัวหน้าถึงจะรับมือกับพ่อเพลงได้

หยางจงหมิงเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง กล่าวขึ้นราวกับมีอะไรในใจ “เซี่ยนอวี๋?”

อู๋หย่งสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทน “เซี่ยนอวี๋ก็คือหลินเยวียนครับ ผู้อาวุโสอย่าโทษเขาเลยนะครับ เขายังเป็นนักเรียนมหา’ลัย เพิ่งมาที่บริษัทเราได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้อะไร…”

หยางจงหมิงนิ่งเงียบ

ผู้คนโดยรอบต่างก็ไม่กล้าส่งเสียง แม้ว่าอยากปกป้องหลินเยวียน แต่โทสะของพ่อเพลงไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็รับมือได้สักหน่อย

หลินเยวียนภาวนาให้ตัวเองก็แล้วกันนะ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนคิดว่าหยางจงหมิงกำลังจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนั้นเอง จู่ๆ พ่อเพลงคนนี้ก็พยักหน้า พลางหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ

“งั้นไม่เป็นไร”

พูดจบพ่อเพลงหยางจงหมิงก็หันหลังเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงประชาชนชาวแผนกประพันธ์เพลงที่มองหน้ากันไปมา

ราวกับว่าความโมโหโทโสยังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้น ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว

…………………………………………………..

[1] สั่งซื้อในระบบ ในที่นี้หมายถึง in-app purchase