บทที่ 88 องค์หญิงซีหลันเสียโฉม

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 88 องค์หญิงซีหลันเสียโฉม
เฟิ่งชิงหัวถอนใจแล้วเดินเชิดหน้าออกจากวังไปพร้อมๆกับจ้านเป่ยเซียว หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันจะตั้งตัวได้ ก็ถูกสายตาของคนคนหนึ่งจ้องเขม็งเสียแล้ว
เมื่อเห็นสายตาของจ้านเป่ยเซียวมีไฟลุกโชน แววตาของเขาล้ำลึกและหนักอึ้ง และจ้องมาที่เฟิ่งชิงหัวไม่วางตา
เมื่อโดนสายตาอำมหิตของจ้านเป่ยเซียวจ้องเขม็งเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นระส่ำไม่หยุด นางตระหนกมากจนไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ตรงไหน
ทันใดนั้นเอง จ้านเป่ยเซียวก็โน้มตัวเข้ามาอยู่ใกล้เฟิ่งชิงหัวมาก หัวใจของเฟิ่งชิงหัวแทบจะหยุดเต้น
คนผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมต้องใช้สายตาแบบนี้จ้องนางด้วย
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังเข้ามาจากด้านนอกรถม้า “นายท่าน เรื่องนั้นถูกไต่สวนคลี่คลายแล้วขอรับ เป็นคนใกล้ตัวขององค์หญิงซีหลันร่วมมือกับองค์หญิงเหออานตั้งใจจะใส่ร้ายพระชายา ตอนนี้ฝ่าบาทรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว สาวใช้ข้างกายขององค์หญิงซีหลันได้ชิงกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ส่วนองค์หญิงซีหลันถูกทำลายใบหน้า ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาอยู่ ฝ่าบาทน่าจะไม่เอาเรื่องนางแล้ว ส่วนองค์หญิงเหออานโดนถูกสั่งกักบริเวณไม่ให้ออกไปข้างนอกขอรับ”
จ้านเป่ยเซียวหันไปมองเฟิ่งชิงฟัว “ฝีมือเจ้าใช่ไหม?”
เฟิ่งชิงหัวกลืนน้ำลายแล้วแกล้งทำเป็นกล่าวอย่างหนักแน่น “ถ้าเป็นฝีมือข้าแล้วอย่างไร นางหวังจะทำร้ายข้า หรือว่าข้าต้องยอมให้นางทำร้าย?”
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้กล่าวอะไร ยังคงจ้องเฟิ่งชิงหัวเขม็ง ราวกับว่ารอให้นางอธิบายเหตุผลที่ดีกว่านี้
เฟิ่งชิงหัวหัวใจกระตุกวูบ ข้ออ้างของนางไม่ดีตรงไหนหรือ?
เขาคงดูไม่ออกหรอกกระมังว่าที่นางทำให้องค์หญิงซีหลันเสียโฉมเพราะมีวัตถุประสงค์อื่น
เมื่อคิดได้ดังนี้เฟิ่งชิงหัวก็กระแอมออกมาแล้วกล่าวว่า “อะไรนะ หรือว่าพอท่านได้ยินว่าใบหน้าของนางเสียโฉมเพราะข้า ท่านเลยรู้สึกเสียดายขึ้นมางั้นหรือ ไหนท่านบอกว่าไม่ชอบนาง ตอนนี้หางงอกออกมาเสียแล้วรึ”
“ข้าตาบอดอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวเต็มไปด้วยความหัวเสีย
เมื่อกล่าวจบจ้านเป่ยเซียวก็ยืดหลังตรง และไม่มองไปที่เฟิ่งชิงหัวอีก ท่าทางเช่นนี้ของเขาดูเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงหัวแอบตบอกตนเอง นับว่ารอดตัวไปได้
รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไปตามทางในพระราชวัง ตลอดทางจ้านเป่ยเซียวไม่หันมาคุยกับเฟิ่งชิงหัวเลยแม้แต่คำเดียว เฟิ่งชิงหัวจึงอยู่อีกฝั่งหนึ่งคนเดียวเงียบๆ
เมื่อกลับไปถึงจวนแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็รีบเปลี่ยนไปใส่ชุดผู้ชายและเดินยืดอกออกจากจวนไป พร้อมกับมีคนแอบสะกดรอยตามนางออกมาด้วย สุดท้ายเฟิ่งชิงหัวจึงสลัดพวกเขาออกไปได้โดยง่าย
เฟิ่งชิงหัวมุ่งหน้าไปหาอู่ตู๋จื่อ ตอนอยู่ที่พระราชวังเฟิ่งชิงหัวได้หาโอกาสนัดพบกับเหยียนซื่อ ฮูหยินท่านโหวของจวนเจ้าผู้อารักขา โดยนัดแนะให้นางจุดโคมลอยสามดวงด้านนอกประตูจวนโหวในตอนดึก
“อาจารย์ย่า” อู่ตู๋จื่อออกมาต้อนรับอย่างนอบน้อม แล้วเริ่มรายงานสถานการณ์ของเนี่ยหานชิงในปัจจุบัน

เขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้สามารถวิ่งและกระโดดได้แล้ว แต่ละวันหากมีเวลาว่างจะมาที่นี่เพื่อขอเข้าพบผู้มีพระคุณเพื่อขอบคุณ
“ใครอยากรับคำขอบคุณของเขากันล่ะ วันหน้าหากมาอีกก็ไล่กลับไปได้เลย” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างเหลืออด ปัญหาระหว่างหมอและคนไข้เป็นเรื่องน่าเครียดมาโดยตลอด ดีที่สุดควรเว้นระยะห่างแก่แัน ในเมื่อรักษาหายแล้วก็ไม่ควรมีอะไรต้องติดค้างกันอีก
อู๋ตู๋จื่อกล่าวด้วยสีหน้าเหวอ “ข้าน้อยไม่รู้ว่านายท่านจะมา ก็เลยไม่ได้ขวางเขาเอาไว้”
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันจะตกผลึกคำว่าไม่ได้ขวางเอาไว้ ร่างของคนคนหนึ่งก็โฉบเข้ามาอย่างร่าเริงราวผีเสื้อ และนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของนาง “ผู้มีพระคุณ! ผู้มีพระคุณได้โปรดรับคารวะจากหานซิง”
เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูมีอายุราวสิบสามปี แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูสูบผอมแต่ก็ยังเหลือเค้าของความหน้าตาดีอยู่ โดยเฉพาะดวงตาราวผลท้อของเขา หากจ้องไปที่ใครล้วนรู้สึกราวกับโดนกระแสไฟแล่นผ่าน
เฟิ่งชิงหัวจำได้ทันทีว่าเด็กคนนี้ก็คือเนี่ยหานซิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจ้าผู้อารักขาที่หมดสติไปก่อนหน้านี้
ตอนนี้ถึงขั้นนั่งคุกเข่าแล้ว หากสั่งให้เขาเลิกคุกเข่าก็จะนับว่าไร้เหตุผลเกินไป เฟิ่งชิงหัวจึงได้แต่เอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าเห็นความจริงใจของเจ้าแล้ว เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด”
“ผู้มีพระคุณ วันนี้ที่หานซิงมาไม่ได้เพราะเพียงเรื่องขอบคุณเท่านั้น หานซิงอยากมาขอผู้มีพระคุณเป็นอาจารย์ของข้า เพื่อเรียนรู้วิชาการแพทย์ ผู้มีพระคุณได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย!” หนุ่มน้อยกล่าวเสียงกังวาลพร้อมกับก้มหัวลงไปอย่างหนักแน่น
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ อู่ตู๋จื่อก็ได้เข้ามาลากเนี่ยหานซิงออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าเด็กน้อย หน้าไม่อายหนัก คุณชายของพวกเราอุตส่าห์ช่วยเจ้าไว้ แต่เจ้ายังกล้าอวดดีมาขอให้ท่านเป็นอาจารย์ของเจ้าอีก กล้าดีนัก ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้แล้วไสหัวออกไป!”
เนี่ยหานซิงนั่งไม่ไหวติงราวต้นไม้อยู่เช่นนั้น ปล่อยให้อู่ตู๋จื่อลากขาของเขาไปโดยเขายังอยู่บนพื้นเช่มเดิม และสายตาของเขายังคงจ้องแน่วแน่ไปที่เฟิ่งชิงหัว
ทั้งสองฉุดกระชากลากถูกันอยู่บนพื้น จนเสื้อผ้าของเนี่ยหานซิงเปรอะเปื้อนฝุ่นบนพื้น ผมเผ้าของเขาก็ยุ่งเหยิง มีเพียงแววตาของเขาเท่านั้นที่ยังแน่วแน่เหมือนเก่า
“รับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ใช่ว่าจะไม่ได้” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างสบายๆ
อู่ตู๋จื่อได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยเนี่ยหานซิงที่บ้าระห่ำและเพ้อเจ้อทิ้งไป พลางหันไปจ้องเฟิ่งชิงหัวแทน “คุณชาย ท่านลืมไปแล้วหรือ ท่านไม่สามารถ……”
คำพูดหลังจากนั้นได้ถูกเฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นมือห้ามเอาไว้ก่อน เฟิ่งชิงหัวมองไปที่เนี่ยหานซิง “คนที่จะเป็นลูกศิษย์ของข้าไม่ใช่คนทั่วไปจะเป็นกันได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ขอเพียงแค่ท่านอาจารย์ยอมรับข้าเป็นลูกศิษย์ หานซิงจะยอมทนความลำบากทุกอย่าง!” เนี่ยหานซิงกล่าวอย่างแน่วแน่
“เจ้าคือท่านซื่อจื่อแห่งจวนเจ้าผู้อารักขา อนาคตจะต้องสืบทอดตำแหน่งผู้นำจวนเจ้าผู้อารักขา หากวันหนึ่ง ข้าอยากออกเดินทางแล้วให้เจ้าติดตามไปด้วย เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ท่านอาจารย์ ที่บ้านของหานซิงมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง ข้าไม่ต้องเป็นผู้สืบทอดก็ได้ หานซิงยินดีติดตามท่านอาจารย์ออกเดินทาง” เนี่ยหานซิงกล่าวอย่างแน่วแน่และจริงใจ
เฟิ่งชิงหัวคิดไม่ถึงว่า ผู้ที่เกิดมาในตระกูลสูงส่งจะเป็นคนที่มีความคิดบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ นับว่าเป็นผู้ที่หาได้ยากยิ่ง
“หากอยากเป็นลูกศิษย์ของข้าไม่ใช่แค่พูดคำพูดน่าฟังสองสามประโยคเท่านั้น หมอมีหน้าที่ช่วยชีวิตคน หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบไม่ได้มีเพียงแค่แยกแยะประเภทของยาและสรรพคุณให้ได้เท่านั้น ในเวลาเดียวกันยังต้องมีใจเมตตา แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น เจ้าต้องรู้ก่อนว่าเจ้าเหมาะที่จะเรียนวิชาแพทย์หรือไม่”
“ท่านอาจารย์ได้โปรดชี้แนะ หานซิงจะพยายามอย่างเต็มที่”
“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อู่ตู๋จื่อไปหยิบตำรายาขั้นต้นมาให้เขาหนึ่งเล่ม วันใดที่เจ้าจำตำรานี้ได้อย่างขึ้นใจแล้วค่อยกลับมาหาข้า”
แม้ว่าอู่ตู๋จื่อจะไม่ยินดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังคงต้องทำตาม เขาเอาตำราเล่มหนึ่งยัดใส่อกของเนี่ยหานซิง
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ลูกศิษย์จะต้องกลับไปอ่านให้เข้าใจถ่องแท้”
เนี่ยหานซิงมีท่าทางราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า เขาถือไว้ในมือแล้ววิ่งไปอย่างเบิกบานใจโดนไม่สนแม้แต่จะปัดฝุ่นบนชุดด้วยซ้ำ
อู่ตู๋จื่อกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “อาจารย์ย่า ท่านไม่ได้คิดจะรับเขาเป็นลูกศิษย์จริงๆใช่หรือไม่”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยาที่เขาได้รับคือยาเคล็ดของพวกเรา จึงนับว่าเขามีพรหมลิขิตกับพวกเรา หากเขามีพรสวรรค์จริงๆ การรับเขาเป็นลูกศิษย์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสม”
“แต่ว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา ทำไมท่านถึงรับลูกศิษย์มั่วๆ เช่นนี้ หากพวกเขารู้ ไม่สู้ให้ข้ารับแทนท่านจะดีกว่า ท่านอยากสอนก็แค่สอนธรรมดาก็ได้” อู่ตู๋จื่อกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ
เฟิ่งชิงหัวยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อย่างนี้ไม่เท่ากับว่าเจ้าหลอกหลวงหรอกหรือ”
“อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้ท่านโดนลงโทษ” อู่ตู๋จื่อกล่าวอย่างอึดอัดใจ