ตอนที่ 78 ข่าวใหญ่
“ช่วงนี้นายทำอะไร ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่เห็นหน้าค่าตา”
วันที่สองของเดือนเมษายน ในโรงอาหารวิทยาลัย เจี่ยนอี้เอ่ยถามหลินเยวียน
ซย่าฝานจ้องมองหลินเยวียน ช่วงนี้หลินเยวียนหายหน้าหายตาไป จนชวนให้รู้สึกสงสัย
หลินเยวียนตอบ “ช่วงนี้ฉันไปวาดรูปที่ชมรมจิตรกรรม”
เจี่ยนอี้ชะงักไป ฉับพลันก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “นึกไม่ถึงเลยว่านายจะสนใจชมรมกับเขาด้วย แต่เข้าร่วมชมรมบ้างเป็นครั้งคราวก็ดีเหมือนกัน ความสนุกชีวิตมหา’ลัยของฉันครึ่งหนึ่งก็มาจากชมรมเนี่ยแหละ”
เจี่ยนอี้เป็นกำลังหลักของชมรมบาสเกตบอลวิทยาลัยศิลปะฉินโจว
เขาชื่นชอบบาสเกตบอลมาตั้งแต่ยังเด็ก ทันทีที่เข้าวิทยาลัยก็พุ่งหาชมรมบาสเกตบอลทันที
“จริงสิ”
ซย่าฝานเอ่ยขึ้น “เดือนหน้าวิทยาลัยเราจะมีแข่งบาส เด็กกิจกรรมอย่างนายจะไปเป็นตัวแทนคณะด้วยใช่มั้ย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เจี่ยนอี้หัวเราะอย่างกระหยิ่มใจ “ฉันเป็นกำลังหลักของสาขาศิลปะการแสดงเลยนะ ปีนี้เป้าหมายของคณะฉันก็คือต้องได้ที่หนึ่ง!”
“นั่นก็ไม่แน่”
ซย่าฝานยิ้มเอ่ย “ปีหนึ่งสาขาศิลปะการแสดงของนายเหมือนจะได้แค่ที่สามใช่มั้ย”
“ก็ตอนปีหนึ่งไอ้หมอนั่นที่อยู่สาขานาฏศิลป์มันโกงหนิ”
เจี่ยนอี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นต้องหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ตอนแรกพวกเราจะได้เข้าชิงแล้วด้วย แต่ดันโดนคนที่ชื่อสวี่ชางสาขานาฏศิลป์ทำฟาล์ว ทำให้ฉันบาดเจ็บ”
ซย่าฝานส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ พูดว่า “โห ความแค้นนี้ แม้แต่ชื่อก็ยังจำได้แม่น”
เจี่ยนอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก “ปีนี้คอยดูก็แล้วกันว่าฉันจะแก้แค้นยังไง เขาชู้ตแม่น ฉันกะว่าพอถึงตอนนั้นก็จะไปบล็อกเขา วันแข่งพวกนายสองคนต้องไปเชียร์ฉันด้วยนะ”
ซย่าฝานพูด “ฉันจะไปเชียร์สาขาการประพันธ์เพลง”
เจี่ยนอี้เบ้ปาก “วางใจเถอะ รอบแรกสาขาการประพันธ์เพลงก็ไม่ไหวแล้ว”
หลินเยวียนพูด “ฉัน…”
ซย่าฝานเสริม “สาขาการประพันธ์เพลงไกลสุดก็เข้ารอบสอง”
เจี่ยนอี้หัวเราะลั่น ก่อนจะพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องแข่งบาสเลย ซย่าฝานเธอเริ่มออดิชันในรายการสะพรั่งเมื่อไหร่”
“เริ่มเดือนพฤษภาปีนี้”
ซย่าฝานตอบ “ถ้าได้เข้ารอบร้อยคน ปิดเทอมหน้าร้อนปีนี้ฉันไม่กลับบ้านก็ได้”
หลินเยวียนครุ่นคิด ก่อนจะพูดว่า “ปิดเทอมฤดูร้อนฉันก็ไม่กลับบ้านเหมือนกัน ต้องทำงาน”
ช่วงวันหยุดตรุษจีนลาได้ แต่ปิดเทอมฤดูร้อนยาวเกินไป หลินเยวียนจะโดดงานนานขนาดนั้นไม่ได้
เจี่ยนอี้ยิ้มขื่น “นี่เพิ่งปีสอง ทำไมพวกนายก็งานยุ่งขึ้นมาแล้ว หลินเยวียนก็มีงานของตัวเอง เธอก็พยายามเพื่ออนาคตของตัวเอง ต่อไปพวกเราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงเรื่อยๆ อะดิ”
“ยังเร็วไป”
ซย่าฝานพูด “วิทยาลัยพวกเราเรียนห้าปี ปีห้าอาจต้องยุ่งกับการเขียนธีสิสแล้วก็หางาน แต่อย่างน้อยปีสามปีสี่ พวกเราก็ยังอยู่ที่วิทยาลัย แต่นอนว่าถ้าฉันดังจากรายการสะพรั่งละก็ หลังจากนี้ฉันต้องยุ่งมากแน่ๆ”
“ไม่ใช่แค่เธอหรอก…”
เจี่ยนอี้ทอดถอนใจ “ปีสามฉันก็อาจไม่อยู่”
หลินเยวียนกับซย่าฝานมองไปที่เขาแทบจะพร้อมกัน “ทำไมล่ะ”
เจี่ยนอี้ยักไหล่ “ก็เหมือนกับพวกนาย ทำเพื่อชีวิตของตัวเองนั่นแหละ ตอนปีสามมีโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ ตอนปีสามฉันน่าจะไปฉีโจวล่ะมั้ง พวกนายก็รู้ว่าที่ฉีโจว โอกาสงานสายการแสดงเยอะกว่า”
เจี่ยนอี้เป็นนักศึกษาสาขาศิลปะการแสดง
อุตสาหกรรมภาพยนตร์และละครในฉีโจวเฟื่องฟูที่สุดในบลูสตาร์
ก็เหมือนกับที่คนวงการดนตรีมักจะมาแสวงหาความก้าวหน้าในฉินโจว คนที่เรียนศิลปะการแสดงอย่างเจี่ยนอี้ก็ชอบไปหาโอกาสที่ฉีโจว
“นักศึกษาแลกเปลี่ยนเหรอ”
หลินเยวียนกับซย่าฝานเงียบงัน
เจี่ยนอี้ยิ้ม “อย่าทำให้บรรยากาศมันเศร้าสิ ถ้าเกิดฉันไม่ได้โควตาล่ะ พวกนายก็รู้ว่าโควตานักเรียนเรียกผลการเรียนสูงมาก”
“นายต้องเอาโควตามาได้อยู่แล้ว”
ซย่าฝานรู้สึกเศร้า ถึงแม้เจี่ยนอี้จะดูเป็นคนสบายๆ ไม่เครียด แต่ผลการเรียนก็นับว่าดีที่สุดในบรรดาพวกเขาสามคน
“ขอรับคำอวยพรจากเธอแล้วกัน”
เจี่ยนอี้เอ่ยว่า “มาคิดๆ ให้ละเอียด เธอต้องเดบิวต์ผ่านสะพรั่ง ต่อให้ฉันเรียนอยู่ที่นี่ต่อ เวลาที่พวกเรา
จะได้อยู่ด้วยกันหลังจากนี้ก็น้อยมาก ศิลปินออกรายการเยอะมาก วิทยาลัยเราก็ไม่ได้ไม่มีคนดังซะหน่อย เธอดูคนดังพวกนั้นดิ เคยเข้าคลาสสักกี่ครั้งกัน ยังลาหยุดเป็นเดือนได้ง่ายๆ”
“ก็จริง”
ซย่าฝานก้มหน้า
หลินเยวียน เจี่ยนอี้ และซย่าฝาน ทั้งสามคนตัวติดกันหนึบมาตั้งแต่เด็ก และถึงขั้นที่สอบเข้าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวทั้งหมด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแยกจากกัน
นักศึกษาแลกเปลี่ยน?
เข้าร่วมการประกวด?
เริ่มงานล่วงหน้า?
ทางเดินในชีวิตเหล่านี้ ก็แค่ดำเนินมาถึงทางแยกเร็วกว่าที่คิดไว้เท่านั้นเอง
“ถ้าอย่างงั้น เวลาที่พวกเราเหลืออยู่ก็ไม่มากแล้วสิ” น้ำเสียงของเจี่ยนอี้ฟังดูเจ็บปวดขึ้นมา
……
กินข้าวเสร็จ หลินเยวียนก็ไปปรากฏตัวที่ชมรมจิตรกรรม
จงอวี๋ซึ่งมารอหลินเยวียนที่นี่อยู่นานแล้วก็ยิ้มร่า “ท่านเทพ วันนี้จะสอนกี่คนดี”
“สองคนครับ”
ผลของ ‘อาจารย์’ ของหลินเยวียนเพิ่มขึ้นแล้ว ฉะนั้นในตอนนี้ เขาสามารถสอนนักเรียนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
“ได้เลย”
หลินเยวียนพูด “อย่าเพิ่งเรียกคนนะครับ พี่รู้เรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนมั้ย”
“นักศึกษาแลกเปลี่ยน?”
จงอวี๋ชะงักไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็พยักหน้า “นักศึกษาแลกเปลี่ยนเริ่มตอนปีสาม ทุกคณะจะมีโควตาไม่กี่คนล่ะมั้ง
เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำ ปกติแล้วก็จะให้นักศึกษาที่ผลการเรียนดีที่สุดแค่ไม่กี่คนไปแลกเปลี่ยน แล้วได้สวัสดิการเยอะมาก มหา’ลัยส่งไปเอง ก็จะมีทั้งการอุดหนุนแล้วก็ยกเว้นค่ากินอยู่กับค่าเรียน เป็นประโยชน์เวลาหางานหลังเรียนจบ เทอมที่แล้วฉันก็สมัครไปนะ แต่น่าเสียดายที่ผลการเรียนแย่ไปหน่อย”
หลินเยวียนแลดูราวกับกำลังใช้ความคิด
จงอวี๋จึงถามด้วยความสงสัย “ทำไมอยู่ๆ ท่านเทพถึงถามขึ้นมาล่ะ เพื่อนนายหรือว่านายอยากไปแลกเปลี่ยนเหรอ”
“ไม่มีอะไรครับ”
หลินเยวียนพูด “เริ่มเรียนได้”
จงอวี๋พยักหน้า ไม่ได้ซักไซ้ เริ่มเรียกคนมาเรียน
อันที่จริงไม่ต้องเรียกเลย
เพราะว่าทันทีที่หลินเยวียนเข้ามาในชมรมจิตรกรรม คนจำนวนมากก็จะเข้ามาห้อมล้อมโดยอัตโนมัติ สมาชิกชมรมคนที่ถึงคิวเรียนในวันนี้ก็ยกม้านั่งเล็กมาแล้ว รอแค่ทางหลินเยวียนเริ่มสอน
ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ก็เพียงยืนดูอยู่ข้างๆ
แม้จะไม่ได้ถูกหลินเยวียนจับมือติวให้กับตัว ทว่าพวกเขายืนมองอยู่ด้านข้าง ก็ไม่ต่างกับได้เรียนฟรี แล้วก็ยังได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วย
แต่ว่าพวกเขาไม่ได้รับพรจาก ‘อาจารย์’ เท่านั้นเอง
หลินเยวียนเองก็ไม่เคยขับไล่คนเหล่านี้เลย
อย่างไรซะคนเหล่านี้ยืนอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเขา หนำซ้ำยังให้ความโด่งดังของเขาเพิ่มขึ้นด้วย
ที่จริงแล้วหลินเยวียนเคยคิดเรื่องสอนนักเรียนหลายคนพร้อมกัน
แต่ระบบเคยอธิบายว่า พร ‘อาจารย์’ นั้นมีไว้สำหรับการสอนตัวต่อตัว ถ้าหากหลินเยวียนสอนนักเรียนกลุ่มหนึ่งพร้อมกัน ผลของพร ‘อาจารย์’ นี้ก็จะถูกแบ่ง
ด้วยเหตุผลนี้เอง หลินเยวียนจึงล้มเลิกความคิดในการขยายช่องทางกอบโกยรายได้ แล้วดำเนินวิธีการสอนแบบหนึ่งต่อหนึ่งต่อไป
เมื่อจบการสอนของนักเรียนคนแรกในวันนี้
จงอวี๋ก็เข้ามาพูดด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “ท่านเทพ อีกระยะหนึ่ง พวกเรากำลังเตรียมข่าวใหญ่ละ!”
“ข่าวใหญ่อะไรเหรอครับ”
“ถึงตอนนั้นเดี๋ยวนายก็รู้เอง” จงอวี๋รูดซิปปากเงียบ
“อ่อ”
หลินเยวียนเพียงแค่ตอบไปโดยไม่ใส่ใจ
เขาไม่ได้สงสัยสักเท่าไหร่ว่าจงอวี๋มีข่าวใหญ่อะไร
…………………………………………………………