“ข้ายอดเยี่ยมขึ้นแล้วนายท่าน ข้าสมควรได้รับคำชม”

 

 เสียงกรีนวินด์ร้องป่าวประกาศในทันทีที่ประตูโรงหลอมถูกเปิดออก นางปรากฏร่างด้วยกายเนื้อ ทำให้สมาชิกทั้งหมดสามารถเห็นนางได้

 

 อมิตาภาจัดแบ่งโรงหลอมออกเป็นสองส่วน เตาหลอมอยู่ถัดเข้าไปด้านในหลังบานประตูเหล็กกล้าที่ปิดสนิท บริเวณส่วนที่พวกอินกองอยู่เรียกว่าเป็นโรงประกอบ ชิ้นส่วนวัสดุหลากหลายถูกจัดวางแบ่งตามประเภท มีกรีนวินด์นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนที่ตั้งกลางห้อง

 

“กีวี่ยอดเยี่ยมขึ้น…?”

 

“ถูกต้องแล้ว ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าพี่สาวสุด… เดี๋ยวสิ! ข้าไม่ได้ชื่อกีวี่ซักหน่อย! ข้าเกลียดเวลาที่นายท่านเรียกข้าด้วยชื่อนั่น!”

 

 กรีนวินด์พยักหน้าอย่างภาคภูมิก่อนจะชักสีหน้าตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ นางบ่นโดยไม่สนใจสายตาของสมาชิกตนอื่น

 

“เทพารักษ์กรีนวินด์… “

 

 กัมมะพึมพำขึ้นจากมุมของห้องด้วยสีหน้าอันยากจะอธิบาย

 ศรัทธาในท่านเทพารักษ์ลดลงอีกแล้ว ไม่นะ!

 

 ระหว่างที่คารัคหันไปตบไหล่ปลอบกัมมะ อมิตาภากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะผลักกรีนวินด์ออก

 

“กีวี่เขยิบออกไปเลยฮะ อย่าบังผลงานอมิตาภาฮะ”

 

“เอ่อ… อ่า… ”

 

 เป็นความจริงที่กรีนวินด์ไม่สามารถโต้เถียงได้ นางจำใจกระโดดลงจากโต๊ะพร้อมทำเป็นไม่ได้ยินชื่อกีวี่

 

 อมิตาภายืนอยู่บริเวณที่กรีนวินด์นั่งเมื่อครู่พลางขยับเปิดฝากล่องไม้

 

 โล่ที่บรรจุอยู่ภายในกล่องลอยขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ทว่านี่เป็นภาพที่คณะของอินกองคุ้นเคยอยู่แล้ว

 

 คารัคจ้องสำรวจโล่ชีวาตม์อย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอียงคอถามอย่างลังเล

 

“เอ่อ… แกแค่เสริมขอบโล่เป็นสีดำเอง?”

 

 โล่ชีวาตม์ที่แท้จริงประกอบด้วยถุงมือสวมสำหรับผู้ใช้ และตัวโล่ที่สามารถยึดเกาะกับตัวถุงมือดังกล่าว

 

 แน่นอนว่าตัวโล่คือส่วนหลัก ถึงกระนั้นการปรับแต่งของอมิตาภาก็ไม่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร

 

 ขอบของโล่ที่แต่เดิมเป็นสีขาวเงินถูกประดับเสริมด้วยแผ่นโลหะสีดำ

 

 คำถามของเจ้าออร์คทำให้ช่างแรคคูนกระดกลิ้นอย่างไม่พอใจ

 

“ถ้ามองแค่ผิวเผินก็จะเห็นแค่นั้นแหละฮะ ของจริงมันต่อจากนี่ฮะ กรีนวินด์?”

 

 กรีนวินด์ขานรับคำเรียกจากอมิตาภาอย่างมั่นใจ

 

“นายท่านคอยดูให้ดี นายท่านต้องชื่นชมข้าอย่างแน่นอน”

 

 สมกับชื่อกรีนวินด์(สายลมเขียวขจี) นางสลายกายเนื้อกลายเป็นสายลมสีเขียวพุ่งเข้าไปผสานกับตัวโล่

 

 แสงสีเขียวเรืองขึ้นเช่นเดิม ที่ผิดแปลกคือสิ่งที่เกิดขึ้นถัดมา เสียงโลหะกระทบกันก่อนแผ่นโลหะสีดำที่ประดับขอบจะหลุดลอยออกกระจายตัวเป็นเค้าโครง บริเวณที่วางเปล่าถูกแทนที่ด้วยเนื้อโลหะสีขาว ประกอบเป็นโล่ชีวาตม์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

 

 ขนาดโดยรวมใหญ่ขึ้นเป็นร้อยละห้าสิบจากเค้าโครงเดิม รูปร่างของโล่ก็กลายเป็นทรงเพชรขอบยาว

 

 โล่ของคารัคประกอบชิ้นส่วนจากอุปกรณ์เสริม ในกรณีของโล่ชีวาตม์ชิ้นส่วนเพิ่มเติมปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุท่ามกลางความว่างเปล่า

 

 อมิตาภาเชิดคางอธิบาย

 

“โล่นี่เป็นถึงของปลุกเสกจากพญามังกรฮะ เรื่องแบบนี้ถือว่าธรรมดามากฮะ ที่อมิตาภาแต่งเติมมันต่อจากนี้ฮะ”

 

 เจ้าแรคคูนดีดนิ้วแล้วตามมาด้วยเสียงกระทบของโลหะอีกครั้ง ชิ้นส่วนสีดำและสีขาวแยกออกจากกันเป็นสองส่วน

 

“แยกร่าง?!”

 

 คารัคตะโกนร้องอย่างเหนือความคาดหมาย นั่นทำให้อมิตาภาส่ายหางพึงพอใจอย่างมากมาย

 

“โล่ชีวาตม์สีขาวกับสีดำก็เป็นไวท์อีเกิ้ลกับแบล็คอีเกิ้ลฮะ ความสามารถเดิมคงอยู่ที่ไวท์อีเกิ้ลฮะ แต่แบล็คอีเกิ้ลก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันหรอกฮะ เพราะแบล็คอีเกิ้ลได้รับการปลุกเสกจากแสงสุดท้ายฮะ”

 

 ไวท์อีเกิ้ลและแบล็คอีเกิ้ล โล่ทั้งสองลอยอยู่กลางอากาศเคียงข้างกัน

 

 กรีนวินด์ปรากฏกายเนื้อขึ้นต่อหน้าอินกองอีกครั้ง

 

“ทีนี้ข้าก็สามารถคุ้มครองนายท่านได้เป็นสองเท่าจากเดิม และเมื่อโล่ทั้งสองรวมตัวกันพลังป้องกันก็จะยิ่งทวีคูณขึ้น ช่างยอดเยี่ยมเสียกระไรยิ่ง จริงไหม?”

‘ฉะนั้นก็ลูบหัวชื่นชมข้าซะ!’

 

 นั่นก็คือถ้อยคำที่สายตาของนางบ่งบอก แต่อินกองกลับหรี่ตาลงถามกลับ

 

“ยอดเยี่ยมอยู่หรอก แต่… กีวี่คุมโล่ทั้งสองบินพร้อมกันได้หรือเปล่า?”

 

 อินกองจินตนาการภาพนักบินขับไล่ ระหว่างขับเครื่องของตนก็ใช้อุปกรณ์ส่งสัญญาณควบคุมเครื่องบินอีกลำไปในขณะเดียวกัน

 

 กรีนวินด์กระพริบตาก่อนจะหันไปมองยังโล่ทั้งสอง ท่าทางของนางบ่งบอกว่านางลืมคิดถึงความยากของการควบคุมโล่ทั้งสองพร้อมกัน

 

“ข้า… ข้าทำได้… ข้าสามารถทำได้ ข้าต้องทำได้แน่นอน อื้ม”

 

 นางเริ่มพูดอย่างลังเลก่อนจะแสดงความมั่นใจออกมาในที่สุด กรีนวินด์ในตอนนี้ดูเป็นท่านเทพารักษ์ที่สามารถพึ่งพาได้

 

 อมิตาภามองกรีนวินด์ก่อนจะพูดขัดออกมา

 

“อันที่จริงอมิตาภาออกแบบโล่เสริมสองชิ้นฮะ รวมทั้งหมดจะเป็นอีเกิ้ลทั้งสามฮะ แต่ว่า… สามน่าจะควบคุมยากเกินไป อมิตาภาเลยลดเหลือแค่สองฮะ”

 

 กรีนวินด์ชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าแต่เดิมจะมีโล่ถึงสามชิ้น อมิตาภายังคงอธิบายต่อ

 

“ไม่ต้องกังวลมากฮะ อมิตาภาติดตั้งระบบควบคุมพื้นฐานเอาไว้ด้วยเล็กน้อยฮะ เหมือนกับพวกโล่คุ้มกันที่พวกจอมเวทชอบใช้กันแหละฮะ”

 

“ไม่ ไม่ต้องเยิ่นเย้อเจ้าแรคคูนพูดมาก รีบอธิบายกลไกถัดไปเร็ว”

 

 กรีนวินด์รีบร้องออกมาอย่างเขินอาย อมิตาภาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองไวท์อีเกิ้ล

 

“ม่านแสงยังคงอยู่เหมือนเดิมฮะ แต่จะเรียกว่าเหมือนเดิม… อมิตาภาปรับแต่งให้มันสามารถใช้โจมตีได้ด้วยฮะ กรีนวินด์?”

เอมี่&กีวี่… เอ๊ยจอร์จ&ซาร่ากำลังนำท่านเข้าสู่ทีวีไดเร็ค

 

 กรีนวินด์ดีดนิ้วตามมาด้วยม่านแสงสีเขียวแผ่ขยายออกมาจากโล่ทั้งสอง

 

 สิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้น…

 

“โอ้”

โอ้พระเจ้า! เอมี่(จอร์จ)! มันยอดมาก!

 

 เสียงร้องอุทานอย่างชื่นชมปะปนกันไป นั่นเพราะม่านแสงที่แผ่ขยายตัวออกมาเปลี่ยนรูปร่างเป็นกระบี่อันบางเฉียบหลายเล่ม และเมื่อกรีนวินด์ดีดนิ้วอีกครั้ง

 

 กระบี่แสงเหล่านี้ก็เข้าประกอบกับขอบของโล่

 

 เมื่อมีเสียงตอบรับจากเหล่าผู้ชม กรินวินด์ก็แสดงความสามารถโดยการเปลี่ยนรูปร่างแสงเหล่านี้เป็นอาวุธหลากหลายชนิด

 

 จากนั้นกรีนวินด์ก็รวมโล่ทั้งสองกลับเข้าเป็นหนึ่งแล้วบินไปรอบห้อง

 

“นายท่านสังเกตให้ดี ตอนนี้พื้นที่ด้านหลังของโล่กว้างขึ้นมาก นายท่านสามารถขึ้นขี่บนโล่ทะยานเข้าต่อสู้ได้ด้วย นายท่านอยากลองเลยไหม?”

 

 แผ่นเหล็กดำปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนแปลงรูปร่างของโล่เป็นลักษณะคล้ายคลึงกับกระดานโต้คลื่น พร้อมด้วยชิ้นส่วนยึดเกาะมิให้ผู้ใช้ร่วงหล่น

 หากท่านสั่งซื้อภายในตอนนี้ เราแถมให้ฟรีๆ ชุดวินด์เซิร์ฟ

 

 ไวท์อีเกิ้ลบินวนอีกรอบก่อนจะร่อนลงตรงหน้าอินกอง แม้ตัวอินกองจะไม่มีประสบการณ์เล่นโต้คลื่น แต่เขาก็สามารถขึ้นทรงตัวได้อย่างมั่นคง

 

“โอ้ววว”

 

 เสียงร้องจากคณะของอินกองดังขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้กรีนวินด์พยักหน้าพอใจเป็นอย่างมาก

 

“ผ้าคลุมเก่าสกปรกนั่นอาจช่วยให้นายท่านบินไปบนท้องฟ้าได้ แต่มันก็ไม่สามารถมาแทนที่ข้าได้”

สินค้ารับประกันความพอใจ คืนเงินได้ภายใน 30 วัน

 

 อินกองรับรู้ถึงความกังวลและความรู้สึกปลอดภัยที่แอบแฝงอยู่ในถ้อยคำของกรีนวินด์

 

 เขาลูบหัวนางที่กำลังรู้สึกปลื้มปิติ

 

 ทันใดนั้นเอง…

 

“ผ้าคลุมเก่าสกปรกหรือฮะ? พูดถึงอะไรกันฮะ?”

 

 อมิตาภาเอ่ยถามอย่างข้องใจ อินกองกระพริบตาก่อนจะระลึกได้ เขายังไม่ได้เล่าให้อมิตาภาฟังเกี่ยวกับของวิเศษจากมังกรบรรพกาลที่เพิ่งได้รับมา

 

“ผมได้ของปลุกเสกของพญามังกรมาอีกหนึ่งชิ้นจากทะเลสาบสุริยัน เป็นผ้าคลุมที่เปลี่ยนสภาพเป็นผ้าพันคอ”

 

 งานหลักของช่างเหล็กอย่างอมิตาภาคืออาวุธและชุดเกราะ อินกองไม่คาดคิดว่าการถักทอจะรวมอยู่ในหมวดหมู่ของชุดเกราะด้วย และเดิมทีอินกองก็ไม่รับรู้ว่าอมิตาภาอยากจะปรับแต่งของวิเศษจากมังกรบรรพกาล เขาจึงไม่ได้บอกอมิตาภาถึงฮูกคุ้มภัย

 

 คำอธิบายเกี่ยวกับของวิเศษทำให้อมิตาภาตาลุกโชน

 

 อินกองถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ชื่อของผ้าคลุมนี้คือฮูกคุ้มภัย อมิตาภาสนใจจะรับไปปรับแต่งเพิ่มไหม?”

 

 อมิตาภากระโดดตัวลอยในทันที กรีนวินด์รีบพูดขัดเจ้าแรคคูนที่กระโดดโลดเต้น

 

“ไม่นะ! เจ้าแรคคูนพูดมาก! อย่าลบบทบาทของข้ามากไปกว่านี้! ต แต่ว่าเพื่อนายท่านแล้ว… อ่า… ”

 

 อินกองลูบหัวกรีนวินด์ที่กำลังโอดครวญ แม้อมิตาภาจะตื่นเต้นมากเท่าไร แต่เจ้าแรคคูนก็ยังควบคุมตนเองเอาไว้ได้

 

“อืมมมม ตอนนี้ไม่เหลือเวลาแล้วฮะ ไว้ทีหลังแล้วกันฮะ”

 

 คณะของอินกองจะเดินทางออกจากวังในวังรุ่งขึ้น เรียกได้ว่าพวกเขาไม่เหลือเวลาแล้วจริงจริง

 

 ซิลวานที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น

 

“อมิตาภาครับ กรุณาอย่าลืมดาบของกระผม… ’

 

“รู้แล้วฮะ จำได้ฮะ! เสร็จทันพรุ่งนี้เช้าแน่นอนฮะ!”

 

 เสียงทุบหางดังขึ้นตัดบท ซิลวานได้แต่ถอยหลังไปอย่างเหงาหงอย

 

 เฟลิซีหันไปปลอบพี่ชายของนาง อินกองสวมถุงมือติดตั้งไวท์อีเกิ้ลเข้าที่แขนซ้าย

 

‘เจ๋งเป้ง’

 

 ด้วยโล่ทั้งสองไวท์อีเกิ้ลกับแบล็คอีเกิ้ล มาตรการป้องกันของเขาย่อมเพิ่มขึ้น ยิ่งเมื่อรวมโล่ทั้งสองเข้าด้วยกัน พลังป้องกันซึ่งหน้าย่อมเพิ่มขึ้นมาก

 

 อินกองลองแยกโล่ทั้งสองออกบินรอบบริเวณ แม้การควบคุมสามารถทำได้ยากขึ้น แต่เขาก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับโล่ไวท์อีเกิ้ลเพียงหนึ่งเดียว

 

“สุดยอดมากครับ แล้วผมจะรอดูการปรับแต่งของพสุธากัมปนาท”

 

“หึหึหึ เชิญหวังเอาไว้ให้เต็มที่เลยฮะ คิดหวังอะไรไว้ อมิตาภาจะทำให้เหนือความคาดหมายยิ่งขึ้นไปอีกฮะ วะฮะฮะฮ่า”

 

 อมิตาภากล่าวพลางหัวเราะก่อนดาฟเน่ที่เปรียบเสมือนเลขาส่วนตัวจะเข้ามาอุ่มตัวไป

 

“นายท่าน”

 

 เสียงเรียกจากกรีนวินด์ดังขึ้น อินกองเข้าใจ เขาลูบหัวนางแล้วตอบ

 

“ยอดมากกรีนวินด์ แต่วันนี้มีเรื่องต้องทำอีกเยอะ ไว้ทีหลังนะ”

 

“อืมมม… ข้าเข้าใจ ข้าจะอดทนรอ… ”

 

 กรีนวินด์ผงกหัวอย่างเข้าใจอย่างหดหู่ก่อนจะสลายกายเนื้อ

 

“เอาละ เสร็จแล้วสินะ?”

 

 เฟลิซีถามขึ้น อมิตาภาพยักหน้ารับ การแสดงผลของการปรับแต่งโล่ชีวาตม์เสร็จสิ้นเรียบร้อย

 จบช่วงโฆษณา

 

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ไปเตรียมตัวรับแขกกันเถอะ งานเลี้ยงน้ำชาในวันนี้ต้องเตรียมให้สมฐานะ”

 

 เหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาที่ระบุไว้ในหมายเชิญ

 

 เฟลิซีตบมือดึงความสนใจก่อนจะหันไปถามอินกอง

 

“ฉัตร เธอเข้าใจใช่ไหม ว่าพระเอกในวันนี้ก็คือเธอ?”

 

“ครับผม”

 

 แม้ว่าอันที่จริง ข้อมูลในหน้าต่างสถานะบอกว่าเขาเป็นพระเอกมาตลอด มิใช่แค่ในวันนี้

 

 จากนั้นคณะของอินกองก็รีบออกมาจากโรงหลอม

 

&

 

 เหตุการณ์ในวันนี้จบไปอย่างรวดเร็ว

 

 แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาในวันนี้มิได้มีเพียงผู้ที่ติดตามเฟลิซีกับคริสต์ เหล่าบรรดาลูกนางกำนัลที่รู้สึกสนใจในตัวเจ้าชายฉัตรก็ถือโอกาสนี้มาเข้าร่วมงานเช่นกัน

 

 แน่นอนว่าผู้ที่ผ่านเข้าคฤหาสน์มาได้ต้องได้รับจดหมายเชิญ เรียกได้ว่าต้องผ่านการคัดกรองมา ทำให้พวกที่มาสอดแนมอย่างคาดารอฟถูกกันออกไปได้ในระดับหนึ่ง

 

 เฟลิซีได้บอกจุดประสงค์กับอินกองไว้อย่างชัดเจน

 

“งานเลี้ยงน้ำชาในวันนี้ก็เพื่อแนะนำตัว หลักๆก็เพื่อดูว่าใครอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราบ้าง แน่นอนว่าเธอควรรู้ตัวว่าแกนนำของพวกเราก็คือเธอนั่นแหละ”

 

 งานเลี้ยงน้ำชาใช้เวลาดำเนินงานเพียงสองชั่วโมง มากพอที่จะบรรลุเป้าหมายของพวกเขา

 

‘บลัดแวมไพร์ซิลาส’

 

 อีกหนึ่งบุคลากรที่อินกองต้องการทาบทามตัวมาควบคู่กับดาฟเน่

 

 แม้ว่าซิลาสเลือกจะติดตามคริสต์มิใช่อินกอง แต่ผลลัพธ์โดยรวมก็ต่างกันเสียไม่มาก อย่างไรเสียพวกเขาก็ถือเป็นฝ่ายเดียวกัน

 

 เช้าวันรุ่งขึ้น

 

 อมิตาภาอดนอนตีดาบของซิลวานเสร็จสิ้นตามที่รับปาก

 

“นี่ฮะ”

 

 เจ้าแรคคูนยื่นดาบพร้อมฝักอันเรียบง่ายให้ซิลวานด้วยท่าทางอิดโรย

 

“ขอบคุณครับ”

 

 ซิลวานกลืนน้ำลายพลางชักดาบออกอย่างเชื่องช้า ดาบโลหะเงินวาวไร้ซึ่งการประดับตกแต่งใดใด ลักษณะเช่นเดียวกับของปราชญ์ดาบ

 

 ซิลวานจ้องมองดูดาบตรงหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม เฟลิซีหรี่ตาชำเลืองมอง เมื่อเทียบกับสรรพคุณของไวท์อีเกิ้ลที่เห็นเมื่อวาน ดาบของซิลวานดูดาดลงทันตา

 

“อมิตาภา ดาบนี้มีคุณสมบัติพิเศษอย่างประกอบร่าง แยกร่างอะไรไหม?”

 

“มีดาบบ้าบออะไรที่ไหนรวมร่างแยกร่างได้บ้างฮะ? ดาบก็คือดาบฮะ!”

 

 อมิตาภาใช้หางทุบพื้นอย่างรุนแรง

 

‘เดี๋ยวดิ แล้วทำไมโล่ถึงแยกร่างรวมร่างได้?’

 

 อินกองสับสนเช่นเดียวกับเฟลิซี แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป นั่นเพราะใบหน้าของซิลวานบ่งบอกถึงความปิติอันล้นเหลือ

 

 ซิลวานกวัดแกว่งวาดดาบไปมาราบกับถูกสิง คบดาบที่ตัดผ่านอากาศทิ้งประกายตามทางราวกับผลงานแกะสลัก

 

 อมิตาภาอมยิ้มเอ่ยถาม

 

“ชอบไหมฮะ?”

 

“ยอด นี่มัน… ยอดเยี่ยมมาก”

 

 ไม่มีคำอะไรใช้อธิบายได้มากไปกว่านี้

 

‘ดาบก็คือดาบ’

 

 จุดประสงค์ของดาบมีไว้เพื่อฟาดฟันศัตรู

 

 คำพูดของอมิตาภาอาจสื่อเป็นนัยยะได้ว่า ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษมากมาย

 

 ซิลวานพึงพอใจกับดาบที่ได้รับเป็นอย่างมาก เขารู้สึกได้ทันทีที่สัมผัส เป็นความรู้สึกราวกับบางสิ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

 

 ดาบที่สามารถกวัดแกว่งได้ตามใจปรารถนา ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแต่กำเนิด

 

 สำหรับผู้อื่น ดาบนี้เป็นเพียงแท่งโลหะที่ตีขึ้นรูปเท่านั้น

 

 นั่นเพราะดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับซิลวานโดยเฉพาะ เป็นดาบที่จะแสดงศักดานุภาพออกมาเมื่ออยู่ในมือของซิลวานเท่านั้น

 

“เข้าใจสินะฮะ แบบนี้ค่อยคุ้มค่าที่อดนอนตีให้ฮะ”

 

 อมิตาภาหัวเราะออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ซิลวานหลั่งน้ำตาออกมาอย่างปลาบปลื้ม

 

“แล้วก็องค์ชายเก้า”

 

 อมิตาภาหันมาทางอินกองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

 

“พสุธากัมปนาทยังเหลือการปรับแต่งที่ค่อนข้างซับซ้อนอีกนิดหน่อยฮะ ช่วยรอซักครึ่งวันได้ไหมฮะ? มันจวนจะเสร็จแล้วฮะ อมิตาภาแค่ต้องการเวลาอีกนิดหน่อย… ”

 

 แม้อมิตาภาจะอดหลับนอนก็ไม่สามารถข้ามขีดจำกัดในเรื่องของเวลาไปได้

 

 อินกองผงกหัวรับทราบ

 

“ไม่เป็นไรครับอมิตาภา อย่าห่วงไปเลยอย่างไรเสียพวกเราก็เดินทางไปด้วยกัน”

 

“อืมใช่แล้วฮะ ขออีกแค่ครึ่งวันฮะ… ฮะ?”

 

 อมิตาภากระโดดสะดุ้ง อินกองตอบกลับมาราวกับเป็นเรื่องปกติ

 

“ยังไงอมิตาภาก็ร่วมเดินทางไปกับพวกเราอยู่แล้ว การปรับแต่งที่เหลือค่อยทำระหว่างเดินทางก็ได้ครับ ผมปรึกษากับแสงสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย”

 

“อืมฮะ… ฮะ?! เมื่อไรกันฮะ?”

 

“ก็เมื่อวานหลังจากที่ออกจากโรงหลอม… ”

 

 อินกองหัวเราะอย่างวายร้าย

 

 ถึงแม้การปรับแต่งพสุธากัมปนาทจะเสร็จทันเวลา เขาก็คิดจะพาอมิตาภาไปด้วยตั้งแต่แรกแล้ว อมิตาภายังเหลืออุปกรณ์ที่ต้องทำให้พวกเขาอีกจำนวนมาก ครั้นจะให้คอยทำอยู่ที่วังหลวงก็จะเป็นการเสียเปล่า

 

 หากทว่าเจ้าแรคคูนยังคงพยายามดิ้นรนปฏิเสธความจริงอันโหดร้าย มือคู่เล็กเล็กโบกส่ายไปมา พร้อมกับใบหน้าที่ส่ายอย่างรุนแรง

 

“ไม่หรอกฮะ แสงสุดท้ายไม่มีทางอนุญาตเรื่องแบบนั้นแน่ฮะ!”

 

 หนึ่งชั่วโมงผ่านไป บริเวณค่ายกลเคลื่อนมิติ…

 

“แสงสุดท้าย… ”

 

 อมิตาภาแบกกระเป๋าสะพายหลังอันเดิม นั่งลงกับพื้นอย่างหมดหวัง สภาพราวกับทหารผ่านศึกที่สูญเสียแผ่นดินบ้านเกิดก็ไม่ปาน

 

 คณะของอินกองกล่าวอำลากันโดยไม่สนใจแรคคูนผู้พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา

 

 ผู้แรกที่ออกเดินทางคือคริสต์โดยมีซิลาสเป็นหนึ่งในผู้ติดตาม

 

“โชคดีครับฮยอง”

 

“เอ็งก็เช่นกัน ดูแลเคทกับเฟลิซีนูนิมดีๆด้วย”

 

 อินกองยิ้มให้กับคริสต์ขณะทีเฟลิซีอมแก้มป่อง

 

“เธอควรจะฝากสองคนนี้ไว้กับฉันมากกว่าไหม ฉันคนนี้นี่”

 

 นางบ่นแต่ดวงตาของนางแสดงถึงรอยยิ้ม คริสต์กล่าวตอบอย่างรื่นเริง

 

“บางทีนูนิมก็ทำอะไรโดยไม่คิดถึงตัวเอง ยังไงก็อย่าฝืนละ”

 

“ฉันไม่เคยฝืนอยู่แล้ว”

 

 เฟลิซีกางพัดขึ้นมาปกปิดใบหน้าแก้เขินเช่นเคย คริสต์หันไปลูบหัวบอกลาเคทลิน

 

 หลังจากที่คริสต์และเหล่าผู้ติดตามเดินทางด้วยค่ายกลเป็นที่เรียบร้อย เฟลิซีก็หันมากล่าวกับคณะอินกอง

 

“เอาละทีนี้ก็ถึงตาพวกเราแล้วสินะ?”

 

 ตามกำหนดการซิลวานจะเดินทางไปด้วยเรือเหาะของเขา ส่วนทายาทตนอื่นก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนมิติเดินทางกันไปเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงกลุ่มของอินกอง

 

“ฉันไปละนะอปป้า”

 

“ดูแลตัวเองด้วยนะ ฉัตร ฝากดูแลลิซซี่ด้วยนะ”

 

 อินกองพยักหน้ารับคำพลางจับมือกับซิลวาน เฟลิซีกางพัดปกปิดใบหน้าของนางอีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาด้วย

 

 อินกอง เคทลิน และเฟลิซีเข้ายืนประจำที่ในบริเวณค่ายกล ตามมาด้วยดาฟเน่ กัมมะ เดเลียและเซร่า

 

 คารัคคว้าตัวอมิตาภาขึ้นแบกบนหลัง

 

“ไม่ต้องห่วงเจ้าแรคคูน ข้าไม่ปล่อยให้แกเป็นอันตรายแน่”

 

 อมิตาภามีปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยที่โดนคารัคคว้าตัวไป

 

 อินกองอมยิ้มหันมองอมิตาภา ก่อนจะถอนหายใจ

 

 ภารกิจนอกเขตวังจอมมาร…

 การโจมตีของอาชาแห่งอาสัญ

 แซเฟียร์ที่มุ่งหน้าไปยังฮาราก…

 แล้วยังเรื่องของแวนเดลกับนาตาช่าที่เขากำลังตามตัวอยู่อีก

 

 อินกองมองรอบตัวดูสมาชิกคณะเดินทางของเขา

 

 แสงสีแดงเรืองขึ้นจากอาคมที่อยู่รายล้อม

 

 เสียงการทำงานของค่ายกลดังขึ้น แล้วคณะของอินกองก็อันตรธานหายไป

 

 

จบบทที่ 17 – โจทย์ เริ่มบทที่ 18 – งานประมูล