บทที่ 87 ผู้ร้ายในวังหลวง

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 87 ผู้ร้ายในวังหลวง
หลังจากขบวนเสด็จกลับออกไปแล้ว คณะขุนนางต่างพากันแยกย้าย องค์หญิงเหออานหันไปจ้องเฟิ่งชิงหัว “หนานกงเยว่ลัว ความอัปยศวันนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
เฟิ่งชิงหัวหันไปยิ้มให้นางอย่างไร้เดียวสา เป็นการท้าทายนาง
องค์หญิงเหออานหันกลับไปมองเยลู่ฉู่ ก่อนจะปิดหน้าร้องไห้แล้ววิ่งหนีไป
เฟิ่งชิงหัวหยิบขวดกระเบื้องออกมาแล้วส่งให้เยลู่ฉู่ “นี่ รีบหยุดเลือดเร็วเข้า”
เยลู่ฉู่ยื่นมือออกไปรับ สายตาที่มองเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความแค้นราวกับกำลังจะบอกว่า ในเมื่อเจ้ามียาแล้วทำไมไม่เอาออกมาแต่แรก
ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงเลยว่า การตอบแทนบุญคุณที่พระชายาอ๋องกล่าวนั้นคือการกรีดข้อมือของเขาเป็นรอยลึกยาวแบบนี้ และไม่รู้ด้วยว่านางกรีดอย่างไร ทำไมเลือดถึงไหลออกมาไม่ยอมหยุดเช่นนี้ ขนาดเขามองตัวเองยังรู้สึกกลัวเลย
เฟิ่งชิงหัวกลับไม่มองเขาอีก และหันไปมองจ้านเป่ยเซียวพลางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋อง พวกเรากลับจวนกันเถิด”
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น งานเลี้ยงคงไม่อาจจัดขึ้นได้อีกต่อไปแล้ว แทนที่จะเดินทางไปให้เสียเที่ยว ไม่สู้กลับจวนจะดีกว่า
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า ระหว่างที่หันตัวเตรียมจะกลับไป สายตาของเขาก็เหลือบไปมองเยลู่ฉู่ด้วยแววตาอันลึกซึ้ง
เมื่อเยลู่ฉู่สบตากับสายตาของเขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัว แต่กลับยิ้มตอบกลับไปอย่างใจกว้าง
ตอนที่เฟิ่งชิงหัวออกนอกวังไปกับจ้านเป่ยเซียนั้นไม่มีคน มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
จ้านเป่ยเซียวหยุดกะทันหันแล้วหันหน้าไปมองเฟิ่งชิงหัว “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พูดมาได้แล้วกระมัง”
เฟิ่งชิงหัวมองไปชายที่กำลังมองนางด้วยสายตาตำหนิว่านางทำอะไรลงไปทำไมยังไม่ยอมรับอีก
เฟิ่งชิงหัวเอาสองมือเท้าสะเอวแล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ท่านอ๋องพูดแบบนี้คิดอยากจะคิดบัญชีกับข้าใช่หรือไม่”
“ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้าจริงใจแค่ไหน”
“จะว่าไปเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านปฏิเสธองค์หญิงซีหลัน นางจึงแค้นใจ แต่ก็ไม่กล้ามาคิดบัญชีกับท่าน นางเลยมาจัดการข้าแทน โดยร่วมมือกับองค์หญิงเหออานแสดงละครฉากนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของข้า หากข้าไม่รู้ทันเปลี่ยนแผนการของนางก่อน ตอนนี้ข้าคงโดนโบยจนตายไปแล้ว”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “ความหมายของเจ้าคือ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้างั้นหรือ”
“อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับท่านไม่มากก็น้อย”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเยลู่ฉู่?”
“เขาคือชายชู้ที่องค์หญิงซีหลันเอาเข้ามา ข้าร่วมมือกับเขา จากนั้นให้เขาช่วยเล่นละครฉากนี้ด้วยก็เท่านั้น”
เมื่อจ้านเป่ยเซียวเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้ามีท่าทางเปิดใจไม่เหมือนคนพูดโกหก สีหน้าก็เริ่มหนักอึ้งขึ้น “ดูท่าช่วงนี้ข้าคงใจดีเกินไปหน่อย ถึงมีคนให้ความสนใจกับคนข้างกายของข้า ไป กลับ”
เฟิ่งชิงหัวประหลาดใจ “ไปไหน?”
“ก็บอกว่าผู้ร้ายคือซีหลันไม่ใช่หรือ ข้าก็ย่อมต้องให้นางชดใช้สิ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงแข็ง
เกรงว่าฝ่ามือของเขาที่นางเคยโดนไปไม่สามารถทำให้นางจดจำใส่ใจได้
เฟิ่งชิงหัวเห็นสีหน้าเคียดแค้นของเขาก็รีบกล่าวว่า “นี่ เดี๋ยวๆๆ ไม่ต้องไปแล้ว”
“ทำไมหรือ”
“ข้าได้แก้แค้นให้ตัวเองไปแล้ว” เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าว
“เจ้าทำอะไรไปอีก” จ้านเป่ยเซียวเพิ่งจะนึกออกว่าก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงหัวเดินเข้ามาจากด้านนอก ระยะห่างระหว่างสองตำหนักไกลพอสมควร เฟิ่งชิงหัวไม่มีทางที่จะรอให้คนมาที่นั่นอย่างใจเย็นแน่
เฟิ่งชิงหัวลูบจมูก “อีกเดี๋ยวท่านก็รู้ ตอนนี้พวกเรารีบไปกันเถิด ช้ากว่านี้เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์ได้”
ระหว่างที่กล่าวก็เข็นเก้าอี้รถเข็นของเขามุ่งหน้าไปยังประตูวัง ทว่าทั้งสองยังเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้นจากด้านหลัง องครักษ์ของวังหลวงก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนทั้งสอง
“คารวะท่านอ๋อง พระชายา” องครักษ์ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“กล้าขวางข้างั้นหรือ อยากตายใช่ไหม” จ้านเป่ยเซียวอารมณ์ไม่ดี เพียงแค่พูดออกมาก็คิดจะขู่ฆ่าเสียแล้ว
องครักษได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเกร็งขึ้นมา แต่กลับทำได้แค่เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ใส่กลอนประตูวัง ไม่ว่าใครก็ห้ามออกทั้งนั้น ต้องหาผู้ร้ายให้ได้ก่อนถึงจะปล่อยทุกคนออกไป”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ตัวแข็งทื่อและกล่าวออกมาว่า “ผู้ร้ายอะไร ผู้ร้ายที่ไหนกัน ชายาอย่างข้าและท่านอ๋องดูเป็นผู้ร้ายงั้นหรือ พวกเจ้ามาหาเรื่องกันใช่หรือไม่”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็หันไปจ้องเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง ทำเอาเฟิ่งชิงหัวรู้สึกหน้าชา
“ในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จ้านเป่ยเซียวถามเสียงเคร่งขรึม
“องค์หญิงซีหลันพะย่ะค่ะ องค์หญิงซีหลันถูกคนเจอตัวว่าหมดสติอยู่ที่สวนด้านหลัง และใบหน้าของนางก็ถูกคนวางยาพิษ ตอนนี้ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้ทุกคนที่อยู่ในวังอยู่ในวังก่อนเพื่อทำการสืบสวน เพื่อให้ผู้ร้ายความผิดชดใช้ให้องค์หญิงซีหลันก่อน”
“ในเมื่อเจ้าอยากจับผู้ร้าย ก็ไปจับกันเสียสิ ร่างกายของข้าทำไม่ได้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะขวาง” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเข้ม
สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์ลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงเบี่ยงตัวหลบ “ท่านอ๋องกับพระชายาย่อมไม่ใช่ผู้ร้าย ข้าน้อยน้อมส่งท่านอ๋องออกจากวังหลวง”